เมื่อหลินชิงเวยเดินออกมาถึงเรือนด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน จ้าวเฟยกำลังยืนพูดจาเอะเอะเสียงดังยืนอยู่ที่นั่น “หลินชิงเวย เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้! เจ้าทำร้ายเชียนเหอจนตาย หรือจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง!”
จ้าวเฟยเห็นเงาร่างอ่อนเยาว์สวมชุดสีเขียวเดินออกมา ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น
หลินชิงเวยกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เรื่องของเชียนเหอมิใช่ได้ข้อสรุปไปตั้งนานแล้วหรือ นางถูกกดให้จมน้ำตายในตำหนักของเหนียงเหนียงแล้วซัดทอดมาให้ตำหนักของข้า เรื่องนี้ได้ตรวจสอบอย่างชัดเจน เหนียงเหนียงยังคิดว่าเป็นข้าทำร้ายเชียนเหอจนตายหรือ เจ้ามีหลักฐานอะไร?”
หลินชิงเวยรู้ว่าเรื่องนี้ย่อมไม่จบลงเพียงเท่านี้ นางกลับคิดไม่ถึงว่าคนที่ไม่ยอมเลิกราเป็นคนแรกจะเป็นเจ้าเฟย แต่มิใช่ฆาตกรตัวจริงที่เป็นผู้สังหารเชียนเหอ
คิดดูแล้วจ้าวเฟยมาสร้างความยุ่งยากให้กับนางก็เป็นเรื่องที่ฆาตรกรตัวจริงได้ยินแล้วต้องพึงพอใจ
“หลักฐาน?” จ้าวเฟยเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยทีละก้าว “หลักฐานล้วนเป็นเจ้าที่พูด เจ้าพูดมาเจ้ายังต้องการหลักฐานอันใดอีก? แต่เปิ่นกงรู้ว่าต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ที่สังหารเชียนเหอ!”
หลินชิงเวย “หลักฐานทั้งหมด เหนียงเหนียงก็ได้เห็นแล้ว ข้าไม่ได้สังหารเชียนเหอ คิดว่าเหนียงเหนียงน่าจะกระจ่างแจ้งกว่าข้า”
จ้าวเฟยพูดเสียงแหลม “พวกเจ้าอาศัยเพียงแค่วัชพืชเหล่านั้นก็ตัดสินว่านางจมน้ำตายในสระบัวของเปิ่นกงใช่หรือไม่? น่าขัน! ผู้ใดจะรับรองได้ว่าวัชพืชเหล่านั้นไปเก็บมาจริงๆ ผู้ใดจะรับรองได้ว่าระหว่างนั้นจะไม่มีการปลอมแปลงหลักฐาน! เปิ่นกงรู้ดีว่าฝ่าบาทปกป้องเจ้า แต่เปิ่นกงไม่อาจมองดูเชียนเหอตายเปล่าเช่นนี้! เปิ่นกงต้องทวงความยุติธรรมแทนนาง!” ใบหน้าของจ้าวเฟยบิดเบี้ยว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ย่างก้าวของนางแต่ละก้าวบีบบังคับหลินชิงเวย
ตามย่างก้าวของจ้าวเฟยที่เดินเข้ามาใกล้ แทบจะไม่สังเกตเห็นว่าคิ้วของหลินชิงเวยกระตุกเล็กน้อย นางพบว่าสีหน้าของจ้าวเฟยผิดปกติอย่างยิ่ง ใบหน้านั้นซีดขาวไร้ซึ่งเลือดฝาด กระบอกตาแดงก่ำนั้น นัยน์ตาคู่นั้นค่อยๆ แดงขึ้น ภายใต้ใบหน้าซีดขาวและดวงตานั้นสะดุดตาเกินไป สะดุดจนทำให้รู้สึกหนาวเยือกถึงวิญญาณ
หลินชิงเวย “ฆาตกรที่สังหารเชียนเหอเป็นอีกคนหนึ่ง ต่อให้เจ้าไม่เชื่อความจริงเรื่องนี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเจ้าให้ความร่วมมือสักนิดยังมีความเป็นไปได้ว่าจะจับกุมตัวฆาตกรได้ จ้าวเฟย ข้าว่าสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีไม่สู้เจ้ากลับไปพักผ่อนให้ดี พักผ่อนแล้วค่อยมาปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอีกครั้ง”
“ฮ่าๆๆๆ” จ้าวเฟยเงยหน้าขึ้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อหัวเราะแล้วจึงขบฟันแน่นและกล่าวว่า “มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่ามีคนช่วยเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีก!”
