ส่วนนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพลันหมดสิ้นเรี่ยวแรงในการต่อสู้ นางหายใจรวยรินเหมือนแม่ไก่ที่พ่ายแพ้ถูกเซียวเยี่ยนบีบคอแล้วสะบัดมือกระเด็นไปชนกับกำแพง ร่างของนางยังไม่ทันได้ไถลลงมากับแนวกำแพง เซียวเยี่ยนก็ยกมือขึ้นส่งมีดสั้นสองเล่มของนางกำนัลผู้นั้นพุ่งออกไป มีดสั้นทั้งคู่แยกกันไปตอกตรึงข้อมือของนางกำนัลไว้กับกำแพงอย่างมั่นคงราวกับตอกตะปู
เซียวเยี่ยนหันกายสะบัดชายอาภรณ์มองหลินชิงเวยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ไม่ได้รับบาดเจ็บ?”
หลินชิงเวยได้สติกลับมาจากการตื่นตะลึง นางลุกขึ้นพูดกับเขาว่า “ท่านดูข้าเหมือนได้รับบาดเจ็บหรือ? จู่ๆ นางก็หมดสิ้นเรี่ยวแรง ท่านต้องขอบคุณข้า”
เซียวเยี่ยนกระจ่างแจ้งเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงบรรเลงพิณจากข้างในห้องพลันหยุดลงโลกทั้งใบจึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เซียวเยี่ยนเอ่ยขึ้นว่า “หากไม่มีเจ้าช่วยเหลือ อย่างมากก็เพียงแค่ต้องเสียเรี่ยวแรงและเวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น”
หลินชิงเวยลูบจมูกกล่าวอย่างเห็นขันว่า “ไม่ยอมรับก็ช่างเถิด ยังจะปากแข็งอีก”
เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปแสงสว่างภายในห้องดูมืดสลัวอยู่บ้าง ชิงหลันเลื้อยขึ้นบนร่างกายของหลินชิงเวยอย่างรวดเร็ว มันขดกายนั่งอยู่บนหัวไหล่ของหลินชิงเวยอย่างหยิ่งผยอง
ยามนี้จู๋กุ้ยเหรินเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง หยดเลือดข้างริมฝีปากยังไม่ทันได้แข็งตัว ทว่ากลับมีความงดงามดึงดูดใจยิ่งนัก นางหันมามองหลินชิงเวยอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง “สตรีผู้ควบคุมงู กลับพบได้น้อยยิ่งในอวิ๋นหนานของพวกเรา”
หลินชิงเวยผงกศีรษะเบาๆ “จู๋กุ้ยเหรินกล่าวชมเกินไปแล่ว จู๋กุ้ยเหรินเป็นยอดฝีมือผู้ควบคุมหนอนกู่ ทำให้พวกเราต้องเสียเวลามากมายนัก”
จู๋กุ้ยเหรินลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ นางคารวะเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยอย่างสุภาพอ่อนโยน “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว อวิ๋นหนานมีพ่อมดมากมาย แต่ที่มีฝีมือจริงๆ นั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คน ข้าเป็นแม่มดควบคุมหนอนกู่ที่อายุน้อยที่สุดในอวิ๋นหนาน ถวายคำนับเซ่อเจิ้งอ๋อง ถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียง”
หากเป็นการพูดจาระหว่างสตรีด้วยกันคงจะสื่อสารกันง่ายดายกว่า ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาเซียวเยี่ยนจึงเป็นเพียงตัวประกอบ เขาไม่เอ่ยวาจาใดๆ ล้วนเป็นหลินชิงเวยที่สนทนากับจู๋กุ้ยเหริน
หลินชิงเวยเลิกคิ้วและเอ่ยขึ้นว่า “ยังคิดว่าจะต้องใช้ทัณฑ์ทรมานเพื่อบีบเค้นความจริงจากจู๋กุ้ยเหริน คิดไม่ถึงว่าจู๋กุ้ยเหรินจะยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ ชีวิตคนหลายคนในวังหลวง การตายของเชียนเหอ จ้าวเฟย ยังมีปี้หลิง ล้วนเป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?”
