ซินหรูรู้เพียงว่ายาสมุนไพรเหล่านี้เตรียมไว้เพื่อรักษาขาของเซียวจิ่นเท่านั้น นางกลับไม่รู้ว่ามีสรรพคุณอย่างไร แต่ยังคงดูแลปรนนิบัติอย่างระมัดระวังยิ่ง
บัดนี้เห็นหลิงชิงเวยเปิดฝาออกดูเพื่อดมกลิ่นของสมุนไพร ไม่รู้นางคิดอะไรขึ้นมาได้จึงขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ซินหรูกล่าวอยากใจกล้าว่า “พี่สาว มีอะไรหรือเจ้าคะ ยานี้ข้าดองไม่ถูกต้องใช่หรือไม่เจ้าคะ…” ซินหรูฟุบกายขึ้นมาบนตู้เพื่อดูสิ่งของข้างใน “แต่พี่สาวบอกให้ใช้สิ่งของใดจำนวนเท่าใด ข้าก็ใช้ตามนั้น ไม่ได้ลดจำนวนหรือเพิ่มสิ่งของใดนะเจ้าคะ…”
หลินชิงเวยกล่าว “ไม่มีอันใด เจ้าทำได้ดีมาก” หลินชิงเวยเดินวนไปวนมาระหว่างไหสมุนไพรและหีบผ้าไหม จากนั้นไปเปิดหีบผ้าไหมเพื่อหยิบต้นโสมห้าร้อยปีต้นนั้นออกดู ช่างปวดใจจริงๆ
“พี่สาวจะใส่โสมต้นนี้ลงไปใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซินหรูเห็นแล้วกระจ่างแจ้งโดยพลัน
หลินชิงเวย “ให้ข้าคิดดูอีกที…” ว่ากันตามเหตุผลแล้ว โสมต้นนี้เซียวจิ่นประทานให้นาง นางไม่มีหน้าที่ต้องโยนโสมต้นนี้ลงไปในไหสมุนไพรกระมัง อีกทั้งในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงต้นนี้ต้นเดียว ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะไม่พบสิ่งของล้ำค่าเช่นนี้อีกก็เป็นได้ หากใช้ไปแล้วจะน่าเสียดายเพียงใด! หลินชิงเวยกล่าว “ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าต้องใส่ลงไปให้ได้ เพียงแต่หากใส่ลงไป ฤทธิ์ของยาก็จะนุ่มนวลลงเล็กน้อย ต่อให้ไม่ใส่เซียวจิ่นก็เข้มแข็งพอที่จะไม่เจ็บปวดจนตาย…” อย่างมากก็เจ็บปวดแทบเป็นแทบตาย หลินชิงเวยยังพูดไม่จบ พลันร้องเรียกเสียงดัง “นี่!”
นางเห็นมือเล็กๆ ของซินหรูหยิบโสมต้นนั้นขึ้นมาวางลงไปบนปากไหแล้ว ทันทีที่นางคลายมือเสียงโสมต้นนั้นตกลงไปในไฟนั้นดัง ตุ๋ม
หลินชิงเวยกุมหน้าผาก “โสมอายุห้าร้อยปีของข้า…มาถึงมือข้ายังไม่ทันได้อุ่นมือเลย…”
ซินหรูหันมามองนางตาปริบๆ ด้วยแววตาอันบริสุทธิ์ไร้พิษสง “ดูท่าทางพี่สาวลังเลใจเช่นนี้ ซินหรูจึงได้แต่ทำใจกล้าช่วยพี่สาวตัดสินใจ สมุนไพรนี้เป็นโอสถที่นำไปใช้รักษาพระอาการของฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นบุคคลที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้านี้ ไหนเลยจะไม่คู่ควรกับโสมอายุห้าร้อยปีเล่า อีกทั้งขอเพียงฝ่าบาททรงมีบัญชา สมุนไพรมีชื่อราคาสูงค่าทั้งใต้หล้านี้ก็หามาได้ ถึงเวลานั้นพี่สาวยังมีสมุนไพรอย่างอื่นให้สะสมอีกมากมายเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยมองซินหรูอย่างกลัดกลุ้ม “ดูท่าแล้ว เจ้าทุ่มเทจิตใจให้ฝ่าบาทยิ่งกว่าพี่สาวเสียอีก” หลินชิงเวยสลดหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
เจ้าเด็กคนนี้ช่างมีวาสนานัก ไม่สิ ต้องกล่าวว่าเจ้าเล่ห์นัก ส่งโสมมาให้ต้นหนึ่ง ครานี้ดียิ่งนัก เขาได้ทำให้จิตใจของซินหรูศิโรราบต่อเขาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นโสมต้นนี้ยังคงนำมาใช้กับเขาในที่สุด