พูดแล้วจ้าวเฟยก็เดินเข้ามาใกล้อีก ซินหรูหวาดกลัว หลินชิงเวยดึงร่างของนางมาแอบไว้ข้างหลัง ขันทีของตำหนักฉางเหยี่ยนมิกล้าขัดขวางและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
ยามนี้จ้าวเฟยยืนอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวย หลินชิงเวยเอื้อมมือไปขว้าข้อมือของจ้าวเฟย นิ้วมือของนางแตะลงบนจุดชีพจรของนางเพื่อฟังชีพจรของนาง
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่หลินชิงเวยกำลังจะจับพิรุธจากชีพจรได้ จ้าวเฟยก็สะบัดมือหลินชิงเวยออกอย่างแรง
จ้าวเฟยอ้าปากคิดจะด่าทอทว่ากลับรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างที่สุด ความเจ็บปวดนั้นทำให้มือทั้งคู่ของนางประคองใบหน้าของตนเอาไว้แล้วค่อยๆ โน้มกายลงมา
จ้าวเฟยกัดฟันเอ่ยออกมาทีละคำๆ ด้วยเสียงแหบพร่า “หลินชิงเวย เจ้าคนต่ำช้า…เจ้าทำอันใดกับข้า…”
หลินชิงเวยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “เป็นตัวเจ้าเองรู้สึกไม่สบาย นี่ก็เป็นความผิดของข้าหรือ? หากเจ้าไม่รังเกียจ ให้ข้าฟังชีพจรของเจ้าดูว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ทันทีที่สิ้นเสียง ศีรษะเล็กๆ ของซินหรูที่แอบอยู่ข้างหลังโผล่ออกมาชี้นิ้วไปที่จ้าวเฟยอย่างหวาดกลัว “เลือด! เลือดของนางกำลังไหล!”
หลินชิงเวยจับจ้องมองไปพบว่าโลหิตสดๆ เป็นสายไหลออกมาจากร่องนิ้วมือที่จ้าวเฟยประคองหน้าของนางเอาไว้ หลินชิงเวยเห็นนางไม่ยินยอมให้ตนทำการรักษา จึงให้คนไปตามหมอหลวงมา
จ้าวเฟยร้องตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเสแสร้งเป็นคนดี!” นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซึ่งเคยงดงามเพราะความเจ็บปวดจึงสับสนยิ่งยวด นางจ้องมองรอยเลือดในอุ้งมือของตน ราวกับถูกทำให้ตระหนกตกใจเช่นกัน นางยกมือขึ้นลูบจมูกประจวบเหมาะกับเลือดกำลังไหลออกจากจมูกของนาง
จ้าวเฟยเห็นเลือดแดงสดในมือทิ่มแทงสายตานัก นางจึงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดและหวาดกลัว “ข้าเป็นอะไร…นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเลือดไหล…” นางรู้สึกว่าหางตาของนางคันยุบยิบด้วยของเหลวอยู่ในดวงตาของนางทั้งคู่ เบื้องหน้าเป็นสีแดงไปหมด ราวกับมองสิ่งใดล้วนไม่ชัดเจน นางยกมือขึ้นเช็ดรับรู้ได้ว่านั่นเป็นเลือดเช่นกันจึงร้องลั่นด้วยความตกใจในที่สุด
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…” นางเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยอย่างเคียดแค้น “ใจคอเจ้าช่างอำมหิตนัก…เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่…อ๊า…”
จ้าวเฟยเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สีหน้าท่าทางน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด ร่างของซินหรูสั่นเทิ้มยืนแอบอยู่ข้างหลังหลินชิงเวย เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านข้างเริ่มส่งเสียงร้องออกมา
