หลินชิงเวยไม่กระจ่างแจ้งนักว่าความกังวลเช่นนี้ของนางนั้นเป็นความกังวลที่มีต่อตนเองหรือเซียวเยี่ยนกันแน่
หลินชิงเวยเต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ หรือนางไม่ได้เป็นกังวลเพราะตนเอง แต่เป็นกังวลเพราะบุรุษตัวเหม็นผู้นั้น? ฮ่าๆ น่าขัน! อาศัยอะไรต้องไปกังวลแทนเขา!
เมื่อคนทั้งสองออกจากสำนักหมอหลวง ดวงจันทร์ได้ขึ้นไปแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้เป็นรูปจันทร์เสี้ยว แต่มิได้เป็นอุปสรรคต่อแสงจันทร์สีเงินยวงที่สาดส่องลงมาส่งผลให้ก้อนหินสีเขียวสะท้อนกายเป็นสีออกขาว
กลางท้องฟ้าไม่ใกล้ไม่ไกลยังคงจุดพลุดอกไม้ไฟที่ประทุขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ ส่องเส้นทางที่กำลังเดินอยู่นั้นประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดต่อให้ไม่มีโคมไฟในวังก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อการเดินเหิน
ทว่าเด็กถือล่วมยาในสำนักหมอหลวงยังคงส่งโคมไฟดวงหนึ่งด้วยความนอบน้อมให้พวกเขาก่อนออกจากที่นั่น เซียวเยี่ยนเป็นผู้ถือโคมไฟดวงนั้น หลินชิงเวยเดินลงบันไดของสำนักหมอหลวงไปก่อน นางมัวแต่พิศดูแขนข้างนั้นของตนและไม่กล้าเดินเหินไปมาอย่างไม่ระมัดระวัง
ในยามปกติหากหลินชิงเวยเปลือยแขนข้างหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษคงต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นสตรีไม่รักนวลสงวนตัว ไม่รู้จักธรรมเนียมอย่างเลี่ยงได้ยาก แต่เวลานี้นางอยากจะไม่รักนวลสงวนตัวก็ยังทำได้ลำบาก
ออกจากสำนักหมอหลวงคนทั้งสองเดินอยู่บนทางเล็กๆ ท่ามกลางต้นไม้ มองลอดกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ยังเห็นแสงสว่างจากการจุดพลุดอกไม้ไฟ หลินชิงเวยยังได้ยินเสียงดอกไม้ไฟระเบิดท่ามกลางอากาศ
เซียวเยี่ยนหยุดย่างก้าวกะทันหัน หลินชิงเวยจึงหยุดฝีเท้าเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเขายื่นโคมไฟให้ตน หลินชิงเวยเลิกคิ้วยื่นมือข้างดีออกไปรับมาแล้วกล่าวเนิบๆ ว่า “แสดงเป็นคนดีพอแล้ว ยามนี้จะเลิกการแสดงแล้วหรือ”
หลินชิงเวยถือโคมไฟเดินไปข้างหน้า และกล่าวอีกว่า “ที่จริงข้าไม่ต้องการให้ท่านทำตัวเป็นคนดี ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นท่านคิดว่าข้าจะร่ำไห้หรือต้องการให้คนปลอบใจ? ชิ”
เพิ่งจะเดินออกไปไม่กี่ก้าว ขายาวๆ ของเซียวเยี่ยนก็ก้าวตามมาทันนาง เขาพูดขึ้นว่า “หากเจ้าต้องการให้เปิ่นหวางปลอบใจ เจ้าก็บอกออกมาตรงๆ ได้”
ทันทีที่สิ้นเสียงไม่รอให้หลินชิงเวยด่ากลับไป นางจึงได้แต่ตะลึงงัน
เสื้อคลุมเนื้อนุ่มตัวหนึ่งคลุมลงมาบนไหล่ของนาง มันยังเย็นสบายและมีกลิ่นอายของบุรุษอันเข้มข้นอยู่ ทำให้ร่างเล็กแบบบางของนางถูกห่อหุ้มเอาไว้ นางก้มหน้าลงมองถึงกับเป็นเสื้อคลุมของเซียวเยี่ยน เสื้อคลุมตัวนี้เมื่ออยู่บนร่างของนางจึงดูไปแล้วยาวเกินไปจึงถูกนางลากไปกับพื้น
ที่จริงเซียวเยี่ยนไม่ได้ให้นางกลับไปเพียงลำพัง แต่ให้นางถือโคมไฟเพื่อตนเองจะได้ปลดเสื้อคลุมของตนมาคลุมบนร่างของนาง
ความโกรธขึ้งทั้งหลายในใจของหลินชิงเวยพลันอันตรธานไปสิ้น
ถูกต้อง นางเป็นคนใช้ไม่ได้อย่างนี้แหละ!