ซินหรูปิดฝากลับไปพูดอย่างยินดีว่า “ในใจของซินหรู พี่สาวจึงจะเป็นที่หนึ่งเจ้าค่ะ หากทำเช่นนี้แล้วจะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นสองส่วนในการรักษาฝ่าบาท เช่นนั้นพวกเรามิใช่ออกจากวังหลวงที่เป็นดังทะเลขมแห่งนี้ได้เร็วขึ้น ต่อไปอยู่ใต้ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่อย่างอิสระแล้วหรือเจ้าคะ”
หลินชิงเวยมองสีหน้าแดงเรื่อของซินหรูเงียบๆ ถูกต้อง ซินหรูยังไม่รู้ว่านางตกหลุมพรางเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว เรื่องที่เซ่อเจิ้งอ๋องรับปากจะปล่อยพวกนางออกจากวังนั้น กลายเป็นความสูญเปล่า
ทว่าในเมื่อซินหรูมีความหวังเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ควรจะรักษาขาของเซียวจิ่นให้ดี ต่อไปหากต้องจากไปจะได้จากไปอย่างสบายใจ ไม่มีคำสัญญาจากเซ่อเจิ้งอ๋อง นางมิใช่ยังมีหยกประจำตัวของเซ่อเจิ้งอ๋องหรือไร นี่เป็นยันต์คุ้มภัยอย่างดี!
ช้าเร็วต้องมีวันหนึ่งที่นางจะพาซินหรูออกจากวังหลวงแห่งนี้ ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เวลาชั่วชีวิตนั้นยาวนานถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าต่อไปอาจหาสมุนไพรที่ดีกว่านี้ได้อีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินชิงเวยจึงรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ซินหรูมาช่วยหลินชิงเวยเปลี่ยนยา ใส่ยาและพันแผล นางทำได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนหน้านี้เมื่อมีเวลาว่าง หลินชิงเวยไปหาหนังสือเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของวิชาแพทย์จากห้องสมุดมาให้ซินหรูอ่านและเรียนรู้ ซินหรูผู้น่าสงสารไม่มีพรสวรรค์ในการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ เมื่อก่อนครั้งอยู่ในตำหนักเย็นก็รู้จักตัวหนังสือไม่มาก ดีที่นางเป็นคนขยันช่างถามใฝ่เรียนรู้ เมื่อพบตัวหนังสือที่ไม่รู้จักนางให้ปี้หลิงชี้แนะ สิ่งที่เรียนรู้และเข้าใจได้จึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินชิงเวยมอบผ้าไหมอวิ๋นจิ่นให้กับนางกำนัลเพื่อส่งไปยังกองภูษาทำการตัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ซินหรูและตนเองคนละสองชุด ปี้หลิงกล่าวว่าเนื้อผ้านี้ดีถึงเพียงนั้นถ้าไม่สวมใส่ก็เสียโอกาสแย่
รอเมื่อเก็บสิ่งของเหล่านี้เสร็จสิ้น หลินชิงเวยก้าวออกประตูไป ซินหรูกล่าวอย่างไม่วางใจ “พี่สาว นี่ท่านจะไปถวายการรักษาขาให้ฝ่าบาทหรือเจ้าคะ แต่มือของท่าน…”
หลินชิงเวยพูดทั้งที่ไม่หันกลับมา “ข้ายังเป็นผู้ป่วย รักษาขาอะไรกัน? ไม่มีเรื่องอันใดเจ้าตั้งใจศึกษาให้ดี พี่สาวต้องไปแสดงความขอบคุณที่ตำหนักซวี่หยางมิใช่หรือ”
“อ้อ” ซินหรูรับคำอย่างเชื่อฟัง
หลินชิงเวยเพิ่งจะมาถึงประตูตำหนักซวี่หยาง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเซี่ยนอ๋องเซียวอี้ เขาสวมอาภรณ์สีแดงเข้มทั้งชุด ราวกับเหยียบย่ำผ่านน้ำค้างบางๆ และแสงอุษาแสงแรกที่ขึ้นมาทางทิศบูรพา เท้าทั้งสองนั้นเดินเหินอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเขาก้าวเดินชายอาภรณ์ทั้งสองด้านแยกจากกัน บุรุษลักษณะเช่นเขาสวมอาภรณ์เช่นนี้อีกทั้งรูปงามกริยาสูงสง่า สตรีโดยส่วนใหญ่เห็นแล้วย่อมต้องชมชอบ แต่หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งกว่าใคร ภายใต้หนังหน้าของเขานั้นแอบซ่อนความสกปรกชนิดใดเอาไว้ นางไม่ได้ถูกดึงดูดความสนใจแม้สักกระผีก ในทางกลับกันยังคิดว่าเขาเป็นจอมหื่น