จ้าวเฟยยังคงไม่ยอมถอดใจ นางค่อยๆ เดินมาข้างหน้ายื่นมือที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ออกมา ราวกับจะเข้ามาจับหลินชิงเวย นางอ้าปากราวกับต้องการเอ่ยวาจาอันใด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามีเพียงโลหิตสีดำไหลออกมา จ้าวเฟยหายใจหอบในที่สุดก็พูดเสียงลอดไรฟันออกมาไม่กี่คำ ทว่ากลับเป็นชื่อของหลินชิงเวย “หลิน…ชิงเวย…”
ไม่ต้องพูดถึงซินหรู กระทั่งหลินชิงเวยก็หน้าซีดเผือดเช่นกัน ซินหรูกระตุกแขนเสื้อของหลินชิงเวยและพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน “พี่สาว พี่สาวรีบช่วยนางสิเจ้าคะ…”
ยามนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ จ้าวเฟยมาตายที่นี่ หลินชิงเวยย่อมไม่อาจปัดความรับผิดชอบเด็ดขาด
หลินชิงเวยได้ยินเสียงของตนดังออกมาจากลำคอว่า “ไม่มีประโยชน์ นางกระอักโลหิตเป็นพิษออกมา อวัยวะภายในร่างกายได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
ในที่สุดทุกคนได้แต่มองจ้าวเฟยเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดกระทั่งขาดใจตาย นางค่อยๆ ล้มลงเบื้องหน้าหลินชิงเวย ใบหน้าซีดขาวราวกับน้ำค้างในฤดูเหมันต์ เลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดราวกับดอกเหมยแดงในเหมันตฤดู ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว นางตายตาไม่หลับ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง นัยน์ตาของนางล้วนเป็นสีแดงเลือด
นางกำนัลพากันหลีกหนีออกจากสถานที่แห่งนี้
ซินหรูพูดจาตะกุกตะกัก “ยามนี้ ยามนี้…ทำ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ…”
บรรยากาศรอบๆ เงียบสงัด หลินชิงเวยมองจ้าวเฟยที่นอนสิ้นใจอยู่ตรงนั้นอย่างน่าเวทนาราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้คือความจริง ในยามปกติจ้าวเฟยไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาด้วยมีไทเฮาหนุนหลัง หยิ่งผยองยโสโอหัง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะมีจุดจบเช่นนี้
ไม่ ไม่สิ เวลานี้นางไม่ควรจะมานั่งสงสารจ้าวเฟย ที่นางสมควรกังวลที่สุดคือตัวนางเอง ทันทีที่จ้าวเฟยตายซ้ำยังมาตายเบื้องหน้านาง นางจะแคล้วคลาดปลอดภัยได้อย่างไร!
ยามนี้สายตาอันแหลมคมของหลินชิงเวยเห็นหนอนสีขาวตัวหนึ่งมีขนาดลำตัวเท่ากับเส้นผม กำลังชอนไชออกมาจากร่างของจ้าวเฟย มันเลื้อยไปมาบนพื้นอย่างเชื่องช้า
หากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดแทบจะไม่พบว่ามันชอนไชออกมาจากร่างของจ้าวเฟยด้วยซ้ำ หรืออาจจะพูดได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่พบเห็นมักจะเข้าใจว่าหนอนตัวเลี้ยงเลื้อยออกมาจากที่ไหนสักแห่งแล้วบังเอิญผ่านมา
หนอนตัวนั้นมีลักษณะพิเศษอย่างยิ่ง ลำตัวของมันมีสีขาวราวกับน้ำนม ทว่าภายในลำตัวของมันเส้นสีดำเส้นหนึ่ง ดูไปแล้วลำตัวสีขาวของมันราวกับโปร่งแสงเห็นเป็นสองส่วน ทำให้คนที่มองเห็นขนลุกเกรียวอย่างห้ามไม่อยู่
บทที่ 124 ใช้ศาลเตี้ยตัดสิน
หลินชิงเวยนั่งยองๆ ลงไปโดยไม่หยุดคิด นางรีบหยิบขวดยาขวดเล็กที่มักจะพกติดตัวเสมอออกมาขวดหนึ่งแล้วเทยาทั้งหมดที่อยู่ในนั้นออกมาจนหมด จากนั้นนำหนอนตัวนั้นใส่ไว้ในขวดกระเบื้องใบนั้น
และในเวลาเดียวกันไทเฮาเสด็จมาถึง เห็นกับตาว่าจ้าวเฟยนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น อีกทั้งหลินชิงเวยนั่งยองๆ อยู่ข้างกายของนาง บนพื้นเต็มไปด้วยเม็ดยาลูกกลอน
ไทเฮาแทบจะสิ้นสติ และฟื้นคืนสติกลับมาอย่างมิง่ายดายนัก จากนั้นสั่งให้คนจับกุมหลินชิงเวยและซินหรูเอาไว้
ไทเฮาไม่เคยกริ้วเช่นนี้มาก่อน นางเคียดแค้นชิงชังนักที่มิอาจประหารหลินชิงเวยทันที หมัวมัวรูปร่างสูงใหญ่สี่ห้านางควบคุมหลินชิงเวยและซินหรูเอาไว้อย่างแน่นหนา มาตรว่าไม่อย่างไรหลินชิงเวยและซินหรูก็มิอาจจะรอดพ้นจากเคราะห์ครั้งนี้ได้ หากนางและซินหรูตกอยู่ในเงื้อมือของไทเฮามีเพียงเกือบตายและตายเท่านั้น ดังนั้นนางจึงดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิต
ชิงหลันรับรู้ได้ว่านายของมันตกอยู่ในอันตราย บาดแผลของมันยังไม่หายดีนักไม่รู้ว่ามันเลื้อยมาจากหนแห่งใด มันเลื้อยเข้าไปในอกของหลินชิงเวยเตรียมจะเลื้อยไปตามแขนของนางเพื่อกัดมือของหมัวมัวที่จับแขนของหลินชิงเวยเอาไว้ ทว่าหลินชิงเวยกลับเรียกให้มันถอยร่น
ชิงหลันมีพิษที่ปลิดชีพผู้คนได้ หากออกมากัดคนในเวลานี้ เช่นนั้นย่อมส่งผลให้นางยากแก่การที่จะพ้นมลทินได้ ทว่าอาศัยเพียงกำลังของตนเองในการต่อต้านขัดขืนหมัวมัวเรี่ยวแรงมหาศาลเช่นนั้นแทบจะไร้หนทางหนีเอาตัวรอด
ไทเฮาเห็นเช่นนั้นจึงยิ่งโกรธแค้น “หลินซื่อคนบาป เปิ่นกงอดทนอดกลั้นต่อเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ปรับปรุงตัว ซ้ำยังประพฤติตัวร้ายแรงขึ้นอีก บัดนี้ถึงกับกล้าหาญเทียมฟ้าสังหารจ้าวเฟย เจ้ายังดิ้นรนต่อสู้อีก เด็กๆ วันนี้เปิ่นกงจะโบยคนชั้นต่ำสองคนนี้ให้ตาย!”
ดังนั้นขันทีของตำหนักคุนเหอจึงพากันขนย้ายไม้กระดานและไม้กระบองมา เตรียมจะใช้ลงทัณฑ์ในตำหนักฉางเหยี่ยน
เมื่อไทเฮาเห็นจ้าวเฟยตายอยู่ที่นั่นมีเพียงหลินชิงเวยและซินหรูอยู่ในที่เกิดเหตุ ซ้ำยังมีเม็ดยาลูกกลอนตกเรี่ยราดอยู่เต็มพื้น เช่นนี้จึงไม่ยากที่จะให้คนคาดเดา จะต้องเป็นหลินชิงเวยกรอกยาจ้าวเฟยจนตาย จับตัวขันทีในตำหนักฉางเหยี่ยนมาสักคนหนึ่ง ขันทีให้การปากสั่นว่าขณะที่จ้าวเฟยเลือดไหลนั้นหลินชิงเวยยืนอยู่ข้างกายนาง!
ไทเฮามีเหตุผลอย่างถูกต้องทำนองคลองธรรมในการประทานโทษตายให้แก่หลินชิงเวยอย่างเปิดเผยในที่สุด!