คิดแล้วยังรู้สึกว่าน่าขัน ให้ตายเถอะ ถึงกับให้บุรุษผู้หนึ่งมีผลกับความสุขความทุกข์ของนาง
เซียวเยี่ยนหยิบโคมไฟไปจากมือนาง เดินนำไปข้างหน้าเพื่อส่องทางบนพื้น กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “กลางดึกอากาศเย็น เจ้าเปลือยแขนเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนัก”
หลินชิงเวยกลอกนัยน์ตาไปมา “เช่นนั้นเมื่อสักครู่อยู่ในสำนักหมอหลวง เหตุใดเสด็จอาไม่ปลดอาภรณ์มาให้คลุมให้ข้าเล่า”
เซียวเยี่ยนหรี่ตาลงดูเหมือนเขาจะจับทางได้ว่า ทันทีที่หลินชิงเวยโกรธเคืองเขาก็จะเรียกเขาว่าเซ่อเจิ้งอ๋อง ทันทีคลายอารมณ์โกรธเคืองแล้วก็จะเริ่มเรียกเขาว่าเสด็จอา
การเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างไร้แรงกดดันเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความไหลลื่นพลิกแพลง แต่ไม่อาจปฏิเสธว่ารู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูด้วย
เห็นเซียวเยี่ยนไม่เอ่ยวาจา หลินชิงเวยจึงพูดอีกว่า “คงมิใช่เป็นเพราะเสด็จอาเกรงว่าคนของสำนักหมอหลวงเห็นแล้วจะไม่เป็นการดี? เสด็จอาคิดจะทำดีต่อข้าละสิ ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ”
“ไม่โมโหแล้ว?”
“ข้าโมโหอะไรเล่า? โมโหท่านและไทเฮาหรือ?”
เซียวเยี่ยนกล่าว “เจ้าก็พูดแล้วว่านางเป็นไทเฮา เป็นเสด็จแม่ของฮ่องเต้ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
หลินชิงเวย “ข้าคิดมากเกินไปหรือ? ข้าคิดมากอีกหน่อยเป็นไร ความกระตือรือร้นของไทเฮาต่อเสด็จอา ความเย็นชาเช่นนั้นต่อฝ่าบาท นางน่าจะไม่พึงพอใจตั้งแต่แรกที่ฝ่าบาทขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ท่านว่านาง…”
“หลินชิงเวย” เซียวเยี่ยนขมวดคิ้วเรียวยาวดำประดุจหมึกตัดบทนาง
“อย่างไรเล่า?” หลินชิงเวยยักไหล่ “ท่านคิดว่าข้ารู้มากเกินไปหรือคิดมากเกินไปกันแน่? ขอเพียงเสด็จอาตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อ ข้าก็จะไม่พูดต่อ”
เซียวเยี่ยน “คำถามอันใด?”
หลินชิงเวยค่อยๆ เข้าใกล้เซียวเยี่ยน คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย ศีรษะของหลินชิงเวยคล้ายและไม่คล้ายแนบชิดลงกับอ้อมอกของเซียวเยี่ยน นางพูดเสียงเบา “ขาของเซียวจิ่น พิการตั้งแต่กำเนิดมาจริงๆ หรือ?”
เซียวเยี่ยนไม่ตอบ
หลินชิงเวยถอยออกไปสองก้าวหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย “ช่างเถิด ท่านไม่ต้องตอบข้าก็รู้เช่นกัน คนที่คิดจะให้ข้ารักษาย่อมไม่อาจปิดบังสายตาของข้าได้ ดูท่าแล้วท่านไม่ต้องการให้ข้าพูดจาเลอะเลือน เช่นนั้นข้าจะไม่พูด พวกเรามาคุยเรื่องผู้บุกรุกในคืนนี้เถิด”
เซียวเยี่ยนไม่อยากจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับหลินชิงเวย แต่ดวงตาสว่างไสวสุกสกาวคู่นั้นของนาง ดูเหมือนไม่ว่าเรื่องใดนางล้วนมองออกทะลุปรุโปร่ง
หลินชิงเวยเดินไปเดินมารอบด้านล้วนมืดสลัว อาศัยเพียงแสงจากโคมไฟในมือของเซียวเยี่ยน “ท่านคิดจะจัดการกับผู้บุกรุกนางนั้นอย่างไร? จะสังหารนางหรือไม่?”
