ทันทีที่ไทเฮามองเห็นก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ในสมองมีเพียงความผะอืดผะอม เหล่าขันทีขวัญอ่อนสักหน่อยที่อยู่ในที่นั่นล้วนไม่กล้ามองตรงๆ ที่กล้าหาญสักหน่อยก็มองผ่านๆ แวบหนึ่ง คิดดูแล้วสองสามวันถัดมาคงจะกินอาหารไม่ลง
หลินชิงเวยพูดกับซินหรู “กลับไปที่ห้องโอสถของข้าหยิบถุงมือที่แช่อยู่ในน้ำยาคู่นั้นมา”
ซินหรูไม่รอให้เจ้านายทั้งสามท่านที่อยู่ในเหตุการณ์เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เรื่องของพี่สาวสำคัญที่สุด นางรับคำแล้ววิ่งออกไปทันที
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเมื่อพบกับเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ ซินหรูมีความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง นางวิ่งเสียจนหายใจไม่ทัน ไม่เพียงแต่นำถุงมือหนังงูคู่นั้นมา ยังหิ้วล่วมยาของหลินชิงเวยมาพร้อมกันด้วย
กล่าวได้ว่าอุปกรณ์ในล่วมยานี้นำมาใช้ในการช่วยชีวิตคน แต่ในล่วมยานี้มีหลายชั้น ด้านล่างสุดของมันมีอุปกรณ์ที่หลินชิงเวยยังไม่เคยใช้มาก่อน ล้วนนำมาใช้ในการชันสูตรพลิกศพหรือการชำแหละเพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด ยามนั้นเพียงคิดว่าคงมีสักวันที่ได้นำมาใช้ เวลานี้จึงคิดได้ว่าได้ใช้แล้ว
“พี่สาว นำมาแล้วเจ้าค่ะ…” ซินหรูพูดทั้งหอบหายใจพร้อมกับวางสิ่งของไว้เบื้องหน้าหลินชิงเวย
หลินชิงเวยมองหางแวบหนึ่ง พูดอย่างเห็นขันว่า “เจ้าวิ่งเร็วปานลมกรดหรือ?”
ซินหรูหน้าแดงหัวเราะให้นางสองครั้ง
ต่อมาหลินชิงเวยสวมถุงมือ หยิบมีดสำหรับชันสูตรพลิกศพขึ้นเล่มหนึ่งมาจากชั้นล่างสุดของล่วมยา
ไทเฮาส่งเสียงทันที “หลินซื่อ เจ้ากล้าใช้อาวุธมีคมในตำหนักหรือ?”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองไทเฮาด้วยสายตานิ่งๆ ความมั่นใจเต็มเปี่ยมแผ่ซ่านออกมา ในสายตาของนางไทเฮาก็คือเด็กที่ไม่รู้อะไรคนหนึ่ง นางจึงพลิกมือขึ้นกรีดมีดลงบนอาภรณ์ของปี้หลิงทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งกล่าวอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “ไทเฮามิใช่ตรัสว่าหม่อมฉันเป็นผู้สังหารปี้หลิงหรอกหรือเพคะ หม่อมฉันต้องหาหลักฐาน”
“นี่เจ้ากำลังไม่เคารพต่อผู้ตาย!”
“ไม่เคารพ?” หลินชิงเวยเลิกคิ้วทั้งคู่ “ผู้ตายตายตาไม่หลับ ไทเฮาอย่าได้หาเหตุผลเลอะเลือนมาสนับสนุน นี่ก็คือการเคารพต่อผู้ตาย?” รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางเย็นชา “หากไทเฮาต้องการตรวจสอบให้ละเอียด ไม่สู้เชิญหมอหลวงท่านหนึ่งมาดู จากนั้นค่อยตัดสินว่าตายเพราะต้องพิษ?”
