กระทั่งเงาร่างของคนเดินเข้ามาใกล้ ซินหรูจึงจดจำเขาได้อย่างรวดเร็ว เสียงอ่อนหวานของนางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่เสี่ยวฉี”
ผู้ที่มาคือเซียวฉีนั่นเอง องครักษ์คนสนิทของเซียวเยี่น เดิมทีท่าทางในยามปกติของเขามักจะท่าทางเข้มงวดเป็นนิจ มีเพียงหลินชิงเวยที่ไม่เห็นความเข้มงวดของเขานับเป็นเรื่องอันใด บัดนี้กระทั่งซินหรูก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เพียงแต่ท่าทีที่เสี่ยวฉีมีต่อหลินชิงเวยและซินหรูตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เขาเห็นซินหรูกำลังนั่งอยู่หน้าประตูได้ยินนางส่งเสียงเรียกตนก็อดที่จะใจอ่อนยวบไม่ได้ เขาถามขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ด้านในหรือไม่?”
ซินหรูพยักหน้าพูดว่า “อยู่ด้านในเจ้าค่ะ กำลังสนทนากับพี่สาว”
เสี่ยวฉีพยักหน้าแล้วเดินผ่านร่างของซินหรูเข้าไป ซินหรูเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดอีกว่า “ท่านพี่เสี่ยวฉี หลายวันมานี้ไม่เห็นท่าน ท่านไปที่ใดมาหรือเจ้าคะ? ดูแล้วผอมซูบไปเป็นกอง”
ฝีเท้าของเสี่ยวฉีพลันชะงัก เขาไม่ได้หยุดเพื่อพูดจาอะไรกับนาง เมื่อเดินขึ้นบันไดหยุดอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทมและพูดขึ้นว่า “ผู้น้อยถวายคำนับเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ถวายคำนับเจาอี๋เหนียงเหนียง”
เซียวเยี่ยนหันกลับมาเลิกคิ้วพูดว่า “เรื่องทางด้านจวนว่าการเสร็จสิ้นแล้ว?”
องครักษ์เงียบไปอึดใจหนึ่ง “ทูลเซ่อเจิ้งอ๋อง หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเยี่ยนเพียงแค่มองเขาทว่าไม่พูดจา ความหมายก็คือรอให้เขาพูดต่อ
องครักษ์จึงพูดขึ้นอีกว่า “ฆาตกรในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เดิมทีเมื่อวานจับตัวได้แล้ว ทางจวนว่าการทำการไต่สวนทั้งคืน ฆาตกรให้การรับสารภาพในคดีฆาตกรรม รอเพียงแค่รายงานขึ้นไปทางศาลต้าหลี่ ให้ศาลต้าหลี่ตัดสินและกำหนดวันประหาร เพียงแต่…”
“เพียงแต่อันใด?”
องครักษ์ “ฆาตกรถูกจับกุมตัวเมื่อวานนี้ แต่คืนนี้กลับพบศพอีกศพหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
คดีฆาตกรรมไม่จำเป็นต้องให้เซ่อเจิ้งอ๋องลงไปจัดการด้วยตนเอง แต่เมื่อได้ยินเสี่ยวฉีพูดแล้ว คดีฆาตกรรมครั้งนี้ทำการฆาตกรรมต่อเนื่องมาแล้วถึงหกศพ เมื่อบวกกับอีกชีวิตหนึ่งในค่ำคืนนี้จึงเป็นชีวิตคนถึงเจ็ดคน บัดนี้ทางจวนว่าการได้ทำการปิดข่าวอย่างเต็มกำลัง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวเล็ดรอดออกไปแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วยังจับตัวฆาตกรไม่ได้ ย่อมต้องทำให้ชาวบ้านทั้งเมืองเกิดความหวาดกลัว
สถานการณ์ในคืนนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กระทั่งท่านเจ้าเมืองเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นใด จึงขอให้เสี่ยวฉีมารายงานต่อเซ่อเจิ้งอ๋อง
เซียวเยี่ยนหันมามองหลินชิงเวย เขาเพิ่งจะอ้าปากพูดก็ถูกหลินชิงเวยชิงพูดตัดหน้าเสียก่อน นางเรียกซินหรูที่อยู่ด้านนอกเข้ามา “ซินหรู พี่สาวมีธุระต้องออกไปกับเซ่อเจิ้งอ๋องสักหน เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลฝ่าบาทให้ดีได้หรือไม่?”
