เพราะสภาพของหลี่เหลียงน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน
อย่าได้กล่าวว่านางกำนัลถูกทำให้ตกใจจนอัมพาต แม้กระทั่งหลินชิงเวยเห็นแล้วก็รู้สึกชาหนังศีรษะ
หลินชิงเวยพูดงึมงำ “หากเขามาตายที่นี่ หนอนย่อมต้องกระจายไปทั่ว เกรงว่าจะไม่ดีแน่”
“เขาตายไปแล้ว”
“เสด็จอายังมีกะจิตกะใจมาแก้ไขคำพูดของข้า” หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก “เพียงแต่หากเขาไม่ล้มพวกเราทั้งหมดต้องล้ม เสด็จอาถูกหนอนควบคุมมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายล้มเหลว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะมีภูมิคุ้มกันด้วยเหตุนี้หรือไม่”
นางเพียงแค่พูดเท่านั้นแต่ยังไม่แน่ใจ เรื่องที่ยังไม่แน่ไจไม่เสี่ยงจะเป็นการดีกว่า แต่หลี่เหลียงนั้นพุ่งเข้ามาเซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนอย่างเห็นได้ชัด เรื่องที่ปล่อยให้เขาเข้ามาก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง
เซียวเยี่ยนพูดขึ้นว่า “หากหนอนมากมายเช่นนี้ถูกควบคุมโดยคนๆ เดียว เช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังย่อมไม่อาจแบ่งสมาธิมาควบคุมหุ่นเชิดหลายตัวในเวลาเดียวกัน”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
“ลองดูก็รู้แล้ว”
พูดแล้วเซียวเยี่ยนไม่ให้โอกาสหลินชิงเวยตั้งตัวติด เขาพุ่งออกไปราวกับเป็นลูกธนู หลินชิงเวยรั้งเขาเอาไว้ไม่ทัน จึงพูดขึ้นอย่างมีโมโหว่า “ให้ตายเถอะ ท่านคิดว่าท่านพลังจิตแข็งแกร่งเพียงพอก็กล้าดูเบาศัตรูหรือ?!”
ทันทีที่สิ้นเสียงร่างของเซียวเยี่ยนก็ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่เหลียงเสียแล้ว หัวใจของหลินชิงเวยดูเหมือนจะเต้นขึ้นมาติดอยู่ที่ลำคอในชั่วขณะ
เซียวเยี่ยนลงมืออย่างรวดเร็ว เขารวบรวมพลังที่ฝ่ามือประดุจสายฟ้าฟาด ขาทั้งคู่มิได้อยู่นิ่งพลิกกายเตะออกไปไปอย่างคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติ เขาลงมือรวดเร็วอย่างยิ่ง ดังนั้นต่อให้หนอนเหล่านั้นคิดจะมาเกาะบนร่างกายของเขาก็ต้องถูกเขาสะบัดจนกระเด็นออกไปทันที
เป็นครั้งแรกที่หลินซินเวยได้ดูเซียวเยี่ยนสัประยุทธ์อย่างจริงจัง นางถึงกับปากอ้าตาค้าง
เมื่อบุรุษคนหนึ่งใช้วรยุทธ์สามารถเท่ได้ขนาดนี้ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
หลี่เหลียงผู้นั้นเดิมทีก็ไม่ได้เป็นคนมีเนื้อมีหนังสักเท่าใดนัก ซ้ำยังถูกหนอนกินจนเหลือเพียงกายเนื้อนานแล้วไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเยี่ยน เขาจึงพ่ายแพ้ในสองสามกระบวนท่า
ที่สำคัญก็คือหลินชิงเวยยินดีที่พบว่า เมื่อหลี่เหลียงเห็นเซียวเยี่ยนเป็นฝ่ายรุกเพื่อโจมตี เขาทำได้เพียงถอยร่น ไหนเลยจะมีความคิดและความรู้สึกเป็นของตัวเองได้ ที่น่าหวาดกลัวจริงๆ คือผู้ควบคุมหนอนเหล่านั้น
สตรีในชุดแดงไม่กล้าปล่อยหนอนกลืนกินวิญญาณเข้าไปในร่างของเซียวเยี่ยนอีก เซียวเยี่ยนมีพลังจิตแข็งแกร่ง นางมีบทเรียนมาแล้วหากนางต้องถูกพลังการกลืนกินนี้ย้อนกลับใส่ตัวเองอีกครั้งคาดว่าอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ของนางก็คงจะมอดม้วย
เดิมทีวรยุทธ์ของหลี่เหลียงก็ไม่ได้โดดเด่นอันใดเมื่อเป็นเช่นนี้มีเพียงพ่ายแพ้
ร่างของหลี่เหลียงเดินโอนไปเอนมาอย่างไร้ทิศทางและจุดหมาย เขาโน้มกายลงร่างกายบิดงอ
เซียวเยี่ยนคิดจะเข้าไปใกล้เพื่อเตะศีรษะของเขา พลันได้ยินหลินชิงเวยตะโกนเสียงดังว่า “เซียวเยี่ยน ถอยออกมาเร็วเข้า!”
