จ้าวเฟยเห็นนางแต่ไกลอีกทั้งเมื่อคิดถึงงานเลี้ยงในค่ำคืนเทศกาลซ่างซื่อนางกดข่มตนเองช่วงชิงเกียรติและหน้าตาของนาง ในใจยิ่งกรุ่นไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ยามกลางวันแท้ๆ ออกเดินเล่นข้างนอกทั้งมิใช่วันฉลองเทศกาลอันใด จู๋กุ้ยเหรินกลับสวมกระโปรงสีแดงสดทั้งชุด ต้องการให้ดึงดูดสายตาเพียงใดย่อมดึงดูดสายตาเท่านั้น กระโปรงผ้าโปร่งยาวเฟื้อยของนางปลิวพลิ้วไปตามสายลมอยู่ด้านหลังงดงามยิ่งนัก
สตรีลักษณะเช่นนี้ถือเป็นโฉมสะคราญในมวลหมู่บุปผา ผู้ใดพบเห็นล้วนต้องเหลียวกลับมามองอีกครั้ง
แต่จ้าวเฟยกลับแค้นเคืองเสียจนต้องการฉีกทึ้งโฉมงามและทัศนียภาพงดงามเบื้องหน้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดังนั้นความเดือดดาลที่สุมอยู่ในอกตั้งแต่อยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนจึงมาประเดประดังถาโถมลงบนร่างของจู๋กุ้ยเหรินที่อยู่เบื้องหน้า จ้าวเฟยเดินนำข้ารับใช้มุ่งหน้าเข้าไปจู๋กุ้ยเหรินด้วยท่าทีอวดเบ่งอำนาจบารมี
ข้างกายจู๋กุ้ยเหรินมีเพียงนางกำนัลคนหนึ่งที่ติดตามมา ฐานะและตำแหน่งของนางเป็นเพียงกุ้ยเหรินคนหนึ่ง มีนางกำนัลปรนนิบัติรับใช้นางคนหนึ่งนับว่าไม่เลวแล้ว จ้าวเฟยคิดในใจ นางที่เป็นเช่นนี้จะมาเปรียบเทียบกับตนได้อย่างไร เมื่อพบหน้ากันมีเพียงถูกรังแกข่มเหงเท่านั้น
ใครใช้ให้นางไม่สงบเสงี่ยมเจียมตนเล่า วิ่งออกมาดึงดูดสายตาผู้อื่น ชิ ยังมิใช่นางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนหนึ่งหรอกหรือ!
แม้จู๋กุ้ยเหรินจะมองเห็นจ้าวเฟยแล้วเช่นกัน เมื่อจ้าวเฟยเดินเข้ามาจึงนำนางกำนัลแสดงการคารวะ เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวานว่า “หม่อมฉันถวายพระพรจ้าวเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”
จ้าวเฟยไม่เรียกให้นางลุกขึ้นพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “นี่มิใช่จู๋กุ้ยเหรินหรือ งานเลี้ยงของวังหลวงครั้งก่อนมิใช่สร้างสีสันให้กับทุกคนหรือไร”
ท่าทีของจู๋กุ้ยเหรินนอบน้อมอย่างยิ่ง ยังคงอยู่ในท่าทางการแสดงคารวะ “จ้าวเฟยเหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ถูกต้อนให้ออกไปเท่านั้น น่าขันแล้วเพคะ การบรรเลงพิณของจ้าวเฟยเหนียงเหนียงช่างไพเราะเสนาะหูจับใจผู้คนยิ่งเพคะ”
จ้ายเฟยแค่นเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อคลุมมองนางด้วยหางตา “ถูกต้อนออกไปหรือ? น่าขันหรือ? ฮึ เปิ่นกงไม่รู้ว่าหากจู๋กุ้ยเหรินแสดงฝีมือเต็มกำลัง จะทำให้ผู้คนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเท่าใด!”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ” จู๋กุ้ยเหรินกล่าว
จ้าวเฟยได้กลิ่นหอมอบอวลจากร่างของนาง ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าเงยหน้าขึ้นมา”
จู๋กุ้ยเหรินได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าลักษณะใดกัน โครงหน้าชัดเจนคมขำ สันจมูกสูงโด่ง เบ้าตาทั้งคู่ลึกทว่ากลับทำให้นัยน์ตานั้นซาบซึ้งดึงดูดผู้คนยิ่งนัก แม้หน้าตาท่าทางของนางจะแตกต่างจากสตรีของจงหยวน แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าขอเพียงเป็นบุรุษเมื่อได้พบเห็นล้วนต้องเกิดความหวั่นไหว
