ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 162 อย่าดูถูกผู้อื่น

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ข้างกายเขามีมือปราบคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ ตามที่ท่านเจ้าเมืองแนะนำเขาคือมือปราบหลิวของจวนว่าการ มือปราบหลิวกำลังไต่สวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้กับบุรุษผู้นี้ ซ้ำยังให้ความเห็นว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย

ด้วยบุรุษผู้นี้เป็นสามีของสตรีที่นอนตายอยู่ในเรือน จึงเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง มือปราบหลิวทำการไต่สวนย่อมไม่ผิดอันใด เพียงแต่ทันทีที่เอ่ยถึงการตายของสตรี บุรุษผู้นี้ก็มีอาการตึงเครียด เขาจับชายอาภรณ์ของมือปราบหลิวแล้วคำรามเสียงต่ำด้วยดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ “ข้าไม่ได้สังหารภรรยาของข้า! ข้าไม่ได้สังหารนาง! ข้าไม่ใช่ฆาตกร!”

“เจ้ามีหลักฐานอันใดพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ใช่ฆาตกร? เมื่อคนของพวกเรามาถึงที่นี่ เจ้าอยู่ในสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ส่วนภรรยาของเจ้าตายแล้ว” มือปราบหลิวพูด

บุรุษผู้นั้นเงียบไปเขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถลึงตามองมือปราบหลิวด้วยดวงตาแดงก่ำ มือปราบหลิวโบกไม้โบกมือให้มือปราบอีกสองคนก้าวขึ้นมาจับกุมตัวเขาเอาไว้ และพูดอีกว่า “เจ้าวางใจ คดีนี้พวกเราจะต้องสืบกระทั่งความจริงปรากฏ หากเจ้าถูกให้ร้าย ย่อมคืนความเป็นธรรมให้เจ้า ต้องรบกวนให้เจ้าไปกับศาลาว่าการกับพวกเราสักหนเพื่อกลับไปบันทึกคำสารภาพเหตุการณ์ที่เกิดโดยละเอียดอีกครั้ง”

ในยุคสมัยโบราณสืบคดีกันเช่นนี้หรือ? หลินชิงเวยคิดในใจ ช่างไม่มีสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ แต่จะมีหนทางใดเล่า ขอเพียงแค่มีผู้ต้องสงสัยย่อมต้องจับตัวขึ้นมาทันที หากสืบหาความจริงไม่ได้หรือจับฆาตกรตัวจริงไม่ได้อย่างน้อยยังมีคนตายแทนมิใช่หรือ

นี่เป็นวิธีการสืบคดีของผู้อื่น อีกทั้งแต่ละยุคสมัยมีรูปแบบและขอบเขตการจัดการของแต่ละยุคสมัย นางมิอาจยื่นมือยื่นไม้เข้าแทรกได้

หลินชิงเวยยืนอยู่ในพิธีศพ นางสังเกตการจัดวางสิ่งของต่างๆ ในงานศพเป็นลำดับแรก มีโต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้หลายตัว เรียบง่ายอย่างยิ่ง นางถามว่า “สิ่งของในพิธีศพนี้มีใครแตะต้องแล้วหรือไม่?”

มือปราบหลิว “ไม่มีใครแตะต้องมาก่อน”

หลินชิงเวยเห็นบนกำแพงและบนเก้าอี้มีคราบเลือดรอยใหญ่ สิ่งของอื่นๆ ล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ระเกะระกะ แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้าที่ผู้ตายจะตายนั้นไม่มีการต่อสู้

เมื่อเห็นว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมิได้ห้ามปรามหลินชิงเวยสังเกตสถานที่เกิดเหตุ อีกทั้งสายตาของหลินชิงเวยไม่เหมือนคุณชายน้อยอายุเยาว์แม้แต่น้อย สายตาของนางคมปลาบ สงบนิ่ง สายตาของนางที่กวาดมองไปแต่ละที่ไม่อาจเล็ดรอดไปจากสายตาของนางได้

“พูดความเห็นของท่านมา” หลินชิงเวยพูดขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว

แต่ไม่มีใครตอบนาง นางจึงอดที่จะหันไปมองมือปราบหลิวไม่ได้ อายุน้อยแค่นี้สายตากลับทำให้คนรู้สึกหนาวเยือก

