หลินชิงเวยกล่าวขึ้นเสียงเบา “เมื่อก่อนท่านปกป้องผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
ไม่ใช่
เพียงแต่เหตุผลของเซียวเยี่ยนมีความเป็นกลางอย่างยิ่งยวด เขากล่าวว่า “เจ้าเป็นเจาอี๋ของฮ่องเต้ ซ้ำยังเป็นผู้ถวายการรักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้ บัดนี้ฮ่องเต้มอบเจ้าให้กับเปิ่นหวาง เปิ่นหวางย่อมมีความรับผิดชอบในการปกป้องคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย มือสังหารเหล่านั้นล้วนพุ่งเป้ามาที่เปิ่นหวางทั้งสิ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า”
หลินชิงเวยใช้เส้นด้ายที่ทำจากฝ้ายสนเข็ม บาดแผลของเซียวเยี่ยนจำเป็นต้องทำการเย็บแผล นางจึงเอาคืนเขาด้วยการลงมือเย็บแผลด้วยน้ำหนักไม่เบาอย่างเจตนา พร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแยกแยะอารมณ์ไม่ออกว่า “ใช่หรือ”
ทว่านางยังคงหักใจไม่ได้อยู่นั่นเอง น้ำหนักมือจึงค่อยๆ อ่อนโยนลงกระทั่งเย็บแผลให้เขาเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วจึงเช็ดคราบเลือด ทายาสมานแผล พันแผลให้บริเวณหัวไหล่ของเขา
ต่อมาหลินชิงเวยนั่งยองๆ ลงหน้าเตียงของเซียวเยี่ยน นางยกมือของเขาขึ้นมาเบาๆ กลางฝ่ามือนั้นแยกแยะไม่ออกระหว่างเลือดและเนื้อ ในสมองของนางกลับย้อนคิดถึงขึ้นมาถึงภาพเหตุการณ์ที่เขายกมือขึ้นต้านรับคมดาบที่อีกฝ่ายฟาดฟันลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ด้วยเหตุใดเวลานั้นหัวใจของนางเต้นด้วยความเจ็บปวด นางเห็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอย่างเดือดดาลของเขา นางไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่กลับรู้สึกปลอดภัยอย่างที่สุด
เวลานั้นหากมือสังหารคนนั้นใช้แรงมากกว่านั้นสักหน่อย คาดว่าคงจะทำร้ายเซียวเยี่ยนจนถึงกระดูก
หลินชิงเวยกล่าว “หากลึกขึ้นอีกสักครึ่งชุ่น มือขวาของท่านอาจจะขาดก็เป็นได้”
ต่อจากนั้นเป็นความเงียบสงบเนิ่นนาน กระทั่งหลินชิงเวยช่วยเขาชะล้าง เย็บแผล และพันแผลแล้วเสร็จเมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเซียวเยี่ยนกลับปิดตานอนหลับไปแล้ว
ท่าทางการนอนหลับของเขาสงบนิ่งยิ่งนัก สีหน้านั้นซีดขาวทว่าดูไปแล้วกลับดูองอาจห้าวหาญกว่าในยามปกติ ท่ามกลางความองอาจห้าวหาญนั้นมีความอ่อนโยนอยู่สองส่วน ดวงตาเรียวยาวประดุจดวงตาหงส์เป็นหนึ่งไม่มีสองคู่นั้นปิดลงเบาๆ หรี่ลงเหลือเพียงเส้นระหว่างดวงตาเพียงเส้นเดียว ขนตาทั้งถี่และยาวเฟื้อยอยู่บนขอบตาล่างเห็นเป็นเงาทาบทาลงมา
หลินชิงเวยก้มหน้า ปลายนิ้วของนางสัมผัสปลายนิ้วของเขาเบาๆ ปลายนิ้วนั้นเย็นเยียบราวกับหยกเนื้อดี
