“เจ้ากล้าดูแคลนข้า…”
นักโทษเพิ่งจะพูดได้ครึ่งหนึ่ง หลินชิงเวยก็ลุกขึ้นสะบัดกระโปรงโดยไม่แยแสเขา นางหันกายเดินออกไป ดูแคลนเขา? นั่นเป็นการประเมินเขาสูงไปหรือไม่?
นักโทษดูเหมือนถูกกระตุ้นให้เกิดโทสะ เขาเขย่าโซ่ตรวนอย่างบ้าคลั่ง “แม่นาง เจ้ากลับมา! ข้าบอกเจ้า คนเหล่านั้นที่ตายล้วนมีความผิดสมควรตายทั้งนั้น! บางทีเจ้าอาจจะเหมือนพวกเขาเช่นกัน รูปลักษณ์ภายนอกดูแล้วสะอาดสะอ้านทว่าแท้จริงแล้วเป็นคนต่ำช้า!”
หลินชิงเวยกลับไม่โมโห หากนางโมโหก็ตกหลุมพรางเขาน่ะสิ เซียวเยี่ยนที่เดินตามหลังหลินชิงเวยพูดเสียงเย็นว่า “ฉีกปากของเขาซะ”
คนทั้งสองเดินออกมาจากห้องขัง แสงจันทร์ข้างนอกสาดส่องสว่างไสว คืนนี้เป็นจันทร์เสี้ยว หลินชิงเวยสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเฮือกใหญ่ กลิ่นเหม็นและความชื้นภายในห้องขังช่างเหลือทนจริงๆ
หลินชิงเวยหัวเราะแล้วเหลือบมองเซียวเยี่ยน “พวกเราไปดูที่ห้องชันสูตรศพ?”
ต่อมามือปราบหลิวไม่ได้ไปพร้อมกับพวกเขา คนทั้งสองจึงย้อนกลับไปยังศาลาว่าการของเมืองหลวงซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเก็บศพโดยเฉพาะ ระหว่างทางเซียวเยี่ยนถามขึ้นว่า “เจ้ามีเบาะแสอะไรหรือไม่?”
หลินชิงเวยเอามือไพล่หลัง เซียวเยี่ยนสะพายล่วมยาของนางไว้บนบ่า นางพูดขันๆ ว่า “ท่านอาให้ความสำคัญข้าเช่นนี้เชียว? เพิ่งจะไปดูสถานที่เกิดเหตุครั้งหนึ่ง และพูดคุยกับฆาตกรไม่กี่ประโยค ก็รู้แล้วหรือว่าฆาตกรคนต่อไปคือใคร?”
เซียวเยี่ยน “เปิ่นหวางเพียงแต่ถามไปอย่างนั้นเอง”
“ไปเปรียบเทียบศพของผู้ตายที่ตายก่อนและหลังดูก่อน ดูว่าฆาตกรในค่ำคืนนี้และฆาตกรที่อยู่ในห้องขังผู้นั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
คนทั้งสองจึงตรงไปยังห้องชันสูตรศพ ประจวบเหมาะกับคืนนี้ทางด้านห้องชันสูตรศพนำศพมาเก็บในห้องเก็บศพ ทางห้องเก็บศพรู้ล่วงหน้าเมื่อเห็นคนทั้งสองมาถึงจึงไม่กล้าอิดออดอันใด พวกเขานำหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนไปยังห้องเก็บศพ
ต่อให้ที่นี่ทำการลดอุณหภูมิในห้องเก็บศพอย่างดีแล้วก็ตาม แต่ด้วยสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บศพมาเป็นเวลาช้านาน ยามนี้อากาศร้อนขึ้น อากาศภายในห้องเก็บศพจึงอับชื้น ส่งผลให้มีกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาแก่ผู้คนอย่างยิ่ง ต่อให้ปูนขาวก็ไม่อาจกลบกลิ่นของมันได้
หลินชิงเวยถามตรงไปตรงมา “คนที่ถูกสังหารก่อนหน้านี้ อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่?”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ “ฆาตกรผู้นั้นมิใช่ถูกจับกุมได้แล้วหรือ เมื่อวานใต้เท้าหลิวให้คนนำความมาบอกว่าให้ผู้น้อยนำศพก่อนหน้านี้ไปจัดการฝังให้เรียบร้อยเพื่อให้ผู้ตายไปสู่สุคติโดยไว นี่มิใช่หรือไร คืนนี้กำลังจะเคลื่อนย้ายออกไปก็ได้ยินว่ามีศพใหม่กำลังจะถูกส่งมา ยามนี้ก็เหลือเพียงศพนี้เป็นศพสุดท้าย ศพก่อนหน้านี้ล้วนถูกรับกลับไปหรือไม่ก็ถูกฝังไปแล้ว ใต้เท้าทั้งสองเชิญตามผู้น้อยมาขอรับ”
หลินชิงเวยตามเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาถึงมุมด้านในของห้องเก็บศพ ที่นั่นมีศพๆ หนึ่งนอนอยู่ เมื่อนางเปิดผ้าขาวคลุมศพออกถึงกับตกตะลึง “เป็นบุรุษคนหนึ่ง?”