มือปราบหลิวพูดเสียงแข็ง “นี่เป็นคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง มิใช่สถานที่ให้เด็กน้อยมาเล่น คุณชายน้อยอย่าได้อยากรู้อยากเห็นจะดีกว่า”

หลินชิงเวยหรี่ตาลงเดินเข้าไปใกล้มือปราบหลิวแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา ด้วยเพราะต้องทำงานอยู่ข้างนอกเป็นระยะเวลายาวนาน ผิวพรรณจึงค่อนไปทางสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบในการที่หลินชิงเวยจะอ่านสีหน้าและความรู้สึกของเขา หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “เจ้าเห็นข้าผิวพรรณละเอียดอ่อนเยาว์จึงดูถูกข้า หืม?”

มือปราบหลิวเบี่ยงหัวไหล่ไปทางด้านข้างเล็กน้อย และที่หัวไหล่ของเขาขยับไปด้านข้าง ด้านหลังก็คือเซียวเยี่ยน เขายักไหล่ขึ้นเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้น้อยมิกล้า”

การกระทำเพียงเล็กน้อยนี้ไม่อาจหลุดรอดสายตาของหลินชิงเวยไปได้ หลินชิงเวยหัวเราะ “ปากเจ้าพูดว่ามิกล้า แต่สีหน้ากลับไม่ได้พูดเช่นนี้ เจ้าหันไปยักไหล่ให้เซ่อเจิ้งอ๋องครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเจ้าแค่เพียงเห็นแก่หน้าเขาจึงพูดกับข้าว่า มิกล้า”

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป มือปราบหลิวถึงกับตะลึงงัน

ใต้เท้าสวีรีบยืนออกมาพูดว่า “ขอเซ่อเจิ้งอ๋องอย่าได้ถือสา มือปราบหลิวเป็นคนไร้กฎเกณฑ์จนเคยชินเสียแล้ว เป็นเพราะกระหม่อมมิได้อบรมอย่างเข้มงวด กลับไปจะอบรมสั่งสอนให้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”

เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร” พูดแล้วยกมือขึ้นชี้ไปทางหลินชิงเวย “นางเพิ่งจะเข้ามาทำงาน จึงไม่ได้รับความเชื่อถือจากผู้อื่นอย่างเลี่ยงได้ยาก คดีนี้ต่อไปให้นางลงมาดูแลรับผิดชอบแทนเซียวฉี มีความคืบหน้าอันใดยังต้องรบกวนให้ใต้เท้าสวีพยายามให้ความร่วมมือด้วย”

กระทั่งเซ่อเจิ้งอ๋องยังพูดเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติตาม ใต้เท้าสวีรีบพูดว่า “กระหม่อมกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

มือปราบหลิวหันมามองหลินชิงเวยอย่างรวดเร็ว “เซ่อเจิ้งอ๋องถึงกับให้อำนาจสิทธิ์ขาดกับคุณชายน้อยเช่นนี้ คิดดูแล้วคุณชายน้อยย่อมต้องมีความสามารถเหนือผู้อื่น”

หลินชิงเวยหรี่ตาลงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเจ้าน่าสนใจอยู่บ้าง เจ้ายังไม่มีคู่ครอง?”

“ข้าน้อยไม่ทราบว่าคุณชายน้อยหมายความว่าอย่างไร”

หลินชิงเวยพยักหน้า “ดูท่าแล้วไม่เพียงแต่ไม่มีครอบครัว ยังดูถูกสตรีอีกด้วย” นางมองประเมินมือปราบหลิวตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า ทุกครั้งที่นางหยุดสายตาลงบนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของมือปราบหลิว เขาก็จะก้าวถอยหลัง หลินชิงเวยพูดอีกว่า “เจ้าดูเจ้า ทางหนึ่งดูถูกข้า อีกทางหนึ่งยังร้อนตัวอีก หมวกบนศีรษะของเจ้ามีคราบฝุ่นแสดงให้เห็นว่าสองวันนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนหมวก แต่อาภรณ์บนร่างของมือปราบหลิวกลับได้รับผลัดเปลี่ยนมาแล้ว เจ้าให้ความสำคัญกับความคิดของผู้อื่นที่มีต่อเจ้าอย่างยิ่ง ทว่าตนเองกลับมักจะหลงลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เสมอ” นางเลิกคิ้วแล้วมองมือเขาแวบหนึ่ง “บนมือมีรอยแผลเป็น มีความเคยชินที่จะจับดาบประจำตัวเป็นคนบ้างาน ต่อให้มีคู่ครองก็ไม่ใช่เรื่องยั่งยืนอันใด” หลินชิงเวยเห็นมือที่กุมดาบของเขากระชับแน่นขึ้น จึงอดไม่ได้จะยิ้มชั่วร้าย “โอ๊ะ ที่แท้เจ้ายังเคยมีคู่ครองมาก่อน?”

