เซียวเยี่ยนพูดตรงไปตรงมา “อย่างไรก็ต้องห้าต่อห้า”
“นี่ เซียวเยี่ยน ท่านอย่าได้อ้าปากใหญ่ราวกับสิงโตได้หรือไม่”
เซียวเยี่ยนละเลื่อนสายตามาตกอยู่บนร่างของหลินชิงเวย “เช่นกัน เช่นกัน”
หลินชิงเวยคิดในใจ แม้อาการป่วยของเซี่ยนอ๋องจะแปลกประหลาดสักหน่อย ต่อให้ไม่ไปตรวจดูอาการก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ใครใช้ให้ค่ารักษาเป็นเงินเรือนหมื่นตำลึงเล่า? เซียวเยี่ยนสามารถดึงตัวเองออกจากเรื่องนี้ได้แต่ตนคิดจะดึงเขาเข้ามาเป็นพวกด้วย ย่อมเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องแบ่งเงินให้เขา อีกทั้งต้องแบ่งให้ในจำนวนตัวเลขที่เขาพอใจ…
หลินชิงเวยตบต้นขาดังฉาดและพูดด้วยความปวดใจอย่างที่สุดว่า “ห้าต่อห้าก็ห้าต่อห้า!” คิดเสียว่านางเสนอค่ารักษาเป็นเงินห้าพันตำลึงก็แล้วกัน พูดแล้วนางก็ขดตัวซุกเข้าไปในมุมหนึ่งด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างเหลือแสน สายตาที่มองเซียวเยี่ยนเต็มไปด้วยความบีบคั้นอันไร้สุ้มเสียง “คิดไม่ถึงว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะเป็นคนเห็นแก่เงินเช่นนี้! ข้าไม่เชื่อว่าท่านยากจนกระทั่งต้องการแบ่งส่วนแบ่งจากข้าเป็นเงินห้าพันตำลึง ข้าดูแคลนท่าน!”
รถม้าเป็นรถม้าของเซียวเยี่ยน คนบังคับม้าก็เป็นคนของเซียวเยี่ยน แต่หลินชิงเวยยังคงเดินทางไปจวนสกุลหลินก่อนเพื่อป้องกันมิให้เซียวจิ่นเกิดความสงสัย แล้วจึงค่อยนั่งรถม้าของจวนสกุลหลินไปยังจวนเซี่ยนอ๋อง
เมื่อไปถึงจวนเซี่ยนอ๋องเป็นเวลาเลยยามอู่ไปแล้ว หลินชิงเวยเพิ่งจะได้คิดว่าตนยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง
พ่อบ้านผู้ดูแลจวนอ๋องเข้ามารายงานว่าก่อนหน้าที่หลินชิงเวยจะมาถึงเจ้านายของพวกเขาได้กำชับให้เตรียมอาหารไว้โต๊ะหนึ่งแล้ว
อาหารทั้งหมดถูกส่งไปยังโต๊ะในห้องนอนของเซียวอี้ ล้วนเป็นอาหารรสชาติอันโอชะ
ทันทีที่หลินชิงเวยก้าวเข้าไปในห้องก็ถูกอาหารบนโต๊ะดึงดูดความสนใจ ไม่อาจไม่พูดว่าเซียวอี้ผู้นี้เมื่อครั้งไปเป็นแขกที่จวนมหาเสนาบดี เห็นหลินชิงเวยกินอาหารจานใดบนโต๊ะอาหารบ้างก็สามารถจับทางได้ถึงความโปรดปรานของนาง อาหารบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้านี้ล้วนเป็นอาหารที่นางไม่นึกรังเกียจไปจนถึงชื่นชอบที่สุด
เมื่อหลินชิงเวยเอื้อมมือไปหยิบกุ้งที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วจิ้มซีอิ้วแล้วส่งเข้าปาก
พลันมีเสียงหยอกล้อจากด้านข้างดังขึ้น “ดูท่าทางแล้ว อาหารเหล่านี้ล้วนถูกปากเจ้า”
หลินชิงเวยดูดนิ้วดังจ๊วบๆ แล้วเงยหน้ามองไป เห็นผู้ที่นอนเอนหลังอยู่บนเตียงมิใช่เซียวอี้หรอกหรือ ยามนี้เขากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนหัวเตียง บนร่างกายสวมเพียงเสื้อนอนสีขาวตัวหลวม เส้นผมดูยุ่งเล็กน้อยนั้นแผ่สยายลงมาบนไหล่ ปกคอเสื้อแบะออกด้านข้างน้อยๆ ส่งให้ดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความเจ้าสำราญ
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนเสียเลือดมากเกินไป สีหน้าของเซียวอี้จึงซีดขาวอยู่บ้าง ทำให้รอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขาดูแล้วอ่อนโยนและไร้พิษสง
เชอะ เขาอ่อนโยนและไร้พิษ เช่นนั้นโลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยความรักแล้ว
ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก ความใจจืดใจดำของคนผู้นี้หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งดีกว่าใคร
หลินชิงเวยกินกุ้งไปอีกหนึ่งตัวแล้วเลิกคิ้วพูดกับเขาว่า “เอ๊ะ ยังไม่ตายหรอกหรือ”
เซียวอี้ไม่หงุดหงิดเช่นกัน รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วและดวงตาของเขา น้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน “โชคดีที่มีเวยเวย ข้าจึงหนีรอดจากความตายมีชีวิตมาจนถึงบัดนี้”
หลินชิงเวยตวัดสายตามองเขา “ข้าเห็นท่านยามนี้ปกติดีอยู่ ได้ยินหลินเสวี่ยหรงบอกว่าประเดี๋ยวท่านปวดบาดแผล ประเดี๋ยวบอกว่าบาดแผลปริ ไม่เห็นเหมือนจะเป็นจะตายอย่างที่นางพูดเลยนี่นา”
เซียวอี้ “หากไม่พูดเช่นนั้นเจ้าจะยอมมาหรือ? ออกจากวังหลวงมาเจ้ายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเป็นแน่ ไม่รู้ว่าอาหารที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าเหล่านี้เจ้าชอบหรือไม่ หิวแล้วก็กินก่อนเถิดแล้วค่อยมาพูดคุยเรื่องบาดแผลของข้า”
หลินชิงเวยไม่เกรงใจเช่นกัน นางนั่งลงหยิบตะเกียบและพูดว่า “ข้าวหนึ่งมื้อแล้วจะไล่ข้าไป? ไม่ง่ายดายเช่นนั้น ไม่รู้ว่าหลินเสวี่ยหรงกลับมาได้พูดกับท่านหรือไม่เรื่องที่ข้าจะเก็บเงินค่ารักษา”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวอี้มีความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเพิ่มขึ้นมาให้เห็น “หนึ่งหมื่นตำลึงมิใช่หรือ ข้ารู้แล้ว แต่เวยเวยเจ้าไม่คิดว่าเก็บเงินมากไปหน่อยหรือ?”
“มากหรือ?” หลินชิงเวยกล่าว “ข้ายังคิดจะเก็บสองหมื่นนะ แต่เห็นท่านเป็นคนคุ้นเคย จึงลดราคาให้ท่าน”
เซียวอี้จึงไม่ต่อรองราคาอีก ขืนต่อรองราคาอีกหลินชิงเวยเจ้าสิงโตปากใหญ่ต้องการเก็บสองหมื่นตำลึงจริงๆ จะเป็นการได้ไม่คุ้มเสียเปล่าๆ ปลี้ๆ
หลินชิงเวยชอบกินอาหารทะเลและอาหารรสเผ็ด นางกินล้อมโต๊ะ กินอย่างเอร็ดอร่อย เซียวอี้เห็นนิ้วมือเรียวยาวของนางเปื้อนน้ำจิ้มทั้งแดงทั้งมันเยิ้ม ท่าท่างที่นางแกะเนื้อปูกระทั่งตนเองก็รู้สึกเปรี้ยวปาก เพียงแต่เขากินข้าวแล้ว อาหารที่กินล้วนเป็นอาหารรสอ่อนและจืดชืดราวกับไม่ได้กินก็ไม่ปาน
“เจ้าจะบอกได้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องพิษ?” เซียวอี้ถามขึ้น
หลินชิงเวยพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ตัวท่านเองยังไม่รู้ ข้าไหนเลยจะรู้ได้ นี่เป็นเพราะท่านก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเกินไป”
“อ้อ ใช่หรือ? เหตุใดข้าได้ยินว่าเมื่อวานคนของจวนอ๋องที่ถูกส่งไปเชิญหมอหลวงในวังกลับถูกเซ่อเจิ้งอ๋องขัดขวางราวกับรู้เรื่องล่วงหน้า และเซ่อเจิ้งอ๋องมาปรากฏกายอย่างทันเวลา ดูไม่เหมือนกับไม่รู้ว่าเหตุใดข้าจึงต้องพิษ”
หลินชิงเวยหรี่ตาและวางตะเกียบในมือลง ริมฝีปากของนางแดงก่ำ “ข้าพูดกับเซ่อเจิ้งอ๋องแต่แรกแล้วว่าคนเช่นท่านปล่อยให้ตายไปก็สิ้นเรื่อง ยังต้องมาช่วยชีวิตให้รอดแล้วยังทำให้ตัวเองต้องเสื่อมเสียไปด้วย เขาไม่เชื่อ”
เซียวอี้หัวเราะเสียงดัง “เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่ได้มีเจตนาสงสัยพวกเจ้า หากเซ่อเจิ้งอ๋องต้องการให้ข้าตาย ย่อมไม่ให้เจ้ามาช่วยข้า”
“ใช่แล้ว เขาไม่ต้องการให้ท่านตาย” หลินชิงเวยมองเซียวอี้ตรงๆ “แต่ท่านกลับอยากให้เขาตายใช่หรือไม่?”
