ปี้หลิงและซินหรูต่างตระหนกตกใจทั้งคู่
หลินชิงเวยเก็บเข็มเงินขึ้นมาแล้วปัดๆ มือราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ต้องกังวล นางเพียงแค่นอนหลับไปชั่วคราวเท่านั้นเอง”
ปี้หลิงมีสีหน้าปกติดังเดิม นางถามขึ้นว่า “เหนียงเหนียงมีเรื่องอันใดจะมอบหมายให้บ่าวไปทำเพคะ?”
หลินชิงเวยนั่งยองๆ ลงบนพื้นเปิดฝาขวดยาในมือออกมาอีกครั้ง ให้ปี้หลิงมองเห็นหนอนที่อยู่ข้างในเลื้อยไปข้างหน้า “เห็นแล้วหรือไม่ ของสิ่งนี้”
ปี้หลิงพยักหน้าตื่นกลัว
หลินชิงเวยเก็บหนอนตัวนั้นขึ้นมาแล้วมอบขวดยานั้นให้กับปี้หลิง “มีความเป็นไปได้ว่าหนอนข้างในนี้จะนำพาพวกเจ้าไปพบที่อยู่ของฆาตกร หากข้ามิได้คาดเดาผิดมันควรจะเป็นหนอนที่ฆาตกรเลี้ยงเอาไว้ ยามนี้ข้ามอบมันให้กับเจ้า เจ้าออกไปแล้วนำมันไปมอบให้กับเซ่อเจิ้งอ๋อง เซ่อเจิ้งอ๋องจะอาศัยหนอนตัวนี้จับกุมฆาตกร”
เมื่อแรกปี้หลิงยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง มือของนางสั่นสะท้านไม่กล้ารับมา
หลินชิงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้ากลัวอะไรมีขวดกระเบื้องกั้นกลางอยู่ มันเลื้อยออกมาไม่ได้สักหน่อย นอกจากเจ้าเปิดฝาจุกขวดออก” ปี้หลิงแข็งใจรับมา หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “แต่เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก หากมันหนีไปยังดีหน่อย หากมันหนีไปอยู่บนร่างกายของคนละก็ยุ่งยากแน่ๆ”
ปี้หลิงพยักหน้า “เหนียงเหนียงโปรดวางใจเพคะ บ่าวรู้ว่าจะทำทำอย่างไร!”
“ดีแล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
ต่อมาปี้หลิงกำขวดยานั้นไว้นั้นมือออกจากเรือนหลังเล็กไป หลินชิงเวยและซินหรูนั่งแอบอิงกันนอนหลับไปงีบหนึ่ง กระทั่งหมัวมัวได้สติคืนมานางทั้งสองยังนอนไม่ตื่น
หมัวมัวมองไปรอบๆ ไหนเลยจะมีเงาร่างของปี้หลิงจึงรู้สึกโกรธกรุ่นขึ้นมา “หลินเจาอี๋ช่างดียิ่งนัก ไทเฮามีรับสั่งให้ข้ามาจับตาดูเจ้า เจ้าถึงกับวางยาให้ข้าเลอะเลือน!”
หลินชิงเวยขยี้ดวงตาค่อยๆ ตื่นขึ้น นางพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เอ๊ะ หมัวมัวตื่นแล้วหรือ? เมื่อสักครู่หมัวมัวนอนหลับไปนานมาก ราวกับในยามปกติไม่มีเวลาว่างพอที่จะนอนให้อิ่มกระมัง”
“เชื่อหรือไม่ว่าหากข้าไปรายงานไทเฮา เจ้าย่อมต้องเจอดีแน่!”
หลินชิงเวยยักไหล่พูดอย่างเห็นขันว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปกราบทูลไทเฮาเถิด ตนเองแอบขี้เกียจแล้วยังกล่าวโทษคนอื่น ไม่รู้ว่าไทเฮาจะคิดอย่างไร”
“เจ้า!” หมัวมัวสงบสติอารมณ์ นางคิดว่าที่นางนอนหลับไปเป็นเพราะฝีมือของหลินชิงเวย ที่จริงไม่มีหลักฐานอะไร นางจึงชี้นิ้วถามว่า “เจ้าบอกให้ปี้หลิงไปทำอะไร?”
หลินชิงเวย “ไม่มีอะไร เพียงแค่ให้นางช่วยข้าดูแลแปลงสมุนไพรในตำหนักฉางเหยี่ยนให้ข้า รดน้ำทุกวัน”
“เพียงแค่นี้?”