สายตาของมือปราบหลิวเย็นเยียบ ในแววตาของเขาปิดบังอำพรางสิ่งอื่นที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้

ไม่เพียงแต่ตัวเขาที่ตกตะลึง แม้แต่ใต้เท้าสวีและมือปราบอีกหลายคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนตกตะลึงพรึงเพริด เซียวเยี่ยนประสานมือไว้ด้วยกันไม่ได้แสดงท่าทีอันใด สายตาที่เขามองหลินชิงเวยประเดี๋ยวนิ่งลึกประเดี๋ยวมองผ่านไป

บรรยากาศตึงเครียด ใต้เท้าสวีได้สติกลับมาก่อน จึงกระแอมกระไอสองครั้ง “คุณชายน้อยท่านนี้ มือปราบหลิวเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์สุจริต ต้องขอร้องคุณชายน้อยอย่าได้คุ้ยแคะบาดแผลของผู้อื่น”

เขานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว มิน่าเซ่อเจิ้งอ๋องจึงได้นำคุณชายน้อยท่าทางบอบบางเช่นนี้มาด้วย ที่แท้ไม่อาจมองข้ามเขาไปได้

หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “ข้าแซ่หลิน ต่อไปยังต้องรบกวนใต้เท้าสวีชี้แนะ” เรื่องเช่นการขุดคุ้ยบาดแผลของผู้อื่น นางชอบทำเป็นที่สุด นางหันกลับไปมองมือปราบหลิว และพูดอีกว่า “อ้อ ขออภัย ที่แท้คู่ชีวิตของท่านเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว”

คนทั้งหมดเงียบงัน “…”

หน้าอกของมือปราบหลิวกระเพื่อมขึ้นลงสองครั้งจึงสามารถระงับสติอารมณ์ที่เดือดดาลราวกับเปลวไฟที่สุมอยู่ในอกลงได้ เขาสลัดคำพูดของหลินชิงเวยก่อนหน้านี้ แล้วกลับมาสนทนาในเรื่องสำคัญโดยการพูดถึงความเห็นของตนเอง “ผู้ตายตายอยู่ในเรือน แต่ในเรือนไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากกว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่ผู้ตายรู้จัก เมื่อพวกเราลาดตระเวนมาถึงสถานที่เกิดเหตุได้พบกับสามีของผู้ตายอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นพวกเราคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากว่าสามีของผู้ตายจะเป็นฆาตกร”

หลินชิงเวยรู้ดีว่านางจำเป็นต้องแสดงอำนาจบารมีเพื่อตัดไม้ข่มนาม เพื่อทำให้ตนเองมีตัวตนขึ้นมาให้ได้ หาไม่แล้วคนของจวนว่าการต่อหน้าดูเหมือนให้ความเคารพ แต่ลับหลังกลับเห็นนางขัดหูขัดตา นางย่อมแตะต้องคดีนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์

หลินชิงเวยไม่พูดจา และไม่พูดว่าการวิเคราะห์ของมือปราบหลิวถูกต้องหรือไม่ การลาดตระเวนนั้นเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดแล้ว นางนั่งยองๆ ลงข้างกายผู้ตาย เปิดผ้าคลุมสีขาวขึ้น ศพของสตรีรนางหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า

สตรีนางนี้เป็นสตรีธรรมดาสามัญทั่วไป อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่บนร่างของนางไม่ได้ดูเนื้อหยาบเท่ากับบุรุษที่ถูกจับกุมตัวไปเมื่อสักครู่ หากมิใช่ด้วยบนใบหน้าของนางมีคราบเลือดที่แข็งตัวแล้ว น่าจะเป็นใบหน้าที่งดงามใบหน้าหนึ่ง คิ้วกิ่งหลิว ใบหน้าดอกพุดตาน ยามนี้กลับซีดขาวอย่างน่าเวทนา

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท