หลินชิงเวยหยุดฝีเท้าแล้วจับหูของตน ชัดเจนยิ่งนักว่าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าราวกับบุปผาในฤดูคิมหันต์ “ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
เซียวเยี่ยนยังคงมีสีหน้านิ่งสนิทดังเดิม เขาสะบัดแขนเสื้อเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยและพูดขึ้นว่า “ได้ยินไม่ชัดเจนก็แล้วไปเถิด”
คนทั้งสองเดินไปพร้อมกับสนทนากันไป ไม่นานนักก็เดินมาสุดปลายทางของถนนเส้นเล็กที่มีต้นไทรสองข้างทางไปถึงเบื้องหน้าทิงจู๋เซวียน คนทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู ภายในทิงจู๋เซวียนเงียบสงบ ประตูเรือนเปิดออกกว้างทว่ากลับไม่มีนางกำนัลเฝ้าอยู่แม้แต่คนเดียว ดูเหมือนกำลังรอคอยให้พวกเขาก้าวเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยอดที่จะคิดถึงภาพเหตุการณ์ครั้งแรกที่นางหลงทางแล้วมาถึงที่นี่ไม่ได้ แม้กลิ่นอายจากเรือนร่างของจู๋กุ้ยเหรินจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ภาพเหตุการณ์ของยวนยวนกลางน้ำค้างใต้ต้นไทรทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง แต่เมื่อแรกที่นางได้พบกับจู๋กุ้ยเหรินนางรู้สึกตกตะลึง บุคลิกและการพูดการจาของจู๋กุ้ยเหรินล้วนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
ขณะนั้นแม้หลินชิงเวยจะป้องกันต่อนาง แต่กลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจนาง
หลินชิงเวยทอดถอนใจเล็กน้อย “การวิเคราะห์ของพวกเราจะถูกหรือผิด ยังคงต้องพิสูจน์สักหน่อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการล่วงเกินคนดี” พูดแล้วก็หยิบขวดกระเบื้องออกมาขวดหนึ่งขึ้นมาเปิดฝาจุกขวดแล้ววางลงบนพื้น “โชคดีที่เมื่อวานข้าเก็บมันเอาไว้ตัวหนึ่ง หาไม่คงถูกงูกินจนหมดและหาหลักฐานไม่ได้อีกแล้ว”
หนอนตัวนั้นเลื้อยออกมาจากขวดกระเบื้อง มันเลื้อยเข้าไปในทิงจู๋เซวียนอย่างมิลังเล
สายลมพัดให้ป่าไผ่เกิดการไหวเอนไปมาและส่งเสียงดังซ่าๆ
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยประสานสายตากัน จากนั้นเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปสายลมก็พัดโชยกลิ่นหอมชนิดหนึ่งกระจายตัวออกมา ต่อมาเสียงบรรเลงพิณดังขึ้น เสียงพิณนั้นอ้างว้างโดดเดี่ยว ทว่าแต่ละเส้นเสียงนั้นราวกับส่งกระแสจิตตรงเข้าไปในสมอง ทุกๆ ครั้งของการดังแต่ละครั้งส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนในสมอง หลินชิงเวยรู้สึกปวดหัวหนึบๆ ขึ้นทันที ภาพเบื้องหน้ากลับกลายเป็นภาพที่พร่าเลือนในชั่วขณะ
ปลายนิ้วของนางจิกลงไปในฝ่ามืออย่างแรง เมื่อความเจ็บปวดส่งผ่านฝ่ามือมาทำให้นางรู้สึกได้สติสัมปชัญญะคืนมา
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “เสียงพิณนี้มีพิษหรือ” พูดแล้วก็หยิบยาอมสองเม็ดออกมาจากอก ส่งเข้าปากตัวเองหนึ่งเม็ด และมืออีกข้างยกขึ้นเพื่อเตรียมส่งยาเม็ดนั้นเข้าปากเซียวเยี่ยนอย่างอ่อนแรง
เซียวเยี่ยนดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย เห็นยาอมในมือของหลินชิงเวยอีกทั้งเห็นใบหน้ายับยู่ยี่ด้วยความขมของนาง “ดูท่าแล้วรสชาติคงไม่ดีเท่าใดนัก”
หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “รสชาติดีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ได้ผลก็พอแล้ว ยังไม่อ้าปากอีก! มันช่วยถอนพิษได้!”
เซียวเยี่ยนอ้าปากอมยาเม็ดนั้น คิ้วของเขาขยับไปมาเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกย่ำแย่เช่นกัน “สิ่งของอันใดกันไยจึงขมเช่นนี้?”
“หวงเหลียน[1]!” หลินชิงเวยเห็นคิ้วของเซียวเยี่ยนที่ย่นยู่แล้วรู้สึกดีขึ้นมากจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่เรียกว่ามีทุกข์ร่วมต้านอย่างไรเล่า ยามนี้รู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมากใช่หรือไม่?”
