เซียวอี้เงียบขรึมไปอึดใจหนึ่ง แน่นอนว่าหลินชิงเวยพูดถูกต้อง หลินชิงเวยรั้งอยู่ในจวนเซี่ยนอ๋องนานเท่าใดยิ่งทำให้คนสงสัยมากขึ้น
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังคงเจิดจ้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ฝืนรั้งเจ้าเอาไว้ อย่างไรเจ้าก็ต้องกินอาหารเย็นนี้ก่อนแล้วค่อยกลับไป”
“กลับไปในวังก็มีให้กิน ไม่ขาดแคลนข้าวหนึ่งมื้อของท่านหรอก” หลินชิงเวยสะพายล่วมยาของตนหันกายจะเดินออกไป
เซียวอี้ยกปลายนิ้วขึ้นลูบคางของตน เขาเอ่ยขึ้นก่อนหน้าที่นางจะก้าวเท้าออกประตูไป “แต่ข้าได้เชิญพ่อครัวผู้มีชื่อเสียงที่สุดของหอซีหวาเมืองชวนจงมาที่นี่ คนได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว คาดว่าอีกสักประเดี๋ยวก็จะมาถึงจวน”
ย่างก้าวของหลินชิงเวยหยุดชะงัก “เมืองชวนจง?” นางไม่เคยได้ยินชื่อหอซีหวามาก่อน แต่พ่อครัวผู้มีชื่อเสียงของเมืองแห่งหนึ่ง ย่อมต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าหากเปรียบเทียบกับห้องเครื่องในวังหลวงแล้วจะเป็นอย่างไร
เซียวอี้ “ก็คือเมืองสู่ชวน พ่อครัวทำอาหารเสฉวนได้อย่างขึ้นชื่อ เครื่องหมาล่าทั้งหอมทั้งสด”
ดูเหมือนอาหารของที่นี่จะทำได้ไม่เลว อีกทั้งหลินชิงเวยชอบกินอาหารเสฉวนเป็นที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อครัวที่มาถึงในคืนนี้จะปรุงอาหารจากหมาล่าด้วยวิธีใด หลินชิงเวยเดิมทีมิใช่คนเห็นแก่กิน ตั้งแต่เข้าวังมาได้ลิ้มลองอาหารอย่างดีหนวดเต่าเขากระต่ายไม่มีอะไรที่นางไม่เคยกิน แต่นางติดอยู่กับที่เซียวอี้นำคำว่า “มีชื่อเสียงที่สุด” มาหลอกล่อนาง
นางอยากจะดูเหมือนกันว่า พ่อครัวที่มาจากเมืองชวนจงนี้จะมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือหรือไม่
หลินชิงเวยหันกลับมามองเซียวอี้ที่มีท่าทีเกียจคร้านแวบหนึ่ง ท่ามกลางความสับสนเล็กๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะกินอาหารเย็นที่นี่แล้วค่อยกลับไป หากพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อยข้าจะทำลายชื่อเสียงของเขา”
เซียวอี้เลิกคิ้วยิ้มให้นาง นี่นับว่ารับปากแล้ว ราวกับเขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่าหลินชิงเวยจะต้องตอบตกลง เมื่อได้คำตอบจากหลินชิงเวยเขาจึงดูไม่ประหลาดใจสักเท่าใดนัก จึงให้คนพาหลินชิงเวยไปเดินเล่นในจวนอ๋อง ดูเหมือนมีความปรารถนาดีให้คนมาอยู่เป็นเพื่อน ที่จริงแล้วหลินชิงเวยลอบคิดในใจ คนผู้นี้แทบจะทนรอไม่ไหวให้นางและหลินเสวี่ยหรงต้องทะเลาะตบตีกันกระมัง
ที่จริงแล้วหลินเสวี่ยหรงได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง นางรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจอย่างเลี่ยงได้ยาก แม้นางจะเดินนำหลินชิงเวยออกมาจากเรือนหลักของจวนอ๋อง แต่เดินไปได้ไม่นานเท่าใดก็ทิ้งหลินชิงเวยไว้คนเดียวตนเองไม่รู้ไปอยู่ที่ใด