“แค่นี้”
หมัวมัวคิดว่านางถูกหลินชิงเวยปั่นหัวเสียแล้ว จึงโกรธขึ้งทว่าจนปัญญาเช่นกัน สุดท้ายได้แต่เดินสะบัดออกไป มาตรว่าหากหลินชิงเวยต้องการให้ตามคนน่าจะไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
กล่าวโทษหลินชิงเวยไม่ได้เช่นกันที่ไม่ปรารถนาให้คนของไทเฮารู้เรื่องนี้ คนของไทเฮานอกจากดุร้ายแล้วยังทำอะไรได้อีก ความเป็นไปได้เกินครึ่งก็คือทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ทว่าดูเหมือนหลินชิงเวยจะประเมินปี้หลิงสูงไป
ขณะเดียวกันนี้ หลังจากปี้หลิงกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนนางมองขวดกระเบื้องในมือด้วยจิตใจที่ยากจะสงบลงได้ หลินชิงเวยต้องการให้นางนำของสิ่งนี้มอบให้กับเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่นางกลับบังเกิดความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของตน จึงลังเลอยู่นั่นเองว่าตนเองควรมอบสิ่งของให้เซ่อเจิ้งอ๋องหรือไม่
หากมอบสิ่งของนี้ให้กับเซ่อเจิ้งอ๋อง เช่นนั้นเรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับนาง
แต่ถ้าหากนางเป็นผู้ไปตามหาฆาตกรเอง…ปี้หลิงปรนนิบัติรับใช้อยู่ในวังหลวงมาเป็นเวลาหลายปี แม้ยามนี้จะกล่าวได้ว่าหลินชิงเวยดีต่อนางไม่เลว นางก็เป็นเพียงนางกำนัลไร้ศักดิ์ฐานะคนหนึ่ง เจ้านายท่านใดท่านหนึ่งในวังหลวงล้วนเหยียบย่ำนางได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะเหินกายใฝ่สูงขึ้น เพียงแค่เดินก้าวเล็กๆ บนพื้นดินก็ทำให้นางมีความสุขอย่างคลุ้มคลั่ง
ยามนี้เป็นโอกาสที่ดี
ปี้หลิงคิดในใจว่าขอเพียงตนเองมีขวดยานี้ในมือย่อมหาตัวฆาตกรพบ นางก็จะสามารถสร้างความดีความชอบ ถึงเวลานั้นนางย่อมได้เลื่อนขั้น มิใช่เป็นเพียงนางกำนัลชั่วนาตาปีเช่นนี้ หรืออาจจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้เล็กน้อยก็ถือเป็นเรื่องดีมากแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ปี้หลิงจึงตัดสินใจเด็ดขาดในที่สุด นางเปิดฝาจุกขวดยาออกแล้ววางขวดยาลงบนพื้น ให้หนอนสีขาวตัวนั้นเลื้อยออกมา
หนอนตัวนั้นเลื้อยไปข้างหน้าอย่างรู้ทิศทาง ปี้หลิงตามติดมันตลอด เดินออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน
นางเชื่อคำพูดของหลินชิงเวยมากกว่าครึ่ง ในใจคิดว่ารอให้เจ้าหนอนตัวนี้ไปถึงที่หมาย นางย่อมรู้ว่าฆาตกรอยู่ที่ใด ถึงยามนี้ค่อยนำความไปบอกกับองครักษ์ในวังหลวงมาจับกุมฆาตกร เรื่องนี้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ปี้หลิงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงภาพที่นางสร้างความดีความชอบสำเร็จ หัวใจของนางเต้นตุบๆ อย่างกระวนกระวาย
หลังจากออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน มันเดินไปอีกนาน ปี้หลิงทุ่มเทความรู้สึกนึกคิดไปกับการเดินของหนอนตัวนั้นลืมกระทั่งว่าตนเองกำลังเดินไปทิศทางใด ใต้ป่าไม้ร่มเย็น นางเดินไปถึงทางเดินยาวเล็กๆ ทั้งสองข้างทางมีต้นไทรที่บดบังแสงตะวัน รากของต้นไทรอันเก่าแก่งอกออกมาบนพื้นดิน รากไทรเหล่านั้นเหมือนหนวดเคราของคนชรา