ดวงตาคมลึกคู่นั้นของจู๋กุ้ยเหรินหันมามองหลินชิงเวย นัยน์ตาคู่นั้นราวกับมีพลังดึงดูดคนได้ เพียงแต่สีหน้าของนางซีดขาวดูท่าแล้วได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นางเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้สังหารเชียนเหอ แต่เป็นองครักษ์ผู้นั้นเป็นผู้สังหาร เดิมทีไม่คิดจะให้จ้าวเฟยและปี้หลิงต้องตายแต่เพราะชะตาชีวิตเล่นตลก หากข้าไม่ได้คาดเดาผิดแล้วละก็องครักษ์ผู้นั้นควรจะถูกเจาอี๋สังหารกระมัง”
หลินชิงเวยพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ ดูเหมือนจะไร้คุณธรรมหากข้ายังพูดจาอมพะนำ หลี่เหลียงถูกข้าสังหารตั้งแต่แรก เจ้าว่าคนตายคนหนึ่งกลับต้องการมาสังหารข้า แล้วยังสังหารเชียนเหอ หากไม่มีการควบคุมของเจ้าเขาจะทำได้เช่นนั้นหรือ?” พูดแล้วก็หยิบหนอนในขวดมาวางบนโต๊ะพิณของจู๋กุ้ยเหริน หนอนตัวนั้นเลื้อยไปมาบนโต๊ะ หลินชิงเวยถาม “และตัวกลางที่เป็นพาหะในการควบคุมก็คือหนอนนี้กระมัง ได้ยินว่านี่คือศาสตร์พ่อมดประเภทหนึ่ง?”
จู๋กุ้ยเหริน “เจาอี๋เหนียงเหนียงเฉลียวฉลาดเกินคนธรรมดาสามัญจริงๆ ทันทีที่จ้าวเฟยตายเจ้าก็พบเห็นเบาะแสสำคัญเช่นนี้ หาไม่แล้วสาวใช้ที่ชื่อปี้หลิงผู้นั้นคงไม่นำหนอนกลืนกินวิญญาณตามหามาถึงสถานที่ของข้า นางย่อมไม่ต้องมาตายเปล่า”
หลินชิงเวยตกตะลึงเล็กน้อย ที่แท้นี่คือสาเหตุการตายของปี้หลิง นางไม่ได้นำสิ่งของไปมอบให้กับเซียวเยี่ยน แต่นำมาตามหาฆาตกรด้วยตนเอง? เหตุใดเล่า? เพื่อสร้างความดีความชอบ?
หลินชิงเวยยังถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เช่นนั้นหนอนชนิดนี้คือหนอนอะไร? สามารถทำตามความต้องการของจู๋กุ้ยเหรินได้?”
“ประมาณนั้นกระมัง มันกินคนและจิตสำนึกของคน และนำความคิดความต้องการของผู้ควบคุมมันส่งผ่านไปสู่คนด้วย เพียงแต่หากคนตายไปแล้วก็จะถูกความคิดความต้องการของข้าครอบงำทั้งหมด เช่นนั้นเมื่อต้องการควบคุมจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด”
เซียวเยี่ยน : …
เขาจดจำได้ว่าเขาและหลินชิงเวยมาที่นี่เพื่อจับตัวฆาตกร ยามนี้ฆาตกรอยู่เบื้องหน้า หลินชิงเวยกลับพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับนาง ไม่มีแม้กระทั่งท่าทีตื่นเต้นดูเหมือนกับกำลังสนทนาในเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น!
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลินชิงเวยพูดอย่างไม่อาจไม่นับถือ “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหนอนเหล่านี้ เคราะห์ดีที่มีจู๋กุ้ยเหรินจึงทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา”
จู๋กุ้ยเหรินกล่าวอย่างสงบว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียงกล่าวชมเกินไปแล้ว เหนียงเหนียงก็ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเช่นกัน หนอนกลืนกินวิญญาณทั้งหมดของข้าล้วนถูกฝูงงูของเหนียงเหนียงจับกินเป็นอาหารกระมัง เหนียงเหนียงสามารถควบคุมงูได้ หากอยู่ในอวิ๋นหนานของข้าแล้วย่อมต้องมีประโยชน์มากเป็นแน่”
หลินชิงเวยกล่าวพร้อมกับยิ้มบางๆ “ไม่ถึงกับควบคุม เพียงแค่ให้อาหารพวกมันกินบ้างเป็นครั้งคราว ก็เหมือนหนอนกลืนกินวิญญาณของเจ้า” พูดแล้วก็ทำปากบู้ชี้ไปที่หนอนที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวบนโต๊ะ “นี่ไม่ใช่หรือไร ยังเก็บไว้ให้เจ้าตัวหนึ่ง” นางมองจู๋กุ้ยเหริน แล้วถามตรงประเด็น “เหตุใดเจ้าจึงพุ่งเป้ามาที่ข้า ข้าจำได้ว่าข้ากับเจ้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน”
จู๋กุ้ยเหริน “ที่จริงไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ท่าน ตั้งแต่แรกก็ไม่คิดจะทำร้ายท่านแต่จนใจที่ท่านเป็นคนข้างกายฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋อง ความรู้ทางการแพทย์แตกฉานโดดเด่น ข้ายังได้ยินว่าท่านสามารถรักษาอาการพิการของฮ่องเต้ให้หายดี ดังนั้นเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
การคาดเดาก่อนหน้านี้ของหลินชิงเวยล้วนถูกต้อง
“ที่แท้จุดประสงค์ของเจ้ามิใช่ข้า แต่เป็นฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องหรอกหรือ น่าเสียดายที่เจ้ายังคงล้มเหลวอยู่นั่นเอง” หลินชิงเวยกล่าว “เพราะเหตุใด? เพราะอวิ๋นหนานอ๋องหรือ? ตั้งแต่แรกที่เจ้าแต่งเข้ามาให้กับฮ่องเต้น้อยที่มีพระวรกายอ่อนแอองค์หนึ่งก็เพื่อจุดประสงค์นี้?”