เสี่ยวฉียืนพูดอยู่หน้าประตู ซินหรูย่อมได้ยินคำพูดของเขา ด้วยเหตุนี้นางจึงผงกศีรษะแรงๆ “พี่สาวและเซ่อเจิ้งอ๋องมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการก็ไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลฝ่าบาทให้ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
หลินชิงเวยลูบศีรษะของซินหรู “เด็กดี เจ้าเหนื่อยแล้วก็ไปนอนที่ตั่งตัวยาวริมหน้าต่างนะ”
ตั่งยาวตัวนั้นยามปกติมีไว้ให้คนนั่งอ่านหนังสือ เพียงแต่พลิกหมอนหนุนออกไปมันก็ไม่แตกต่างจากเตียงเล็กๆ หลังหนึ่ง
หลินชิงเวยพูดจากำชับอีกสองสามประโยคก็หันไปยิ้มตาหยีกับเซียวเยี่ยน “เสด็จอา พวกเราไปกันเถิด ไปสืบคดี”
เซียวเยี่ยน “…ดูเหมือนเปิ่นหวางจะไม่ได้ตอบตกลงว่าจะพาเจ้าออกไปสืบคดีด้วย”
“ไม่พาข้าไป? ข้ากล้ารับรองว่าหากไม่พาข้าไปพวกท่านไม่มีทางจับตัวฆาตกรได้แน่นอน” หลินชิงเวยกล่าว “ผู้ที่เป็นหมอมีจำนวนไม่มากที่เหมือนข้า มีความสนใจต่อคนตาย มีเพียงทำให้แน่ใจว่าคนต้องการพูดอะไรจึงจะสามารถช่วยให้พวกท่านขยายผลจับตัวฆาตกรต่อไปได้”
สุดท้ายเซียวเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น หันกายแล้วเดินออกไป หลินชิงเวยเดินเอามือไพล่หลังตามหลังเขาไป
เสี่ยวฉีรู้สึกตกตะลึง “ท่านอ๋อง…” หรือเซ่อเจิ้งอ๋องจะพาสตรีผู้นี้ออกจากวังไปสืบคดีจริงๆ? นางมิใช่สตรีสามัญ นางเป็นเจาอี๋เหนียงเหนียงนี่นา! มีนางสนมในวังหลวงคนใดกันที่ออกจากวังเป็นการส่วนตัว ซ้ำยังออกไปก้าวก่ายเรื่องคดีฆาตกรรม!
เซียวเยี่ยนพูดกับเสี่ยวฉีด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถิด วิ่งรอกทำงานมาหลายวันเหน็ดเหนื่อยแล้ว พักสักครู่”
เมื่อหลินชิงเวยเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเสี่ยวฉี นางกะพริบตาปริบๆ ให้เขาและพูดว่า “เสี่ยวฉีเด็กน้อย ข้าไว้ใจเจ้า เจ้าจะต้องดูแลฮ่องเต้และซินหรูของข้าให้ดีเล่า ห้ามให้ใครก็ตามโดยเฉพาะไทเฮามาสร้างความลำบากใจให้กับซินหรู หาไม่แล้วเมื่อข้ากลับมาข้าจะตัดขาของเจ้าข้างหนึ่ง”
เสี่ยวฉี “…”
หลินชิงเวยไม่สะดวกที่จะออกไปข้างนอกพร้อมกับเซียวเยี่ยนในสถานะของเจาอี๋ ก่อนออกจากวังนางจึงสวมอาภรณ์ของบุรุษชุดหนึ่ง เส้นผมยาวสลวยของนางถูกมุ่นมวยขึ้นไปเสียบด้วยปิ่นอันหนึ่ง แม้ดูไปแล้วราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ก็เป็นการแต่งกายของคุณชายน้อยหน้าตาคมขำคนหนึ่ง
ทั้งสองคนขี่ม้าเร็วตัวเดียวกันโผนทะยานออกจากวังหลวง เร่งเดินทางทั้งคืนเพื่อมุ่งหน้าไปยังจวนว่าการ
ท่านเจ้าเมืองพร้อมด้วยมือปราบสองนายยืนรอรับอยู่หน้าประตูใหญ่ เมื่อเห็นเซียวเยี่ยนมาถึงจึงรีบก้าวขึ้นข้างหน้าเพื่อแสดงคารวะ “กระหม่อมถวายคำนับเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเยี่ยนหันไปอุ้มหลินชิงเวยลงมาจากหลังม้า แล้วพูดกับท่านเจ้าเมืองเนิบๆ “ใต้เท้าสวีไม่ต้องเกรงใจ”
ท่านเจ้าเมืองหันไปมองหลินชิงเวยแล้วถามอีกว่า “บังอาจถามเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านนี้คือ…”
หลินชิงเวยตอบ “ข้าเป็นผู้ติดตามคนสนิทของเซ่อเจิ้งอ๋อง คารวะใต้เท้าสวี”