ในที่สุด เส้นทางสายนี้ก็มาถึงปลายทาง เบื้องหน้าขึ้นไปอีกเป็นเรือนหลังเล็กที่อยู่ในที่เปลี่ยวหลังหนึ่ง มีสายลมพัดออกมาจากในเรือน เสียงกระทบกันของใบไผ่ดังขึ้นซ่าๆ ใบไผ่ที่แน่นหนา ลำไผ่ที่คดโค้งไปมา ล้วนสูงกว่าหลังคาของเรือนหลังเล็กแห่งนี้ ยามนี้มันกำลังส่ายไปเอนซ้ายเอนขวาไปมา ราวกับกำลังกวักมือให้กับปี้หลิงต้อนรับนางเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ปี้หลิงเบิกตาโต มองหนอนตัวนั้นเลื้อยเข้าไปในประตูหลัก ที่น่าประหลาดก็คือหน้าประตูหลักไม่มีข้ารับใช้เฝ้าอยู่แม้แต่คนเดียว
ปี้หลิงเงยหน้ามองขึ้นไป บนขื่อประตูมีตัวอักษรเขียนไว้สามตัว–ทิงจู๋เซวียน
ปี้หลิงเป็นคนเก่าแก่ในวังหลวง นางไหนเลยจะไม่เคยได้ยินชื่อทิงจู๋เซวียน ผู้ที่พำนักอยู่ในทิงจู๋เซวียนคือจู๋กุ้ยเหริน
จู๋กุ้ยเหรินผู้นี้เป็นใคร? มิใช่องค์หญิงของอวิ๋นหนานอ๋องหรือ
เพียงแต่นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและรักสงบ ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หรือไทเฮาจึงง่ายดายยิ่งนักที่จะถูกผู้คนลืมเลือน
ปี้หลิงตื่นตระหนกในใจ หรือผู้ที่สังหารจ้าวเฟยคือจู๋กุ้ยเหริน?! ไม่ได้ นางต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้กับเซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ต้องจับกุมจู๋กุ้ยเหรินไว้ก่อน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ปี้หลิงไม่มีเวลาแม้แต่จะเหลือบมองภายในทิงจู๋เซวียนอีกครั้ง หันหน้าแล้วเตรียมจะจากไป
แต่ปี้หลิงคาดไม่ถึงว่า นาทีที่นางหันกลับมาเงยหน้าขึ้นมองก็ตกใจแทบตาย ข้างหลังนางปรากฏสตรีในอาภรณ์ชุดแดงทั้งตัวยืนอยู่อย่างไร้สุ้มเสียง ความงดงามเหนือธรรมดา นางไม่รู้ว่ามาปรากฏกายอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด
จู๋กุ้ยเหรินโปรดปรานสวมอาภรณ์สีแดง นางกำนัลในวังไม่น้อยต่างรู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะในงานเลี้ยงคืนวันเทศกาลซ่างซื่อ การร่ายรำของจู๋กุ้ยเหรินในอาภรณ์สีแดงนั้นสร้างสีสันให้กับทุกคนล้วนเป็นที่กล่าวถึง
ปี้หลิงหนาวเยือกไปทั้งใจ เห็นจู๋กุ้ยเหรินที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ เพียงแต่จ้องนางเขม็ง
ปี้หลิงเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ จึงถอยหลังหนึ่งก้าวเล็กๆ จู๋กุ้ยเหรินเดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเล็กๆ เช่นกัน ปี้หลิงจึงถอยอีก
หนึ่งถอยหนึ่งก้าวขึ้นหน้าเช่นนี้ ปี้หลิงเท้าพันกันด้วยถูกธรณีประตูของประตูหลักทิงจูเซวียนทำให้สะดุดล้ม ร่างของนางจึงกลิ้งตัวเข้าไป…
ผ่านไปหลายวันเช่นนี้แล้ว ด้านนอกตำหนักคุนเหอไม่มีข่าวคราวกับจับกุมตัวฆาตกรได้แม้แต่น้อย และไม่พบปี้หลิงกลับมาส่งสาร หลินชิงเวยจึงคิดได้เพียงว่ามีความเป็นได้มากกว่าครึ่งว่าเรื่องนี้ล้มเหลว
คิดไม่ถึงว่า ขณะที่หลินชิงเวยไม่เหลือความหวังอันใดต่อเรื่องนี้ ปี้หลังกลับมาที่นี่อีกครั้ง ขันทีของตำหนักคุนเหอเดิมไม่อนุญาตให้นางพบกับหลินชิงเวย คิดไม่ถึงว่านางจะอ้าปากพูดด้วยสีหน้าเขียวคล้ำว่า “ข้ารู้ว่าผู้ใดคือฆาตกร”