ในน้ำเสียงนั้นไม่มีสำเนียงหยอกล้อ และไม่มีรอยยิ้ม
เซียวเยี่ยนกล่าว “เรื่องเหล่านี้ยังไม่ต้องถึงกับให้เจ้าเป็นกังวล”
“ถูกต้อง ไม่ต้องให้ข้าเป็นกังวล เวลานั้นข้าได้เตือนท่านแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่กู้เทียนหลินจะถูกปรักปรำ ท่านไม่เชื่อข้า ท่านไต่สวนนางให้ละเอียดก่อนที่ท่านจะสังหารนางจะดีที่สุด ดูว่ายังมีเบาะแสอย่างอื่นหรือไม่ หาไม่แล้วความแค้นเต็มอกของนางคงต้องไหลลงสู่ทิศบูรพาเป็นแน่แท้ ความจริงเป็นอย่างไรต้องทำให้กระจ่างแจ้ง หากนางต้องตายก็ควรตายอย่างกระจ่างแจ้งเช่นกัน”
หลินชิงเวยเดินๆ ไปแล้วหันกลับมา เอียงศีรษะใช้หางตามองเซียวเยี่ยน “ข้าสามารถดูออกจริงๆ ว่าคนๆ หนึ่งกำลังพูดเท็จหรือไม่ ท่านยังคงไม่เชื่อข้าอยู่นั่นเอง? ไม่สู้ข้าถามคำถามท่านอีกคำถามหนึ่ง ท่านตอบข้า ข้าเป็นฝ่ายบอกว่าคำตอบนี้จริงหรือเท็จ เป็นอย่างไร?”
เซียวเยี่ยนไม่ตอบ เขามองหลินชิงเวยนิ่งๆ
หลินชิงเวยพลันหัวเราะขึ้นมา ริมฝีปากที่แย้มยิ้มของนางประดุจดอกไม้บานสะพรั่ง งดงามเหลือหลาย ดวงตาทั้งคู่ของนางเป็นประกายมีชีวิตชีวาประหนึ่งภูเขาไฟที่ไร้ขอบเขต “เซียวเยี่ยน ท่านชอบข้าหรือไม่?”
เซียวเยี่ยนเงียบขรึม
หลินชิงเวยถอนใจ “เฮ้อ เสด็จอา ท่านช่างไร้อารมณ์ขันยิ่งนัก”
เซียวเยี่ยนเพิ่งจะหลุบตาลงครึ่งๆ “ดูเหมือนเจ้าเคยพูดไว้ว่าเจ้าไม่แตกฉานเรื่องศาสตร์การอ่านใจคน ที่เจ้าทำได้คือดูจากสีหน้าของคน เช่นนั้นบนใบหน้าของเปิ่นหวางไม่มีความรู้สึกอันใด เจ้าจึงมองอะไรไม่ออก คำถามไร้สาระเช่นนี้ของเจ้า เปิ่นหวางปฏิเสธที่จะตอบ”
พูดแล้วก็มุ่งหน้าเดินไป
ถูกต้อง เซ่อเจิ้งอ๋องของพวกเรายังมีประโยคเด็ดประโยคหนึ่ง เรียกว่า เลือกที่จะมีใบหน้าเป็นอัมพาตได้นี่นา
คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยเดินตามกันไปตามทางเล็กๆ ในสวน วิวทิวทัศน์ภายนอกยังคงครึกครื้นสดใส ดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนแตกตัวออกเป็นดอกไม้ช่างสวยงามจับตา
เซียวเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้า เมื่อเขาหันกลับมาจึงพบว่าหลินชิงเวยยังยืนอยู่ที่เดิม “คืนนี้ยังจะกลับไปหรือไม่?”
ดูท่าแล้วเขาต้องการส่งตนกลับไปยังตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างปลอดภัย
หลินชิงเวยหัวเราะจนตาหยี “รบกวนเสด็จอาพาข้าไปดูดอกไม้ไฟสักครั้งเถิด”
ยามบ่ายเซียวจิ่นพูดกับนาง รอให้ถึงกลางคืนก็จะมีการจุดดอกไม้ไฟ พวกเขาต้องหาสถานที่สูงสักหน่อย เพื่อจะได้มองเห็นอย่างชัดเจน จะได้ชื่นชมความงดงามของดอกไม้ไฟเหล่านี้ หลินชิงเวยนั้นไม่สนใจเท่าใดที่จะร่วมชื่นชมดอกไม้กับเด็กน้อยคนหนึ่งด้วยไม่อาจเกิดความรู้สึกซาบซึ้งละมุนละไมอันใดได้ แต่บัดนี้หลินชิงเวยกลับกระตือรือร้นขึ้นมา อาจเป็นเพราะเปลี่ยนตัวคนเป็นอีกคนกระมัง นางอายุปูนนี้แล้วสาวเทื้อก็คิดจะมีความรู้สึกโรแมนติคสักครั้ง