สายตาของเซียวอี้เปลี่ยนเป็นเย็นชาและคมปลาบในชั่วขณะ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินว่า ระยะนี้ในวังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย”
หลินชิงเวยมองเขาด้วยหางตา “ในวังหลวงปิดข่าวอย่างดี ท่านได้ยินผู้ใดพูด?”
จากการสนทนา เซียวอี้ถูกหลินชิงเวยป้องกันไว้ทุกด้าน คิดจะล้วงข่าวคราวจากนางเป็นเรื่องที่ไม่มีทางได้ประโยชน์อันใด
หลินชิงเวยคิดในใจ หากเซียวอี้มีใจจะสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงย่อมปิดบังเขาไม่ได้ เรื่องของจู๋กุ้ยเหรินมีคนในวังไม่กี่คนที่รู้ แต่นางกลับไม่อาจมองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างจู๋กุ้ยเหรินและเซียวอี้ จะให้เซียวอี้รู้ไม่ได้ว่าจู๋กุ้ยเหรินตายแล้ว หาไม่แล้วด้วยความทะเยอะทะยานในจิตใจของเขา มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะเป็นฝ่ายส่งข่าวนี้ไปถึงอวิ๋นหนานอ๋อง ส่วนตัวเองคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง
หลินชิงเวยทางหนึ่งกินไปพร้อมกับพูดคุยไปด้วย “ในวังเกิดคดีฆ่าคนตายหลายคดี องครักษ์คนหนึ่งสังหารนางกำนัลสองคน ยังมีจ้าวเฟยก็ติดร่างห่างตายไปด้วย ในวังปิดข่าวเรื่องนี้เพราะไม่ต้องการให้จิตใจของผู้คนระส่ำระสาย”
“เพียงแค่นี้?” เซียวอี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลินชิงเวยวางตะเกียบลงบนจานแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับเซียวอี้อย่างเกียจคร้าน “ยังมีอีกก็คือเคราะห์ดีที่ท่านให้จู๋กุ้ยเหรินออกมาแสดงการร่ายรำในงานเลี้ยงครั้งก่อน สร้างสีสันตื่นตะลึงให้กับทุกคน ขณะเดียวกันก็ได้รับความสนใจจากไทเฮาและฮ่องเต้ ต่อไปเกรงว่าความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างท่านและนาง แม้กระทั่งจะหลบๆ ซ่อนๆ ก็ทำไม่ได้แล้ว”
เซียวอี้ดูสีหน้าท่าทางของหลินชิงเวย เขามองไม่เห็นพิรุธแม้แต่น้อย
แต่เขามักจะรู้สึกเสมอว่า เรื่องราวมิได้ง่ายดายเช่นที่นางพูดมา
เมื่อเห็นว่าถามไปก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่านี้ เซียวอี้จึงเลิกถามไปเอง รอจนหลินชิงเวยกินจนอิ่มแปล้ จากนั้นก็ถึงเวลาให้เขาได้รับการปรนนิบัติรักษาให้คุ้มค่ากับเงินหนึ่งหมื่นตำลึง
หลินชิงเวยดูผ้าพันแผลบริเวณข้อมือและหน้าอกของเขา บนบาดแผลมีร่องรอยแดงจริงๆ แต่ไม่ถึงกับบาดแผลปริแตกมีเลือดไหลออกมาซึ่งถือเป็นภาวะปกติอย่างหนึ่ง