เซียวเยี่ยนชะงักงัน เขาหันไปมองเงาร่างด้านหลังของหลินชิงเวยด้วยสายตานิ่งลึก หลินชิงเวยพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้หยุดเดิน “กล่าวโทษเสด็จอาไม่ได้เช่นกัน ฮ่องเต้เดิมก็เป็นคนจิตใจอ่อนไหวคนหนึ่ง รอให้เซี่ยนอ๋องป่วยหนักเสด็จอาไม่ต้องบอกกล่าวฮ่องเต้และไม่ต้องทำให้ผู้คนแตกตื่น ถึงเวลานั้นให้ข้าไปรักษาเซี่ยนอ๋องก็พอ”
เซียวเยี่ยนพูดไม่ออกว่าในใจเขารู้สึกอย่างอย่างไร แต่เขารู้ดีว่าจิตใจของสตรีผู้นี้มีเขาอยู่ ทุกอย่างที่นางคิดพิจารณาล้วนทำเพื่อเขา
คนทั้งสองมาอย่างผู้เชี่ยวชาญและกลับไปอย่างเงียบเชียบ พวกเขากลับไปถึงตำหนักซวี่หยางเป็นเวลาใกล้เที่ยงซึ่งเป็นเวลาพระกระยาหารเที่ยงขึ้นโต๊ะเสวย
เซียวจิ่นกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยพวกเขากลับมา ทันทีที่เห็นหลินชิงเวยก้าวเข้ามาในตำหนักบรรทมของตน ใบหน้าของเขาพลันสว่างสดใสและอบอุ่นขึ้นมาทันที “เสด็จอา ชิงเวย พวกท่านกลับมาแล้วหรือ เจิ้นยังคิดว่าพวกท่านจะกลับมาหลังอาหารมื้อเที่ยงเสียแล้ว”
สีหน้าของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและอิดโรย นางคลี่ยิ้มบางๆ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ มิใช่รับปากฝ่าบาทแล้วว่าจะกลับมากินอาหารเที่ยงพร้อมพระองค์หรือ อีกทั้งระหว่างทางกลับมาหม่อมฉันก็หิวจะแย่แล้ว”
เหล่านางกำนัลเดินเข้ามาเป็นแถวราวกับฝูงปลาเพื่อนำพระกระยาหารจากห้องเครื่องขึ้นโต๊ะเสวย ภาชนะใส่อาหารล้วนเป็นเงินและทองอีกทั้งจัดตกแต่งประดับประดาอย่างพิถีพิถัน อาหารที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นอาหารรสชาติโอชะ
หลินชิงเวยไม่รอให้เซียวจิ่นเข้ามานางก็นั่งลงริมโต๊ะอย่างไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ เซียวเยี่ยนอุ้มเซียวจิ่นลงมาจากเตียงและวางลงบนเก้าอี้รถเข็น เข็นเขาเข้ามาที่โต๊ะเสวยเมื่อเขาเห็นเช่นนี้จึงอดที่จะขมวดคิ้วและพูดเสียงเย็นไม่ได้ว่า “หลินเจาอี๋ เจ้าระมัดระวังเรื่องกฎเกณฑ์สักหน่อย”
ฮ่องเต้ยังไม่ได้ประทับนั่ง นางเป็นเพียงเจาอี๋คนหนึ่งจะนั่งได้อย่างไรกัน
เพียงแต่ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
หลินชิงเวยแบ่งตะเกียบและถ้วยชาม อารมณ์ดีไม่เลวทีเดียว ปากยังพูดอย่างเกียจคร้านว่า “เสด็จอา คนในครอบครัวเดียวกันนั่งกินข้าว ท่านจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเพื่ออะไรกันเล่า?”