จ้าวเฟยริษยารูปร่างและท่วงท่าการร่ายรำของนาง ริษยารูปโฉมอันงดงามของนางยิ่งกว่า นางเงื้อมือขึ้นตบลงไปบนใบหน้าของจู๋กุ้ยเหรินฉาดหนึ่งอย่างมิเกรงอกเกรงใจ นางกำนัลข้างกายจู๋กุ้ยเหรินยืดกายขึ้นเพื่อปกป้องเจ้านาย ถูกจู๋กุ้ยเหรินกดเอาไว้ จ้าวเฟยเห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของจู๋กุ้ยเหรินแล้วรู้สึกเบิกบานใจขึ้นเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่ามือนี้ เปิ่นกงประทานให้เจ้าด้วยโทษฐานไม่เคารพต่อเปิ่นกงในวันนั้น มีรูปโฉมเป็นจิ้งจอกแต่กำเนิดต่อให้เจ้าแต่งกายให้งดงามกว่านี้ สวมอาภรณ์สวยงามกว่านี้ ออกมายั่วยวนบุรุษแล้วมีประโยชน์อันใด? เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะทนุถนอมเจ้าหรือ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังดูแลไม่ได้ ซ้ำเขาทนุถนอมเพียงหลินเจาอี๋เท่านั้น”
จู๋กุ้ยเหริน “เหนียงเหนียงสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ”
ไม่ว่าจ้าวเฟยจะพูดอะไร จู๋กุ้ยเหรินล้วนน้อมรับแต่โดยดี ที่จริงจ้าวเฟยมีใจคิดจะรังแกกดขี่นางต่อไปอีก แต่เห็นท่าทางเช่นมะพลับนิ่มของนางแล้วจึงคิดว่ารังแกนางต่อไปก็ไม่มีความหมาย สุดท้ายจึงด่าทอด้วยคำพูดไม่น่าฟังเล็กน้อยแล้วจึงพาข้ารับใช้จากไป
หลังจากจ้าวเฟยจากไป นางกำนัลข้างกายจู๋กุ้ยเหรินค่อยๆ ประคองจู๋กุ้ยเหรินลุกขึ้น ใบหน้าของจู๋กุ้ยเหรินปรากฏรอยนิ้วมืออย่างแจ่มชัด นางมองเงาร่างด้านหลังของจ้าวเฟยที่เดินห่างออกไปทีละน้อยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
การตายของเชียนเหอยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบนี้ดูเหมือนไม่ต้องลงแรงมากน้อยเท่าใดนัก ยามสายเพิ่งจะเริ่มสืบยามบ่ายก็ได้ข้อสรุปแล้ว
ที่แท้ขันทีนำวัชพืชที่ขึ้นในน้ำจากตำหนักจ้าวเฟยมาทำการเปรียบเทียบ ผลสรุปก็ปรากฏออกมาตรงหน้า
วัชพืชที่ขึ้นในน้ำที่พบในปากและจมูกของเชียนเหอเป็นวัชพืชที่มาจากสระบัวในลานเรือนด้านหน้าของตำหนักบรรทมของจ้าวเฟย
นั่นหมายความว่าเชียนเหอถูกกดให้จมน้ำตายในสระบัว จากนั้นนำศพไปทิ้งที่ตำหนักฉางเหยี่ยนเพื่อเป็นการซัดทอดความผิดให้กับหลินเจาอี๋ตำหนักฉางเหยี่ยน
จ้าวเฟยไม่อยากเชื่อว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้ อีกทั้งนางไม่ได้ออกคำสั่งให้เชียนเหอตาย เชียนเหอถูกกดให้จมน้ำตายหน้าห้องของตน ไยนางจึงไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย?
ทว่าไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร ฮ่องเต้ล้วนไม่เชื่อ
จ้าวเฟยยิ่งคิดยิ่งเคียดแค้นชิงชัง
ฮ่องเต้มีพระทัยเอนเอียงมาทางคนต่ำช้าหลินชิงเวยอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีเชียนเหอตายในตำหนักฉางเหยี่ยน อย่างไรหลินชิงเวยย่อมมิอาจรอดตัวไปได้ ยามนี้ดียิ่งนักฮ่องเต้กลับฟังคำพูดโป้ปดมดเท็จของคนต่ำช้าาผู้นั้น ใช้วิธีการเปรียบเทียบวัชพืชที่เติบโตในน้ำอะไรนั่น
ต้องเป็นหลินชิงเวยที่เจตนานำวัชพืชน้ำเหล่านั้นมาทิ้งไว้ในสระบัวของตนเป็นแน่ จงใจให้ร้ายนาง!