หลินชิงเวยไม่ใช่คนเขลาไฉนจะดูไม่ออกว่าบาดแผลทั้งหมดของเซียวเยี่ยนล้วนอยู่ทางด้านขวา และเวลานั้นนางยืนอยู่ทางด้านขวาของเซียวเยี่ยน หากมิใช่เป็นเพราะเซียวเยี่ยนต้องการปกป้องนางไหนเลยจะได้รับบาดแผลเหล่านี้
ที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะนาง
หลินชิงเวยก้มหน้ามองพื้นพูดกับตนเองว่า “หากเปรียบเทียบกับการโมโหฮึดฮัดกับท่าน ข้าควรจะรู้สึกผิดและละอายแก่ใจมากกว่า โมโหท่านก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เซียวจิ่นพูดถูกต้อง ต่อให้ท่านรู้ว่าผิดตรงไหนท่านก็ไม่มีทางแก้ไข” หยุดไปครู่หนึ่ง นางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ที่จริงหากจะบอกว่าท่านโง่เขลา มิสู้บอกว่าข้าไร้สามารถ เป็นภาระให้ท่าน หากมิใช่เป็นเพราะข้ายืนกรานที่จะเดินตลาด ย่อมไม่เกิดเรื่องเคราะห์ร้ายเช่นนี้”
น้ำเสียงของนางที่กล่าวออกมาเบาราวกับเสียงยุงบิน
ทว่าปลายนิ้วของเซียวเยี่ยนกลับกระตุกเบาๆ ครั้งหนึ่ง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองจึงประสานสายตากับเซียวเยี่ยน ไม่รู้ว่าเขาลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เขากำลังจ้องมองหลินชิงเวยตรงๆ ในแววตานั้นราวกับอยู่ในยุคบรรพกาล รวมกันเป็นกระแสวังวนดึงดูดกลืนกินนาง
เซียวเยี่ยนเป็นฝ่ายละสายตาก่อน เขากล่าวเรียบๆ ว่า “เปิ่นหวางบอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอันใด ต่อให้เจ้าไม่เดินตลาดพวกเขายังคงรอซุ่มโจมตีระหว่างทางอยู่นั่นเอง มือสังหารวรยุทธ์สูงส่งมากมายเช่นนั้น เปิ่นหวางสามารถรับมือศัตรูสิบต่อหนึ่งแล้วยังเก็บชีวิตกลับมาได้นับได้ว่าโชคดีแล้ว หากเจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือสถานการณ์อาจย่ำแย่กว่านี้ก็เป็นได้”
หลินชิงเวยตื่นตะลึง “สุดแล้วแต่ท่านจะพูด ในเมื่อท่านตื่นแล้วก็กินยาเถิด” หลินชิงเวยหยิบยาลูกกลอนออกมาจากล่วมยาหลายเม็ดให้เซียวเยี่ยนกินลงไป
ขณะที่หลินชิงเวยกำลังเก็บล่วมยา เซียวเยี่ยนกล่าวอีกว่า “เรื่องก่อนหน้านี้เปิ่นหวางอาจทำได้ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง หวังว่าหลินเจาอี๋จะไม่ถือสาเอาความ”
หลินชิงเวยหยุดงานในมือทันที บรรยากาศอึดอัดคับข้องใจเล็กน้อยที่มีอยู่ก่อนหน้านี้พลันอันตรธานไปหมดสิ้น นางเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก “ข้าเพิ่งจะบอกว่าท่านเป็นคนที่ต่อให้รู้ว่าตนเองผิดก็ไม่มีวันแก้ไข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะยอมรับ เวลานี้ยอมรับผิดแล้ว?”
เซียวเยี่ยนปิดตาลงอีกครั้ง ไม่แยแสนาง
หลินชิงเวยนั่งลงข้างๆ ล่วมยาของตน “บอกให้ข้าอย่าได้ถือสาเอาความ นี่ ข้าว่าเสด็จอา นี่ท่านกำลังขอโทษใช่หรือไม่?”