ต่อมาคนทั้งสองจึงเดินมุ่งหน้าต่อไป ภายในมวลอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมชนิดหนึ่งผนวกกับเสียงพิณที่ลอยละล่องนั้นดูเหมือนไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา ความขมฝาดเฝื่อนในปากนั้นแทบจะทำให้หลินชิงเวยน้ำตาไหล ผู้ใดเล่าจะมีกะจิตกะใจจะไปชื่นชมการบรรเลงพิณของผู้อื่น
เข้ามาถึงในลานเรือน เสียงพิณนั้นดังออกมาจากห้องห้องหนึ่ง และหน้าประตูห้องนั้นมีนางกำนัลคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ดูจากเค้าโครงใบหน้าของนางกำนัลผู้นี้แล้วมิใช่นางกำนัลในวังหลวงแต่เดิม แต่ควรจะเป็นสาวใช้ที่มาพร้อมกับการแต่งงานออกเรือนของจู๋กุ้ยเหริน อายุน้อยนิดทว่าดวงตาของนางกำนัลผู้นั้นกลับคมปลาบประดุจอินทรีย์ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องคนทั้งสองไม่วางตา
เซียวเยี่ยนพลันยกมือขึ้นมาผลักหลินชิงเวยไปด้านข้างและพูดเสียงต่ำว่า “เจ้ายืนไปด้านข้างสักหน่อย อีกประเดี๋ยวจะทำร้ายถูกเจ้า”
หลินชิงเวยแจ่มแจ้ง นางกำนัลผู้นี้จะต้องมีวรยุทธ์เป็นแน่
เพียงแค่คิดมาถึงตรงนี้นางกำนัลพลันเหินกายพุ่งกระโจนเข้ามาตรงเข้าลงมือโจมตีเซียวเยี่ยนก่อน การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วว่องไวอย่างยิ่ง ชายกระโปรงของนางกำนัลสะบัดพลิ้วไปมากลางอากาศตวัดเป็นครึ่งวงกลมอย่างงดงาม
หลินชิงเวยรีบหลบไปด้านข้างทันที
เห็นกับตาว่านางกำนัลผู้นั้นกำลังจะประชิดร่างของเซียวเยี่ยน ปลายนิ้วของนางพลันพลิกขึ้นมา หลินชิงเวยยังมองไม่ทันด้วยซ้ำว่านางหยิบอาวุธออกมาจากที่ใด มือทั้งคู่ของนางปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งตวัดลงบนร่างของเซียวเยี่ยน
มีดสั้นคมกริบนั้นห่างจากหน้าอกของเซียวเยี่ยนไม่ถึงหนึ่งชุ่น เซียวเยี่ยนเบี่ยงกายออกเพียงเล็กน้อยกลับหลบหลีกได้อย่างอัศจรรย์ หากหลินชิงเวยไม่รู้มาก่อนว่าเซียวเยี่ยนมีวรยุทธ์ล้ำเลิศยังคงต้องปาดเหงื่อแทนเขาจริงๆ
ขณะที่เซียวเยี่ยนเบี่ยงกายนั้นเขาโต้ตอบทันที ปลายนิ้วเรียวยาวทรงพลังนั้นจับข้อมือของนางกำนัล นางกำนัลบิดกายคิดจะขัดขืนและตอบโต้จึงถูกเขาซัดไปหนึ่งฝ่ามือ ร่างของนางกระเด็นออกไปไกลยิ่ง
ทว่านางกำนัลผู้นี้วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าข้อมือของนางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ร่างของนางพลิกกลับกลางอากาศสองรอบ ปลายเท้าของนางถีบตัวกับลำไผ่อย่างแรงแล้วเหินกายออกมาอีกครั้งเพื่อโจมตีเซียวเยี่ยนเป็นครั้งที่สอง
สามารถประมือกับเซียวเยี่ยนหลายกระบวนท่าย่อมพิสูจน์ว่าวรยุทธ์ของนางไม่เลวเลยทีเดียว แต่นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งต่อให้ว่องไวกว่านี้ก็เร็วไม่เท่าเซียวเยี่ยน พละกำลังยิ่งเทียบเซียวเยี่ยนไม่ได้ ชัดเจนยิ่งนักว่าเสียเปรียบทุกด้าน
ยามนี้ท่วงทำนองของการบรรเลงพิณดูเร่งเร้าขึ้นมา หลังจากนางกำนัลถูกเซียวเยี่ยนซัดจนหมอบนางร้องเสียงในคอสองครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง ราวกับนางได้รับการให้เลือดอย่างไรอย่างนั้น ดูท่าทางแล้วมีเรี่ยวแรงมากกว่าก่อนหน้านี้อีก