หลินชิงเวยเองกลับเบิกบานใจ อยู่กับหลินเสวี่ยหรงไม่เห็นจะมีอะไรดี นางไม่มีกะจิตกะใจจะมาเสียเวลากับสตรีเช่นนี้ จึงเดินเล่นอยู่ในสวนไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าเดินไปถึงสถานที่ใดแล้วเห็นศาลาหลังหนึ่งที่ดูไม่เลวเลยทีเดียว จึงนั่งลงบนเก้าอี้ยาวในศาลาแห่งนั้น นางหลับตาพักผ่อนโดยเอนศีรษะพิงกับเสาไม้แดง
ด้วยระยะนี้นางเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยล้าเสียจนทันทีที่หลับตาก็หลับไป
ด้านข้างศาลามีบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง น้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ไม่ลึกนัก น้ำในบ่อใสเสียจนมองเห็นปลาจิ๋นหลี่[1]สีแดงที่ว่ายวนอยู่ในนั้น กอรปกับใบไม้สีเขียวทรงกลมที่ถูกสายลมพัดผ่านเป็นระยะ ทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่งนัก
ภายในบ่อน้ำเล็กๆ มีหญ้าถงเฉียน[2]สีเขียวขึ้นเต็มไปหมด ปลาจิ๋นหลี่เหล่านั้นว่ายไปชนกับต้นหญ้าพวกนั้นเป็นพักๆ หญ้าถงเฉียนจึงกระเพื่อมสั่นไหวเป็นครั้งคราวเมื่อรากที่อยู่ใต้น้ำของมันถูกปลาเหล่านั้นว่ายมาชน
เส้นผมของหลินชิงเวยถูกลมพัดปลิวไปด้านนอกศาลา
เวลานี้เข้าสู่คิมหันตฤดูแล้ว เสียงจักจั่นร้องดังมาจากบนต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ส่งผลให้แสงตะวันยามบ่ายบังเกิดความสงบเพิ่มขึ้น หลินชิงเวยรับรู้ได้ถึงความเย็นสบายในศาลา นางยังรับรู้ได้ในความฝันว่าสายลมโชยมาลูบไล้ข้างแก้มของตนบางเบา
ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าใด ด้านนอกศาลาปรากฏให้เห็นเงาร่างอรชรร่างหนึ่ง
หลินเสวี่ยหรงยืนอยู่ภายใต้แสงตะวัน ผิวพรรณของนางขาวนวลผ่องราวกับหิมะสีขาว กระบอกตาของนางทั้งแดงก่ำและบวมเป่ง นางกำลังจับจ้องหลินชิงเวยที่นอนหลับอยู่ นิ้วมือของนางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ราวกับหลินชิงเวยเป็นผ้าเช็ดหน้าในมือให้นางขยี้ตามอำเภอใจ
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า หลินเสวี่ยหรงชิงชังนักที่ไม่อาจฉีกหลินชิงเวยเป็นชิ้นๆ ได้ ตนเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ตกอยู่ในเงื้อมือของนางครั้งแล้วครั้งเล่า หรือเป็นเรพาะนางมีเวทย์มนต์กันแน่ ต่อให้ยามนี้นางแต่งเข้าไปในวังหลวงแล้วยังถึงกับดึงดูดความสนใจจากเซี่ยนอ๋องกลับไปได้!
เซี่ยนอ๋องยินดีจ่ายเงินหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อเชิญหลินชิงเวยมาที่นี่ การรักษาบาดแผลเป็นเรื่องรอง ได้ใกล้ชิดกับนางจึงจะเป็นเรื่องสำคัญกระมัง!