หัวเข่าของหลินชิงเวยถูกหมัวมัวโบยลงมาหนึ่งไม้ ความเจ็บปวดนั้นทำให้นางคุกเข่าลงทันที นางคิดจะอ้าปากอธิบายทว่ากลับถูกหมัวมัวตบเข้ามาที่กกหูฉาดหนึ่ง หมัวมัวคนนี้เห็นนางขัดหูขัดตามานานแล้ว ครั้งก่อนเมื่ออยู่ในตำหนักหน้าของเซ่อเจิ้นอ๋อง หลินชิงเวยกลั่นแกล้งหมัวมัวคนนี้จนหัวปั่น
ในสมองของหลินชิงเวยมีเสียงดังหวึ่งๆ นางและซินหรูถูกลากตัวไปขึงพืดไว้บนไม้กระดาน หลินชิงเวยยังคงต้องการพูด นางกัดฟันแน่นแล้วหันหน้ามองขึ้นไป เห็นใบหน้างดงามประณีตของไทเฮา สีหน้าของนางแดงเรื่อ เส้นเลือดสีเขียวข้างลำคอขาวผ่องนั้นปูดโปนขึ้นมา
หลินชิงเวย “ข้ารู้ว่าท่านคิดจะจัดการข้ามาโดยตลอด เวลานี้มีโอกาสให้ท่านจับกุมตัวแล้ว คาดว่าสตรีเลือดเย็นเช่นท่านคงไม่ใส่ใจต่อการตายของจ้าวเฟย นางก็แค่หลานสาวห่างๆของท่านมิใช่หรือ เวลานี้นางนอนตายตาไม่หลับไฉนจึงไม่เห็นท่านก้าวเข้ามาดูบ้าง ไฉนจึงไม่เห็นท่านหลั่งน้ำตาแม้สักหยดเลยเล่า!”
“หุบปาก คนต่ำช้า! ไทเฮาเหนียงเหนียงทรงปรีชาสามารถ เป็นคนที่เจ้ากล้าสงสัยได้รึ!”
หลินชิงเวยถูกตบตีจนริมฝีปากปริแตก นางถ่มน้ำลายปนเลือดใส่หน้าหมัวมัว “แค่อาศัยว่าข้าอยู่ข้างกายขณะที่จ้าวเฟยตาย พวกเจ้าก็กล้าตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรผู้สังหารหรือ? เหตุใดข้าต้องสังหารนาง เหตุใดข้าต้องรอให้นางมาถึงในตำหนักของข้าแล้วถึงสังหารนาง? พวกเจ้าไม่มีสมองหรือ นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกรึ! ข้าไม่ใช่ฆาตกร แต่เป็นคนอื่น หากพวกเจ้าสังหารข้าในวันนี้ ข้ารับรองว่าต่อไปจะมีคนตายมากขึ้น!” นางหันไปมองไทเฮานิ่งๆ มุมปากประดับรอยยิ้มชั่วร้าย “และคนที่จะตายเป็นคนต่อไปก็คือไทเฮา!”
ไทเฮาเป็นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนเคยชิน ย่อมไม่ถูกสายตาของหลินชิงเวยทำให้เกิดความหวาดกลัวได้ นางสงบสติอารมณ์กล่าวสะบัดเสียงว่า “ยังโง่งมอะไรกันอีก ยังไม่รีบลงมือ!”
“ไท ไทเฮา…”
“อะไร!” ไทเฮาหันไปถลึงตาใส่ผู้ที่พูดจาอย่างอดรนทนไม่ได้
หัวหน้าขันทีคนสนิทผู้ดูแลตำหนักคุนเหอของนางถอยหลังไปด้านข้างสองก้าวและพูดเสียงสั่นว่า “ท่าน บนหลังของท่าน…มีงูตัวหนึ่งพะยะค่ะ…”
ไทเฮาตกตะลึงและไม่เชื่อ บนร่างของนางจะมีงูได้อย่างไร อีกทั้งงูเลื้อยขึ้นมาอยู่บนร่างของนางตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ไทเฮากำลังคิดจะยื่นมือไปลูบดู ไหนเลยจะคิดว่าเสียงส่งสารของงูดังฟู่ๆ ดังขึ้นข้างลำคอของนาง นางตัวเกร็งหันหน้าไปมอง ประจวบเหมาะกับเห็นหัวของงูตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังส่ายไปมา นางรู้สึกตัวในอึดใจต่อมาพร้อมกับกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจ
ท่าทีของไทเฮาในนาทีนี้ไร้อำนาจบารมี นางกรีดร้องทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งกระโดดโลดเต้นอย่างวุ่นวาย ขันทีจนปัญญาที่จะช่วยเหลือนาง นางมีปฏิกิริยาตอบโต้ต่องูตัวนั้นอย่างรุนแรง เวลานี้ไม่รู้ว่างูตัวนั้นเลื้อยไปซ่อนตัวที่ใดแล้ว
ในที่สุดก็เห็นหางของงูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากใต้กระโปรงของไทเฮา ขันทียังไม่ทันได้สติ งูตัวนั้นก็เลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อหันไปมองไทเฮาอีกครั้ง ทรงผมและหน้าตาที่ประทินโฉมเอาไว้ ไหนเลยจะมีท่าทางของไทเฮาแม้เพียงครึ่งส่วน