ที่จริงแล้วหากนางกำนัลกระทำความผิดร้ายแรง ประมุขของแต่ละตำหนักมีอำนาจจัดการชีวิตของนางกำนัลนั้น การตายของเชียนเหอมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ย่อมสุดแล้วแต่จ้าวเฟยจะตัดสิน สำหรับเรื่องที่จ้าวเฟยเจตนาให้ร้ายหลินชิงเวย เซียวจิ่นเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮาและจ้าวเฟยจึงมิได้ติดใจเอาความอันใด
เซียวจิ่นได้ให้คนไปบอกความเรื่องนี้อย่างกระจ่างแจ้งต่อไทเฮา
หากยามนี้ไทเฮาก้าวออกมาก้าวก่ายเรื่องนี้ หลักฐานย่อมปรากฏอยู่เบื้องหน้าว่าไทเฮามีพระทัยเอนเอียง ดังนั้นไทเฮาจึงไม่อาจลงมาก้าวก่ายเรื่องนี้ได้อย่างสะดวกใจนัก ได้แต่ส่งคนมาตำหนักจ้าวเฟยหนหนึ่งเพื่อตำหนิว่ากล่าวจ้าวเฟยพอเป็นพิธี ที่จริงแล้วไทเฮาได้ตำหนิจ้าวเฟยเป็นการส่วนพระองค์ว่ากระทำการเรื่องใดล้วนไม่รอบคอบหมดจด
เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้ได้ข้อสรุปที่แน่นอนแล้ว ครั้งนี้มิอาจกำจัดหลินชิงเวยยังมีโอกาสครั้งหน้าแน่นอน ในใจจ้าวเฟยราวกับมีหนามยอกอก ไม่อาจบ่งหนามนี้ออกจากไปหนึ่งวันนางก็มิอาจสงบสุขหนึ่งวัน
จ้าวเฟยไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ทั้งวัน นางหงุดหงิดคลุ้มคลั่ง เหมือนมีสิ่งของอันใดกำลังชอนไชเข้ามาในสมองของนางอย่างเอาเป็นเอาตาย ชอนไชเสียจนนางไม่อาจนอนหลับได้ในยามราตรี ราวกับถูกเวทมนต์
ในที่สุดก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นในสมอง: ไปหานางเถิด ไปหาหลินชิงเวย พูดให้ชัดเจน เชียนเหอจะตายอย่างไม่กระจ่างแจ้งเช่นนี้ไม่ได้
วันนี้ยามสายหลินชิงเวยยังไม่ทันได้ไปตำหนักซวี่หยางเพื่อทำหน้าที่หมอของนาง นางและซินหรูไปดูในห้องโอสถพบว่าน้ำยาสมุนไพรที่ดองไว้ในไหสมุนไพรนั้นกำลังจะได้ดีที่แล้ว อีกทั้งบาดแผลบนแขนของนางหายดีพอสมควรแล้วเช่นกัน ได้เวลาขนย้ายน้ำยาสมุนไพรไหนี้ไปยังตำหนักซวี่หยางเพื่อทำการรักษาขาทั้งคู่ของเซียวจิ่น
หลินชิงเวยเดินไปเดินมาในห้องโอสถ นางและซินหรูสองคนไม่อาจขนย้ายไหสมุนไพรที่หนักเช่นนี้ไปตำหนักซวี่หยางได้ จึงให้ซินหรูออกไปเรียกขันทีมาช่วยซ้ำยังกำชับนางว่าหากลากรถเข็นมาได้จะดีที่สุด นำไหสมุนไพรวางขึ้นไปบนรถเข็นแล้วขนย้ายไป ทั้งประหยัดเรี่ยวแรงและสะดวก ระหว่างทางยังไม่หกออกมาอีกด้วย
ซินหรูวิ่งออกไปอย่างรีบเร่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นานซินหรูก็วิ่งกลับมาอย่างรีบเร่งเช่นกัน ทว่าไม่ได้พาขันทีและรถเข็นที่หลินชิงเวยวางแผนเอาไว้ เห็นเพียงซินหรูเกาะประตูหอบหายใจ หลินชิงเวยหันหน้ามายังไม่ทันได้เอ่ยถาม ซินหรูก็กล่าวขึ้นทันทีว่า “พี่สาว จ้าวเฟยมาหาเรื่องอีกแล้วเจ้าค่ะ”