มาพบกับคนเช่นนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ อารมณ์เบิกบานล้วนมลายหายสิ้น
แต่เซียวอี้กลับดูเหมือนอารมณ์ดียิ่งนัก เห็นหลินชิงเวยเดินมาแต่ไกล ดวงตาทั้งคู่ยิ้มจนยิบหยีเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ไม่ปาน
เขากำมือเป็นหมัดนวดคลึงหน้าผากทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเดินเข้ามาใกล้หลินชิงเวย ริมฝีปากแดงนั้นยกยิ้ม “ช่างบังเอิญนัก เสี่ยวเวยเวย”
อึ๋ย…หลินชิงเวยสั่นสะท้าน ขนอ่อนทั่วกายลุกพรึ่บ
หลินชิงเวย “เซี่ยนอ๋องเช้ายิ่งนัก ฝ่าบาทเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการประชุมเช้ากระมัง เซี่ยนอ๋องปรากฏกายที่นี่ทั้งยังสวมอาภรณ์สีแดงสดเพียงนี้ ท่านร่วมประชุมเช้าก็สวมเช่นนี้?”
หากเข้าสวมอาภรณ์เช่นนี้ไปร่วมประชุมเช้า เช่นนั้นเขาเป็นคนโอ้อวดเพียงใด
เซียวเยี่ยนกลับหัวเราะเสียงดัง “แม้ในยามปกติข้าจะเป็นคนทำตัวตามสบายอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไม่รู้จักผ่อนหนักเบา เปิ่นหวางไม่ใช่คนเบาปัญญาเสียหน่อย” พูดแล้วก็ขมวดคิ้วยิ้มให้นาง “เมื่อคืนดีใจมากไป ไม่ทันระวังดื่มสุราจนเมามายกลับไป เช้านี้ตื่นขึ้นยังรู้สึกเวียนศีรษะตาพร่า จึงไม่ได้เข้าประชุมเช้า”
หลินชิงเวยกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ในเมื่อท่านอ๋องเวียนศีรษะตาพร่า ไฉนไม่นอนพักอยู่ในเรือนเล่า ยังมาที่นี่เพื่ออันใดกัน?” นางรู้ว่าทันทีที่เซียวจิ่นเห็นเขาย่อมต้องเป็นเช่นตนเอง ไม่มีอารมณ์เบิกบานอันใด
เซียวอี้กล่าวอย่างไม่ยี่หระ “แต่ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนลอบสังหารฝ่าบาท มือสังหารถึงกับกำเริบเสิบสานเช่นนี้ กล้าลอบเข้ามาสังหารฝ่าบาท ทันทีที่ตื่นมาข้าก็เป็นห่วงหลานชายตัวน้อยเหลือเกิน ดังนั้นจึงเข้ามาเยี่ยมสักหน่อย” พูดแล้วก็ทอดถอนใจ “เซ่อเจิ้งอ๋องประมาทเลินเล่อเกินไปถึงกับให้มือสังหารแฝงกายเข้ามาในวังหลวง เสียแรงที่ฝ่าบาทเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเซียวอี้ นางคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องประมาทเกินไปจริงๆ เกือบจะทำให้มือสังหารทำสำเร็จ เพียงแต่เช้านี้ท่านอ๋องเห็นว่าฝ่าบาทยังอยู่ดีจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยใช่หรือไม่?”
เซียวอี้เลิกคิ้ว
หลินชิงเวยกล่าวอีก “ท่านอ๋องรู้ความเป็นมาของมือสังหารผู้นั้นหรือไม่ นางเป็นผู้รอดชีวิตจากโทษประหารเก้าชั่วโคตรของสกุลกู้ เข้าวังมาเพื่อแก้แค้นให้กับคนในครอบครัว” หลินชิงเวยหรี่ตาลง “สีหน้าของท่านอ๋องไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ และไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดทั้งสิ้น ดูเหมือนไม่รู้สึกประหลาดใจต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย?”