หลินชิงเวยอยากอ้าปากหัวเราะหัวจริงๆ
และนางทำเช่นนั้นจริงๆ ขณะที่เพิ่งจะฉีกริมฝีปากยิ้มได้เพียงครึ่งเดียวก็มีเสียงขานจากข้างนอกดังขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ–เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ–”
รอยยิ้มของหลินชิงเวยที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาไทเฮาช่างทิ่มแทงสายตายิ่งนัก
ไทเฮาหันไปตวัดสายตาคมปลาบมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นจึงรีบจัดอาภรณ์และผมเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง หันกลับมารับเสด็จฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง ที่จริงนางสามารถนำตัวหลินชิงเวยและซินหรูกลับไปยังตำหนักคุนเหอแต่ด้วยนางกังวลว่าหากรั้งเวลานานออกไปอาจถูกฮ่องเต้มาช่วยคนระหว่างทางได้ ทว่าบัดนี้ดูแล้วต่อให้นางประทานโทษตายให้กับหลินชิงเวยในที่เกิดเหตุก็ยังไม่อาจทำสำเร็จได้
เพลานี้ฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องเดินเข้ามาอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เมื่อเซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยและซินหรูถูกควบคุมตัวเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆ นั้นปรากฏให้เห็นความเย็นชาครึ่งหนึ่งและความโกรธขึ้งครึ่งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ “นี่พวกเจ้าทำอันใดกัน ยังไม่ปล่อยคนให้เจิ้นอีก!”
ไทเฮาส่งสัญญาณทางสายตา ขันทีไม่อาจไม่ปล่อยตัวหลินชิงเวยและซินหรู หลินชิงเวยยืนขึ้นแล้วถ่มน้ำลายลงบนพื้นแล้วช้อนตาขึ้นมองหมัวมัวข้างกายตน
มีฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ด้วยหมัวมัวในยามนี้จึงมีท่าทีเคารพนบนอบและซื่อสัตย์ให้เห็น หลินชิงเวยเงื้อมือขึ้นตบฉาดลงไปบนใบหน้าของหมัวมัวผู้นั้น เสียง พ่าบๆๆ ดังชัดเจนหลายครั้ง
ตบเสียจนหมัวมัวมีสีหน้างุนงง หมัวมัวโกรธขึ้งทว่าไม่กล้าพูดจา ครานี้นางถูกเอาคืนเสียแล้ว
ไทเฮากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้า! หลินชิงเวยเจ้ามีความผิดติดตัว ยังกล้าตบตีคนของเปิ่นกง!”
“มีความผิด?” หลินชิงเวยยกหางตาขึ้น “บังอาจถามไทเฮา ข้ามีความผิดอันใด? ทันทีที่ไทเฮามาถึงไม่แยกแยะถูกผิดก็ตัดสินกำหนดโทษฆ่าคนตายให้ข้าและซินหรู และใช้ศาลเตี้ยกำหนดโทษให้ข้าทั้งสองคนโดยไม่ไต่สวน อย่างไรทั้งหมดล้วนอาศัยท่านพูด ในเมื่อออกมาใช้ชีวิตแล้วก็ต้องชดใช้คืนใช่หรือไม่”
เซียวจิ่นถาม “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
ไทเฮาหายใจเข้าลึก ขันทีหลายคนหลีกทางให้เห็นภาพจ้าวเฟยนอนตายอยู่บนพื้น เรื่องราวจึงปรากฏให้เห็น สีหน้าของเซียวจิ่นถึงกับซีดขาวทันที
ไทเฮายกผ้าเช็ดหน้าไหมขึ้นซับน้ำตาบริเวณหางตา “เปิ่นกงมิใช่คนไม่มีเหตุผล วันนี้ซือหลันมาตำหนักฉางเหยี่ยน เปิ่นกงได้ยินว่านางมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเชียนเหอนางกำนัลของนาง ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลินซื่อใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารจ้าวเฟยทันที!”