“…”
“ท่านขอโทษไม่เป็นใช่หรือไม่? ลำดับแรกของของการขอโทษก็ควรจะต้องพูดว่า ขอโทษ ใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนตัดสินใจที่จะไม่พูดคุยกับนางในเรื่องนี้ต่อไป เขาเพียงพูดว่า “เจ้าถือเสียว่าเปิ่นหวางไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
หลินชิงเวยลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ก้มหน้าลงมองสภาพของตนที่เต็มไปด้วยคราบเลือด “ข้ากลับไปในสภาพเช่นนี้ เกรงว่าคงจะทำให้ซินหรูของเข้าตกใจตายได้ เสด็จอาที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนกระมัง อยู่ในห้องอาบน้ำนี้เองคงไม่ว่ากระมังหากข้าจะยืมใช้สักครู่”
“…” เซียวเยี่ยนช้อนตาขึ้นก็พบว่าหลินชิงเวยกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ “ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าในนั้นมีน้ำพุร้อน เจ้าอาบน้ำที่นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ยังคงกลับไปอาบน้ำที่ตำหนักฉางเหยี่ยนจะดีกว่า”
“แต่ตำหนักฉางเหยี่ยนของข้าไม่มีน้ำพุร้อนนี่นา” หลินชิงเวยเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เมื่อสักครู่ข้าเห็นสุนัขรับใช้ของท่านยกน้ำร้อนออกมา ที่นี่ไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้เหตุใดจึงมีน้ำร้อนเตรียมไว้เล่า ในตำหนักบรรทมของฝ่าบาทก็คงจะมีบ่อน้ำพุร้อนเช่นกัน แม้ตำหนักบรรทมของเสด็จอาจะอยู่ค่อนข้างไกล ทว่าไม่มีทางไม่มีนี่นา” พูดแล้วก็เปิดผ้าม่านออก หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองไอน้ำร้อนในบ่ออาบน้ำ มีตาน้ำจากน้ำพุร้อนพ่นน้ำออกมาในบ่ออาบน้ำ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ระบายน้ำ ดังนั้นระดับน้ำในบ่ออาบน้ำจะไม่เพิ่มขึ้นและลดลง “ท่านดูสิถูกข้าเดาถูกแล้วกระมัง”
เซียวเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองครั้ง จนใจที่เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ หลินชิงเวยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มีบ่ออาบน้ำที่ดีเช่นนี้นางไหนเลยจะปล่อยไปได้ ดังนั้นนางจึงปลดอาภรณ์เลอะเทอะออกแล้วกระโดดลงน้ำไป น้ำร้อนห่อหุ้มร่างของนางเอาไว้ ไม่ต้องพูดถึงว่าสบายเพียงใด
หลินชิงเวยอาบน้ำไปพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การกระทำเช่นนี้สำหรับเซียวเยี่ยนแล้วนั้นถือได้ว่าเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ห้องของตนยังไม่มีสตรีคนใดกล้ามาอาบน้ำในห้องอาบน้ำ เหมือนกับการถูกผู้อื่นรุกล้ำดินแดนอธิปไตยของตนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาเหนื่อยล้าอย่างที่สุด ทว่ากลับต้องรวบรวมสมาธิไม่กล้าผ่อนคลายเพื่อคอยระวังฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้องอาบน้ำ
การอาบน้ำเสร็จสิ้นลง เสียงซ่าดังขึ้นครั้งหนึ่ง
หลินชิงเวยอาบน้ำเสร็จแล้ว นางลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากบ่อน้ำ แต่กระโปรงของนางทั้งเลอะเทอะและเปียกชุ่ม ไม่อาจสวมใส่ได้อีก หลินชิงเวยถามขึ้นว่า “เสด็จอา ที่ท่านนี่มีอาภรณ์ให้ข้ายืมสวมหรือไม่?”
“…ไม่มี”
“แต่ฉากกันลมของท่านมีอยู่ตัวหนึ่ง” ฉากกันลมในห้องอาบน้ำล้วนนำมาใช้ในการแขวนเสื้อผ้าอาภรณ์ บนนั้นมีเสื้อของเซียวเยี่ยนตัวหนึ่งพอดี เป็นอาภรณ์สะอาดสะอ้านที่ยังไม่สวมมาก่อน
เซียวเยี่ยนโมโหจนแทบจะกระอักเลือด “เจ้าอย่าได้แตะต้องจะดีที่สุด”
“อ้อ” เพียงครู่เดียวหลินชิงเวยก็ก้าวออกมา นางเดินออกมาด้วยเท้าขาวราวกับหิมะ บนร่างของนางถูกเสื้อตัวหนึ่งคลุมเอาไว้ ดูไปแล้วขนาดใหญ่กว่าตัวของนางมาก
เส้นผมเปียกชื้นของนางแผ่สยายลงมาคลุมหัวไหล่ ชายอาภรณ์คลุมเท้าทั้งคู่ของนางปรากฏให้เห็นเพียงนิ้วเท้ากลมๆ เล็กๆ สีชมพูหลายนิ้ว
“เปิ่นหวางมิใช่บอกเจ้าว่าห้ามแตะต้องหรือไร?” ดูออกว่าเซียวเยี่ยนโมโห แต่โมโหส่วนโมโห เขากลับทำอะไรหลินชิงเวยไม่ได้
หลินชิงเวย “ถูกต้อง ห้ามแตะต้อง แต่เสด็จอาไม่ได้บอกหม่อมฉันว่าห้ามสวมใส่นี่เพคะ”