ท่านเจ้าเมืองและมือปราบทั้งสองนายต่างตะลึงงัน ผู้ติดตามคนสนิทคนนี้ถึงกับขี่ม้าตัวเดียวกับเซ่อเจิ้งอ๋องของราชวงศ์ได้หรือ? อีกทั้งดูท่าทางบอบบางของผู้ติดตามคนสนิทแล้ว ริมฝีปากสีแดงสดฟันขาวสะอาด อ่อนเยาว์ราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ เซ่อเจิ้งอ๋องนำคนผู้ติดตามคนสนิทเช่นนี้ติดตัวมาด้วยดูเหมือนช่าง…
คนที่อยู่ที่นี่จึงอดที่จะคิดออกนอกลู่นอกทางไม่ได้ หรือเซ่อเจิ้งอ๋องมีรสนิยมพิเศษ เช่น ชอบเด็ก…อะไรประมาณนั้น
มิน่าเล่า เซ่อเจิ้งอ๋องจึงยังมิได้ตบแต่งชายามาจนถึงบัดนี้ อีกทั้งทั้งเมืองหลวงไม่มีใครเคยได้ยินว่าเขาใกล้ชิดกับคุณหนูท่านใดมาก่อน
ต่อให้ท่านเจ้าเมืองเชี่ยวชาญการสืบคดีจึงปิดบังอำพรางสีหน้าได้เป็นอย่างดี แต่สีหน้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของมือปราบนั้นกลับเขียนไว้อย่างชัดเจน เซียวเยี่ยนพูดขึ้นเสียงเย็นว่า “นางขี่ม้าไม่เป็นมีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“ไม่ ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ…”
หลินชิงเวยอยากหัวเราะ ใต้เท้าเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่าทางรีบร้อนอธิบายของท่านยิ่งทำให้ผู้อื่นคิดมากอย่างง่ายดาย
หลินชิงเวย “พอแล้ว มิใช่ต้องการพูดคุยเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในคืนนี้หรอกหรือ รบกวนใต้เท้าสวีพาพวกเราไปดูสถานที่เกิดเหตุสักหน่อย”
“ขอรับ”
สถานที่เกิดเหตุอยู่บนถนนด้านหลังสายหนึ่ง ข้างหน้าเรือนปลูกต้นหยางหลิ่วเป็นแถว ด้านนอกต้นหยางหลิ่วเป็นแม่น้ำสงบสายหนึ่ง เมื่อหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนไปถึงประตูเรือนเปิดค้างเอาไว้ โคมไฟภายในเรือนสว่างจ้า ด้านหน้าประตูเรือนมีมือปราบยืนเฝ้าอยู่
เรื่องประเภทนี้เพื่อป้องกันมิให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต กระทั่งเจ้าหน้าที่ของจวนว่าการก็ไม่ได้โยกย้ายกำลังมา เพียงแต่ส่งมือปราบของจวนเร่งรุดมาสืบคดี
มือปราบทั้งสองก้าวขึ้นมาจูงม้าและพูดขึ้นว่า “ใต้เท้า” เมื่อเห็นเซียวเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างพวกเขาจึงพูดอย่างมีคารวะว่า “เซ่อเจิ้งอ๋อง”
ใต้เท้าสวีถาม “สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?”
มือปราบ “ใต้เท้าเข้าไปดูก็จะรู้เองขอรับ”
ภายในเรือนมีเสียงร่ำไห้ของบุรุษคนหนึ่งดังออกมา
นี่เป็นเรือนหลังเล็กๆ ธรรมดาสามัญหลังหนึ่ง ภายในเรือนมีห้องหับอยู่หลายห้อง มองเข้าก็รู้ว่าเป็นเรือนของชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ในเรือนมีศพศพหนึ่งนอนอยู่ มีผ้าสีขาวผืนหนึ่งคลุมเอาไว้ ด้านข้างมีบุรุษคนหนึ่งกำลังหลั่งน้ำตาร่ำไห้ด้วยความอาดูร
บุรุษผู้นั้นมีศีรษะใหญ่มาก ผิวพรรณดำคล้ำท่าทางเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง แต่ยามนี้หลังของเขาค้อมลง ศีรษะก้มต่ำ อาภรณ์ผ้ากระสอบเลอะเทอะเปรอะเปื้อนบนร่างกาย ร่างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสาบจากเหงื่อไคล บุรุษฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงล่ำสันเช่นนี้ ส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ทำให้คนที่ได้ยินแล้วรู้สึกเวทนา