“เจ้า!” ไทเฮาตบโต๊ะ โมโหเสียจนต้องยืนขึ้นมา
เซียวจิ่นส่งเสียงขึ้นมาในเวลาอันเหมาะสม “เสด็จแม่โปรดระงับโทสะ รอชิงเวยตรวจดูเสียก่อนว่านางพูดอย่างไรเถิด”
หลินชิงเวยกรีดเปิดอาภรณ์ของปี้หลิง เปิดออกไปด้านข้างปรากฏให้เห็นร่างกายของนาง
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยชี้ไปบนร่องรอยเขียวม่วงตามร่างของของปี้หลิง นางกล่าวเสียงหนักว่า “บนร่างของปี้หลิงมีร่องรอยเป็นศพอย่างชัดเจน ร่องรอยปรากฏบนแผ่นหลังเต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่านางไม่ได้เพิ่งตายเพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่นางตายมาแล้วอย่างน้อยเป็นเวลาสองวัน”
คนทั้งหมด “…”
จมูกของหลินชิงเวยไวกว่าทุกคน และเป็นเพราะทักษะความสามารถจากการสั่งสมประสบการณ์ในชาติที่แล้ว การมองเห็น การดม การถาม ทั้งหมด…โรคจิตจริงๆ
ทุกคนล้วนตั้งตัวไม่ติด ราวกับทุกคนใจสลาย ด้วยใครๆ ต่างคิดว่าปี้หลิงเพิ่งจะตายในเรือนหลังเล็กนั้น ไม่ได้คิดถึงจุดนี้มาก่อน จะมีใครไปสูดดมกลิ่นอย่างจริงจัง คิดไม่ถึงว่าจะตายมาวันสองวันแล้ว
เมื่อหลินชิงเวยได้กล่าวย้ำ ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่ยินยอมไปดอมดมทั้งสิ้น ทว่าทุกคนกลับอดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อแยกแยะถึงความแตกต่างอย่างละเอียด หลังจากนั้น–ต่างอยากอาเจียนด้วยความสะอิดสะเอียน!
ไม่รู้เป็นเพราะอุปทานจากความคิดหรือมีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ หลังจากหลินชิงเวยชี้ชัดให้ทุกคนกระจ่างแจ้ง สีหน้าของคนทั้งหมดในตำหนักล้วนซีดขาวจนเกือบเขียว
สีหน้าของไทเฮาในยามนี้ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด “เหลวไหลทั้งเพ! เจ้าพูดว่าสองวันก่อนหน้านี้นางก็ตายแล้ว หรือคนตายคนหนึ่งยังเดินเหินไปมาเองได้หรือ พูดจาเองได้หรือ? คนของตำหนักคุนเหอเห็นนางเดินเข้ามากับตา ล้วนได้ยินนางพูดจาบอกว่ารู้ว่าผู้ใดคือฆาตกร เป็นเพราะเจ้ากลัวว่านางจะเปิดโปงเจ้าเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้สังหารคนเพื่อปิดปาก! ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้หลายวันปี้หลิงยังได้มาพบเจ้าที่ตำหนักคุนเหอ!”
หลินชิงเวยไม่ได้ตอบคำถาม นางคร้านจะมานั่งถกเถียงปัญหาเรื่องวิชาการและความเป็นมืออาชีพกับหญิงสติฟั่นเฟือนคนหนึ่ง
แต่เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนล้วนอยู่ที่นี่ซินหรูจึงมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อยจึงเอ่ยออกไปอย่างปากไวว่า “วันนั้นพี่สาวพบปี้หลิงก็ด้วยเรื่องการตามหาตัวฆาตกรเจ้าค่ะ พี่สาวพบหนอนตัวหนึ่งในร่างกายของจ้าวเฟย เดิมทีให้ปี้หลิงนำหนอนตัวนั้นไปมอบให้กับเซ่อเจิ้งอ๋อง หนอนตัวนั้นเลื้อยไปหยุดหยู่ที่ใดก็รู้ได้ว่าฆาตกรอยู่ที่ใด ไหนเลยจะรู้ว่าปี้หลิงกลับถูกพิษนั้นด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่สาวเจ้าค่ะ!”