เซียวเยี่ยนแตะปลายเท้าเพียงเล็กน้อยก็เหินกายกลับมาอยู่ข้างกายหลินชิงเวย
ภายในห้องหับที่ปิดสนิท สตรีในชุดแดงดูเหมือนกำลังคลุ้มคลั่ง ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเลือด นางกระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่งแล้วฟุบกายล้มลงบนโต๊ะ
ในขณะเดียวกันหลี่เหลียงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้หรือโจมตีอำ
หลินชิงเวยเห็นหนอนเหล่านั้นพากันผุดขึ้นบนพื้นทำให้นางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หนอนเหล่านั้นเลื้อยเข้ามาหาหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน มันมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของตำหนักบรรทมอย่างรู้ทิศทางและมีจุดประสงค์ หนอนจำนวนมหาศาลเบียดเสียดกันน่าสยดสยองและน่าสะอิดสะเอียน
ครานี้เซียวเยี่ยนเองก็จนหนทาง หากปล่อยให้หนอนพวกนี้เลื้อยเข้ามาเซียวจิ่นและซินหรูที่อยู่ข้างในย่อมต้องย่ำแย่ไปด้วย
เซียวเยี่ยนหันหน้าไปเห็นสีหน้าซีดขาวของหลินชิงเวยแล้วถามว่า “เวลานี้ควรทำอย่างไรดี?”
หลินชิงเวยกัดริมฝีปากและกล่าว่า “ข้าเคยบอกกับท่านหรือไม่ว่าข้ามีอาการเกลียดที่แคบอย่างรุนแรง?”
“ดูเหมือนจะเคยบอก”
“ยามนี้ข้าอยากอาเจียนเหลือเกินทำอย่างไรดี?”
“จัดการเรื่องเหล่านี้ก่อนแล้วค่อยอาเจียนให้พอเถิด”
หลินชิงเวยยกมือขึ้นปิดปากของตนเพื่อฝืนข่มความรู้สึกอยากอาเจียนแห้งๆ ของตนลงไป ชิงหลันที่อยู่ในอ้อมอกของนางจึงรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง มันไม่รอให้หลินชิงเวยออกคำสั่งแต่กระโดดออกมาเกาะบนบันไดหิน มันอ้าปากส่งเสียงข่มขู่หนอนที่อยู่เต็มพื้น
หลินชิงเวยพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นจึงยกมือขึ้นบีบริมฝีปากผิวปากขึ้นครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นรอบๆ ด้านบังเกิดเสียงสวบสาบๆ ดังนั้น ต่อมาเหล่านางกำนัลและขันทีที่แอบดูอยู่ตามซอกมุมต่างๆ พากันร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว
มีงูจำนวนมากมายเลื้อยออกมาจากรอบด้าน!
ฝูงงูพากันเลื้อยไปรวมกันตรงกลางลานเรือน มันพากันไปกินหนอนที่มีอยู่ทุกที่จนสะอาดสะอ้าน
หากมิใช่เป็นเพราะความร้ายกาจของงูฝูงนี้แล้วภายในลานเรือนจะเข้าสู่ความสงบได้อย่างไร
หลังจากนั้นอีกเนิ่นนาน เมื่อเหล่านางกำนัลและขันทีของตำหนักซวี่หยางที่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนี้ด้วยตาตนเองเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นอีกครั้งล้วนมีท่าทีหวาดกลัวสยดสยองจนวิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง
ยามนี้ภายในลานเรือนจึงกลับสู่ความสงบดังเดิม ท้องฟ้าสดใสเมฆาเคลื่อนคล้อย สายลมบางเบาพัดผ่านเงาไม้
ต้นไม้ใบไม้ภายในเรือนกำลังสั่นไหว แสงตะวันกำลังแผดเผา ดอกไห่ถังราวกับกำลังเบ่งบาน ปลายกิ่งของมันปรากฏให้เห็นผลเล็กๆ สีเขียวอ่อนของมัน
ต่อมาหลินชิงเวยราวกับได้ยินเสียงของเหล่านางกำนัลและขันทีร้องเรียกว่าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ทุกคนล้วนปลอดภัย หลินชิงเวยเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืดลง นางค่อยๆ สูญเสียความรู้สึกไป
จากนั้นเหมือนนางตกลงในอ้อมกอดที่มีกลิ่นหอมเย็นอ้อมกอดหนึ่ง