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “เสด็จอา นางหิวจะแย่แล้ว กฎเกณฑ์เหล่านี้ละเว้นไปเถิด อย่างไรอาหารโต๊ะใหญ่ขนาดนี้ เจิ้นไม่เชื่อว่านางจะกินหมด”
หลินชิงเวยส่งตะเกียบให้เซียวจิ่น แล้วค่อยส่งให้เซียวเยี่ยนหนึ่งคู่พร้อมกับกลอกตาขาวให้เขาครั้งหนึ่ง “ได้ยินแล้วหรือไม่ นี่จึงจะเรียกว่าเข้าอกเข้าใจผู้อื่น”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานเล็กน้อย
หลายวันมานี้หลินชิงเวยแทบจะไม่ได้กินอาหารที่ครบมื้อ ยามนี้นางแทบจะกระโจนใส่อาหารราวกับจิ้งจอกผู้หิวโหย นางไม่เหมือนเซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนที่มีความสูงศักดิ์อยู่ในสายเลือดถือกำเนิดมาพร้อมความสง่างาม ต่อให้หิวโหยแทบตายก็ยังต้องรักษาท่าทีให้ดูดีอยู่เสมอ หลินชิงเวยกินอาหารอย่างรวดเร็ว สองอาหลานกลับค่อยๆ ละเลียดอย่างช้าๆ
เซียวจิ่นนั้นหลินชิงเวยไม่รู้ แต่หลินชิงเวยแน่ใจเหลือเกินว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้หิวน้อยไปกว่านางสักเท่าใดนัก ยุ่งอยู่กับเรื่องราวมากมายเช่นนั้น ไฉนจึงกินอาหารอย่างมีมารยาทสง่างามเช่นนี้ได้อีก
หลินชิงเวยยอมรับไม่ได้ ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้กันบนโต๊ะอาหารระหว่างนางกับเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนกินอะไรหลินชิงเวยก็กินสิ่งนั้น ตะเกียบสองคู่ต่างยื้อแย่งกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
เซียวจิ่นนั่งยิ้มอยู่ด้านข้างพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นว่า “พวกท่านไม่ต้องแย่งกันแล้ว อีกประเดี๋ยวหากไม่พอ ค่อยให้ห้องเครื่องขึ้นกับข้าวก็พอ เสด็จอาเมื่อก่อนท่านไม่เคยเป็นเหมือนชิงเวยนี่นา ท่านก็ยอมลงให้นางหน่อยเถิด”
เซียวเยี่ยนพูดเรียบ “ข้าไม่ได้แย่งกับนาง เป็นนางที่ไม่ยอมปล่อยข้า”
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่เกรงใจ “เห็นท่าทางการกินอาหารของท่าน ข้าก็จะแย่งกับท่าน”
เซียวจิ่นพูดขึ้นอย่างถูกเวลา “ถูกต้อง เรื่องของวันนี้…ฆาตรกรผู้นั้นจับได้แล้วหรือไม่ เสด็จอาคิดจะจัดการอย่างไร?”
ยามสายเซียวจิ่นรออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นองครักษ์มารายงานผลลัพธ์อันใด เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าที่แท้แล้วเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยไปกันเพียงลำพัง ไม่ได้นำองครักษ์ไปด้วยแม้แต่คนเดียว ในใจเซียวจิ่นเกิดความคิดต่างๆ นานา สุดท้ายยังคงเอ่ยปากถามออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยต่างรู้ดีว่าเซียวจิ่นอ่อนไหวเกินไปจริงๆ อีกทั้งเมื่อเซียวเยี่ยนตกอยู่ภายใต้การครอบงำและควบคุมของฆาตกรถึงกับมีความคิดที่จะสังหารเขาให้ตายคามือ หากเวลานี้พูดอะไรไม่เหมาะสมออกไปรังแต่จะทำให้เซียวจิ่นคิดมาก ดังนั้นไม่รอให้เซียวเยี่ยนเอ่ยปาก หลินชิงเวยจึงชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ฆาตกรตายแล้ว พวกเราไม่ได้นำองครักษ์ไปด้วยเพราะเหตุใดฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นครุ่นคิด ในเมื่อหลินชิงเวยถามออกมาเช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมมีเหตุผลที่ไม่นำองครักษ์ไปด้วย แต่มิใช่ด้วยมีเจตนาที่จะปิดบังสิ่งใดจากเขาจึงพูดว่า “คิดดูแล้วหากทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอาจไม่เป็นผลดีกระมัง”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถยิ่งนัก ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าฆาตรกรเป็นผู้ใด?”
เซียวจิ่นนิ่งคิดไปชั่วอึดใจหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นกับหลินชิงเวยอย่างเห็นขัน “เจิ้นไม่รู้ เจ้าก็อย่าถ่วงเวลาอีกเลย”
หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยี “เป็นจู๋กุ้ยเหริน ฝ่าบาทยังทรงจดจำจู๋กุ้ยเหรินได้หรือไม่เพคะ องค์หญิงจู๋อวิ้นของอวิ๋นหนานอ๋องที่แต่งเข้ามา”
สีหน้าของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ความอบอุ่นอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นอันตรธานหายไปในชั่วขณะแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมนิ่งลึก
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นแล้วคนเล่า?”
หลินชิงเวย “นางคิดจะสังหารข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดถวายการรักษาให้ฝ่าบาทได้อีก เสด็จอาย่อมไม่อาจปล่อยให้นางทำสำเร็จ ดังนั้นจึงสังหารนาง” หลินชิงเวยปิดบังเรื่องบางอย่างเลือกที่จะกล่าวถึงเรื่องที่ทำให้เซียวจิ่นยอมรับและให้เขากระจ่างแจ้งโดยง่าย
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายและผลดีต่อสุขภาพของเซียวจิ่น ต่อให้องค์หญิงแห่งอวิ๋นหนานอ๋องจะมีสถานะพิเศษเพียงใด อีกทั้งนางยังทำร้ายผู้อื่นอีกหลายชีวิต ทำให้ผู้คนในวังหลวงจิตใจกระสับกระส่าย นางย่อมมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ความผิดที่นางสังหารผู้อื่นนั้นถือเป็นเรื่องเล็ก ทว่าเรื่องใหญ่ก็คือแคว้นอวิ๋นหนานที่อยู่เบื้องหลังนางนั้นมีจิตใจทะเยอทะยาน ต่อหน้ายอมจำนนต่อต้าเซี่ย แต่ความจริงมีใจคิดคดทรยศ
หลินชิงเวยเห็นเซียวจิ่นนิ่งเงียบไม่พูดจาจึงพูดอีกว่า “ขณะนั้นเป็นตายเท่ากัน สถานการณ์คับขัน อีกทั้งจู๋กุ้ยเหรินเป็นแม่มดหนอนกู่ หากเสด็จอาไม่ลงมือรวดเร็วสักหน่อย พวกเราทั้งสองอาจต้องสิ้นชีพ ฝ่าบาทกำลังคิดว่าเป็นความผิดหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ มองเขา
เซียวจิ่นเงยหน้าขึ้นมาพูดกลั้วหัวเราะ “เจิ้นไหนเลยจะโทษเจ้า เจ้าสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องเจิ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่เรื่องของจู๋กุ้ยเหรินเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าและเสด็จอาไม่ได้นำองครักษ์ไปด้วยถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หาไม่แล้วหากเรื่องนี้เล็ดรอดออกไป เกรงว่าทางด้านอวิ๋นหนานจะไม่สงบ เพียงแต่…ทันทีที่จู๋กุ้ยเหรินตาย เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยที่พักของนางยังคงต้องมีคนเข้าไปอาศัยอยู่”
“เรื่องนี้ง่ายดายมากเพคะ หาคนรูปร่างใกล้เคียงกับนางเข้าไปอยู่ก็พอแล้ว”
อาหารมื้อนี้หลินชิงเวยไม่อาจกินได้มากกว่านี้อีกแล้ว อาหารเลิศรสบนโต๊ะเสวยในวันนี้แทบจะไม่ได้กินทิ้งกิ้นขว้างแม้แต่น้อย หลินชิงเวยขอลาหยุดกับเซียวจิ่นเป็นเวลาหลายวันเพื่อพักฟื้นร่างกายให้ดี รอให้นางพักฟื้นดีแล้วจึงจะมาถวายการรักษาขาของเขา
ก่อนที่จะออกไปเซียวจิ่นยังได้กำชับนาง “ชิงเวย เจ้าพักผ่อนให้ดี เจิ้นไม่รีบร้อน”
หลินชิงเวยยื่นมือออกมาปิดปากหาวครั้งหนึ่ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อภัยเพคะ ยามนี้หม่อมฉันแทบจะทนไม่ไหวที่จะกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยนแล้วหัวถึงหมอนก็นอนหลับให้ฟ้ามืดไปเลยเพคะ”
รอยยิ้มของเซียนจิ่นอ่อนโยนขึ้นอีกเล็กน้อย “หลายวันนี้มานี้ลำบากเจ้าแล้ว และทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม”
หลินชิงเวยหันกลับมากะพริบตาให้เซียวจิ่น “หากฝ่าบาททรงรู้สึกว่าหม่อมฉันลำบากและไม่ได้รับความเป็นธรรม จะประทานสิ่งของเช่นไข่มุกอัญมณี หรือยาสมุนไพรล้ำค่าให้หม่อมฉันก็ได้นี่เพคะ”
เซียวจิ่นกลับพูดขึ้นอย่างใจกว้างว่า “เจ้าชมชอบสิ่งใด อีกประเดี๋ยวให้เสด็จอาพาเจ้าไปหยิบที่ท้องพระคลัง เจิ้นประทานสิ่งของให้เจ้าเต็มที่เช่นนี้อาจมีบางคนไม่พอใจ”