หลินเสวี่ยชิงชังตัวเองเหลือเกิน กลิ่นอายดำมืดแผ่ซ่านออกจากร่างกายนาง นางยกกระโปรงเดินเข้าไปในศาลาอย่างไร้สุ้มเสียง นางยืนอยู่เบื้องหน้าหลินชิงเวยและพิศมองนางอยู่เนิ่นนาน
หลินเสวี่ยหรงมองน้ำไม่ลึกนักในบ่อน้ำด้านนอกศาลา ด้านล่างของบ่อน้ำเต็มไปด้วยดินโคลน ต่อให้ไม่อาจปลิดชีวิตของหลินชิงเวยได้แต่ก็เพียงพอที่จะให้นางรู้สึกดีขึ้นบ้าง
นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วยื่นมืออกไปเตรียมจะผลักหลินชิงเวยให้ตกลงไปในบ่อน้ำ ดูว่าหลินชิงเวยจะยังหัวเราะเยาะและดูถูกนางได้อีกหรือไม่
ทว่ามือของนางยังไม่ทันได้สัมผัสแตะต้องร่างของหลินชิงเวย พลันมีสิ่งของเคลื่อนไหวออกมาจากอกของหลินชิงเวย มันส่งเสียงขู่ฟ่อ เมื่อนางจับจ้องสายตามองไปจึงตระหนกตกใจจนใบหน้าซีดขาวด้วยพบว่ามีงูตัวหนึ่งเลื้อยออกมาส่งภาษาข่มขู่และแลบลิ้นสีแดงสด มันอ้าปากแยกเขี้ยวอันแหลมคมราวกับกำลังท้าทายหลินเสวี่ยหรง
ทันใดนั้นชิงหลันกระโจนออกไปหมายจะเกาะบนมือหลินเสวี่ยหรง หลินเสวี่ยหรงดึงมือกลับมาด้วยสัญชาตญาณ คนทั้งคนตื่นตระหนกจนตัวโยนส่งผลให้ขาทั้งคู่อ่อนยวบจึงเสียหลักถอยไปด้านหลัง
ด้วยศาลาทรงสี่เหลี่ยมหลังนี้มิได้มีขนาดกว้างใหญ่อันใดนัก เวลานี้นางถอยหลังดียิ่งนัก นางถอยไปด้านข้างของเก้าอี้ยาวโดยมิได้ตระหนักว่าด้านหลังของนางก็มีเก้าอี้ยาวอีกตัวหนึ่ง ดังนั้นขาของนางจึงสะดุดเข้ากับเก้าอี้ตัวนั้นร่างของนางเสียหลักหงายไปข้างหลัง
“อ๊า–” หลินเสวี่ยหรงกรีดร้องเสียงแหลม ตนเองยังไม่ทันได้รับรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ศีรษะของนางก็ตกลงไปในบ่อน้ำ ทำให้ฝูงปลาจิ๋นหลี่ที่อยู่ในน้ำพลอยได้รับความตื่นตระหนกไปด้วย
หลินเสวี่ยหรงดิ้นรนอยู่ในน้ำ นางรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าแย่แล้ว น้ำในบ่อนี้ดูเหมือนตื้นเขิน ทว่าข้างใต้บ่อน้ำล้วนเป็นดินโคลนหนาแน่นที่ยากจะประเมินได้ นางยิ่งดิ้นรนกลับยิ่งถูกดินโคลนดูดให้จมลึกลงไปอีก ไร้หนทางที่จะปีนขึ้นมาได้
หลินเสวี่ยหรงร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออยู่ในบ่อน้ำ
หลินชิงเวยขมวดคิ้วตั้งแต่ได้ยินเสียง “ตูม” ตกลงไปในน้ำแล้ว ทว่านางไม่ได้ลืมตา ไม่ว่าหลินเสวี่ยหรงจะร้องเรียกให้ช่วยอย่างไรนางก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว
ในจวนอ๋องแห่งนี้มิใช่ไม่มีคน ไยต้องให้ตนเองแปดเปื้อนไปด้วยดินโคลน? นางมิใช่คนเบาปัญญาเสียหน่อย
ยามนี้ดินโคลนขึ้นมาถึงบริเวณลำคอของหลินเสวี่ยหรงแล้ว นางจึงดิ้นรนอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยดินโคลนสกปรก ไหนเลยจะมีความงดงามแม้สักกระผีก หญ้าถงเฉียนที่อยู่ในบ่อน้ำของมันดีๆ มาบัดนี้ล้วนถูกนางทำลายไปกว่าครึ่ง หญ้าเหล่านั้นจมลงดินโคลนนั่นเอง
หลินเสวี่ยหรงเพิ่งจะเริ่มหวาดกลัวอย่างแท้จริง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของนางมองหลินชิงเวยด้วยความแค้นเคือง นางร้องคำรามว่า “หลินชิงเวย ต่อให้ข้าเป็นผีก็ไม่มีวันละเว้นเจ้า!”
ต่อมาเมื่อดินโคลนขึ้นมาถึงปลายคางของหลินเสวี่ยหรงพ่อบ้านผู้ดูแลจึงนำคนรีบรุดมาถึง เขามองไปที่บ่อน้ำแล้วรีบเรียกให้คนไปนำไม้ไผ่มายื่นไปถึงเบื้องหน้าหลินเสวี่ยหรง ให้นางจับไม้ไผ่ไว้ให้มั่นมือ จากนั้นดึงตัวนางขึ้นมา
เมื่อร่างของนางล้มลงบนขอบบ่อน้ำอย่างหมดเรี่ยวสิ้นแรง นางยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว
[1] หมายถึงปลาคราฟ
[2] หมายถึงใบบัวบก