เซียวเยี่ยนที่เงียบขรึมมาตลอดเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “เปิ่นหวางไม่ได้รับสิ่งของใดๆ จากปี้หลิงทั้งสิ้น”
หลินชิงเวย “ดังนั้นปี้หลิงจึงมานอนอยู่ตรงนี้” นางขยับคอไปมาและพูดอีกว่า “ส่วนเรื่องที่เหตุใดคนตายจึงเดินเหินและพูดจาได้ ใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้มีเรื่องราวมหัศจรรย์มากมาย ยามนี้มาดูกันว่าด้วยสาเหตุใด”
พูดแล้วหลินชิงเวยก็ใช้มีดเล่มบางในมือของตนกรีดลงบนผิวของปี้หลิง เปิดผิวหนังของปี้หลิงออกอย่างง่ายดาย …
หลินชิงเวยใช้มีดเขี่ยหนอนตัวหนึ่งในนั้นออกมา แล้วโยนมันเข้าไปในขวดกระเบื้อง
บรรยากาศในขณะนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งยังน่าสะอิดสะเอียน แต่สีหน้าหลินชิงเวยกลับไม่เปลี่ยนสักนิด “หนอนชนิดนี้เมื่อก่อนไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ข้าคิดว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับมัน พวกท่านดู หนอนรู้ทิศทางดียิ่งทันทีที่ฟักออกมาเป็นตัวก็จะเลื้อยไปทางด้านนอกประตู นี่เป็นหนอนที่มีคนเลี้ยงไว้”
ขณะที่มันกำลังจะเลื้อยไปถึงปากประตู ขันทีคนหนึ่งตกใจจนขาอ่อนยวบแต่ยังคงกัดฟันข่มใจยกเท้าขึ้นหมายจะเหยียบพวกมันให้มอดม้วย
“อย่าขยับ” หลินชิงเวยร้องเตือนเสียงเย็นแล้วยื่นมือไปหยิบเชิงเทียนด้านข้างมา “หากเหยียบพวกมันตายก็ช่างเถิด แต่หากมันเหยียบไม่ตาย ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าจะมีจุดจบเช่นเดียวกับปี้หลิง” พูดแล้วนางก็โยนเชิงเทียนในมือลงไปบนพื้น น้ำตาเทียนไขหยดลงบนพื้น ทำให้เปลวไฟเล็กๆ เผาหนอนที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นกลายเป็นเถ้าธุลี
ในตำหนักยามนี้มีเพียงความเงียบงัน โสตประสาทของหลินชิงเวยพลันสงบนิ่งลงไม่น้อย นางช้อนตาขึ้นมองไปทางไทเฮากลับไม่รู้ว่าไทเฮาสิ้นสติไปอย่างไร้สุ้มเสียงตั้งแต่เมื่อใด หมัวมัวกำลังประคองนางกลับเข้าไป
สายตาของเซียวเยี่ยนนิ่งลึก ดวงตาเรียวรูปหงส์เย็นชานั้นกลายเป็นกลุ่มไฟเล็กๆ สองดวงพร้อมกับแสงสว่างจากเปลวไฟบนพื้น ประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด เซียวจิ่นปิดริมฝีปากแน่นสนิท ดูเหมือนหายใจก็ยังไม่กล้าหายใจเสียงดัง
หลินชิงเวยพูดกับเซียวเยี่ยน “ยังต้องรบกวนเซ่อเจิ้งอ๋องส่งฝ่าบาทออกไปเพคะ” ต่อมานางจึงกวาดตามองขันทีในตำหนักแวบหนึ่งแล้วสั่งการ “พวกเจ้าหามนางออกไป หาสถานที่โล่งแจ้งกว้างขวางสักหน่อย เผาศพนาง”