ขณะที่เซียวเยี่ยนประมือกับนางเขาใช้กำลังลมปราณเต็มที่ หลินชิงเวยนั่งยองๆ กุมศีรษะของตนเองอยู่ในมุมๆ หนึ่ง มองดูพลังลมปราณและมีดสั้นในมือของนางกำนัลที่ตวัดไปกรีดลงบนต้นไผ่จนล้มลงแถบหนึ่ง คมมีดนั้นปาดลำไผ่อย่างเป็นระเบียบเท่าเทียมกัน นางอดที่จะหวาดหวั่นในใจไม่ได้
การประมือของการยอดฝีมือ เพียงไม่นานพลังลมปราณนับพันนับหมื่นก็พุ่งเข้าใส่ลำคอของนาง หาไม่แล้วที่ต้องหักโค่นลงไปย่อมมิใช่ต้นไผ่แต่เป็นศีรษะของนางแทน
หลินชิงเวยได้ยินเสียงบรรเลงพิณรัวเร็วกระชั้นขึ้นอีก นางรู้สึกได้ว่าคนผู้บรรเลงพิณด้านในดูเหมือนได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ส่วนนางกำนัลผู้นั้นที่มีเรี่ยวแรงและพละกำลังในการโจมตีขึ้นอีกครั้งนั้นเป็นเพราะเกี่ยวพันกับเสียงพิณนี้
แก้ไขปัญหาต้องแก้ไขที่ต้นตอของมันเสียก่อน
หลินชิงเวยลูบศีรษะของชิงหลัน ชิงหลันค่อยๆ คืบคลานออกมาเพื่อเริ่มการโจมตี มันค่อยๆ เลื้อยเข้าไปในห้องนั้น
ชิงหลันเป็นศัตรูที่มีคุณสมบัติเพียงพอ แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปทางประตูหลัก หาไม่แล้วหากนางกำนัลหันมาเห็นเข้าตวัดมาเพียงดาบเดียวมันคงต้องสิ้นชีพ ชิงหลันซ่อนตัวในป่าไผ่ เข้าไปทางด้านหลังของห้อง บนกำแพงด้านข้างมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง สภาพอากาศในเวลานี้ค่อนข้างร้อนแล้ว อย่างไรก็ต้องเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมพัดเข้ามาระบายอากาศบ้าง
ดังนั้นชิงหลันจึงลอบเร้นกายเข้าไปสำเร็จ
ขณะเดียวกันจู๋กุ้ยเหรินกำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะ อาภรณ์สีแดงพลิ้วสะบัด ปลายนิ้วเรียวยาวทั้งสิบของนางกำลังบรรเลงพิณในจังหวะเร่งเร้า สมาธิของนางจดจ่อไม่วอกแวก นางไม่อาจเสียสมาธิแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ของนางค่อยๆ แดงก่ำ นางราวกับสามารถมองเห็นภาพการต่อสู้ข้างนอกผ่านเสียงพิณได้อย่างไรอย่างนั้น
ชิงหลันเลื้อยเข้าไปอย่างเงียบเชียบ นางกำลังพุ่งสมาธิทั้งหมดของตนจึงไม่พบว่ามันเร้นกายเข้ามา
ต่อมาชิงหลันเลื้อยเข้าไปเรื่อยๆ มันเลื้อยขึ้นมาจากข้างใต้โต๊ะวางพิณของจู๋กุ้ยเหรินขึ้นมา หัวของมันเลื้อยขึ้นมาส่ายไปมาอยู่ข้างๆ พิณของจู๋กุ้ยเหริน
มันเป็นงูน้อยจอมซนตัวหนึ่ง มันไม่ได้ฝังเขี้ยวลงไปบนมือของจู๋กุ้ยเหรินในทันที แต่กลับทำให้นางตกใจก่อน ทำให้นางตื่นตระหนกตกใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ส่วนจู๋กุ้ยเหรินนั้นคาดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าบนโต๊ะพิณของตนไฉนจึงปรากฏงูขึ้นอย่างกะทันหัน นางไม่ถึงกับตื่นตระหนกทว่าสมาธิของนางถูกมันทำลายจนหยุดชะงักลง ตนเองนั้นตั้งตัวไม่ติดจึงทำให้พิณสายหนึ่งขาดผึงแล้วบาดลึกเข้าไปในท้องนิ้วของนาง มันดีดผ่านไปด้านข้างอย่างรวดเร็วทำให้เลือดสายหนึ่งกระเซ็นออกมา
จู๋กุ้ยเหรินขมวดคิ้ว กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่งทันที
[1] เป็นหนึ่งในสมุนไพรแห้งที่มีฤทธิ์เย็นและเขมที่สุดในทางการแพทย์แผนจีนมักใช้สำหรับการรักษาไฟของตับและหัวใจ มีสรรพคุณขับร้อน ชื้น ดับไฟ ขับพิษ คุณสมบัติ เข้าสู่เส้นลมปราณ หัวใจ กระเพาะอาหาร ตับ ม้าม ลำไส้ใหญ่