สีหน้าของจู๋กุ้ยเหรินในยามนี้ปรากฏให้เห็นความหยิ่งผยอง ดูเหมือนความมั่นใจนั้นมีมากกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง “ชาวอวิ๋นหนานของข้าเป็นเขตพื้นที่กำเนิดของอัจฉริยะบุรุษ เต็มไปด้วยบุคคลมากความสามารถ ต้าเซี่ยอาศัยว่ามีอาณาจักรกว้างใหญ่คิดจะปราบอวิ๋นหนานให้ศิโรราบนั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้”
“เป็นอวิ๋นหนานอ๋องที่มีความทะเยอทะยานในจิตใจจริงๆ ถึงกับหักใจส่งเจ้ามาในกองทัพศัตรู นี่ไม่เกรงกลัวว่าเจ้าจะกลับไปไม่ได้หรือ?” หลินชิงเวยหรี่ตามองนาง
สำหรับเรื่องระหว่างทั้งสองแคว้นนั้นหลินชิงเวยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ว่าไปตามเนื้อผ้า คืนความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย นางไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนรักแผ่นดินอะไรเทือกนั้น
จู๋กุ้ยเหรินกลับเอ่ยขึ้นอย่างแน่ใจว่า “พวกท่านไม่มีวันสังหารข้า ทันทีที่ข้าตาย เสด็จพ่อย่อมต้องโกรธมาก เขาจะยกทัพมาโจมตีต้าเซี่ยของพวกท่าน ถึงเวลานั้นกลับจะทำให้เกิดแม่ทัพมีชื่อขึ้นคนหนึ่ง”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมา ดวงตาของนางโค้งลง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อยปรากฏให้เห็นความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของนาง นางเอียงหน้ามองจู๋กุ้ยเหริน “แค่เหตุผลนี้ พวกเราก็ไม่กล้าสังหารเจ้า? เจ้าว่าเจ้าเบาปัญญาหรือไม่ หลังจากเจ้าตายพวกเราเพียงแค่ปิดข่าวนี้ อวิ๋นหนานอ๋องย่อมไม่มีทางล่วงรู้? หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าเหตุใดจึงมีเพียงเสด็จอาและข้ามากันเพียงสองคนเล่า?”
จู๋กุ้ยเหรินได้ยินเช่นนั้นแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทว่ากลับมาสงบดังเดิมอย่างรวดเร็ว นางเชิดคางขึ้น “บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมพัดผ่านไม่ได้ ต้องมีสักวันที่เสด็จพ่อของข้าล่วงรู้”
ทันทีที่สิ้นเสียงหลินชิงเวยเก็บงำรอยยิ้มทั้งหมดของตน แววตาของนางเปลี่ยนเป็นนิ่งลึกแทบจะมองไม่เห็นร่องรอยยิ้มหัว แต่เวลานี้เองชิงหลันที่อยู่บนหัวไหล่ของหลินชิงเวยตลอดเวลากลับพุ่งตัวออกไปโจมตีจู๋กุ้ยเหริน จู๋กุ้ยเหรินเห็นเพียงเงาร่างเบื้องหน้าพร่าเลือน นางจึงรีบเบี่ยงกายหลบ
แต่ความสนใจของนางอยู่ที่ชิงหลันเท่านั้นจึงมองข้ามไปว่ายังมีหลินชิงเวย หลินชิงเวยจับจ้องฉวยโอกาสกดข้อมือของนางเอาไว้ ให้ปลายนิ้วที่ยังมีเลือดหยดอยู่ของนางกดลงบนโต๊ะพิณ