ไม่มีผู้ใดบอกนางว่าฆาตกรโรคจิตที่ถูกจองจำอยู่ในห้องขังนั้นชื่นชอบสตรีมากกว่า ด้วยเหตุนี้นางคิดว่าผู้เคราะห์ร้ายล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ “ผู้เคราะห์ร้ายหกคน มีสองคนเป็นบุรุษขอรับ”
หลินชิงเวยดูหน้าตาของศพที่เป็นบุรุษนี้ เป็นบุรุษหน้าตางดงามคนหนึ่ง ค่อนไปทางบุรุษที่มีหน้าตาเหมือนสตรีอยู่สองส่วน ที่สำคัญก็คือบุรุษผู้นี้มีไฝที่หว่างคิ้วเม็ดหนึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูแล้วเพิ่มความชวนมองขึ้นอีกหลายส่วน แต่น่าเสียดายที่ใบหน้านี้เหมือนใบหน้าของสตรีก่อนหน้านี้ ล้วนถูกทำลายโฉมเสียสิ้น ล้วนเป็นร่องรอยบาดแผลที่ทิ่มแทงสายตายิ่งนัก ดูท่าแล้วฆาตกรเกลียดชังใบหน้างดงามของพวกเขา
เอาเถิด หลินชิงเวยยอมรับกับตนเองว่าเวลานี้มิใช่เวลาที่จะมาชื่นชมบุรุษรูปงาม อีกทั้งศพของคนตายจะมีอะไรให้ชื่นชม แต่นางยังคงพูดว่า “บุรุษรูปงามมีไฝกลางหว่างคิ้ว ควรจะพบได้น้อยยิ่งนัก”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ “พูดแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก ในจำนวนผู้ตายทั้งหกคน ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีไฝกลางหว่างคิ้วเหมือนกันทุกคน”
หลินชิงเวยตกตะลึง ผู้ตายมีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นี่คือเบาะแสสำคัญอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าคนมีไฝกลางหว่างคิ้วส่งผลกระทบโดยตรงต่อจิตใจของนักโทษที่ถูกจองจำในห้องขังคนนั้น
หลินชิงเวยถาม “ล้วนเป็นคนที่หน้าตางดงามใช่หรือไม่?”
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ “ถูกต้องขอรับ สตรีรูปโฉมงดงามยิ่ง บุรุษล้วนเป็นบุรุษที่มีหน้าตาค่อนไปทางสตรีและงดงาม”
เช่นนั้นผู้ที่ส่งผลกระทบควรเป็นสตรี
หลินชิงเวยถามอีก “บุรุษคนนี้ เหตุใดจึงไม่มีคนมารับศพ? ได้ตรวจสอบสถานะของเขาอย่างชัดเจนหรือไม่?”
พูดแล้วก็ทำให้คนรู้สึกสลดหดหู่ยิ่งนัก เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพูดว่า “เขาเป็นผู้ดูแลหอคณิกา ก่อนหน้านี้ได้บอกความไปทางเถ้าแก่ให้มารับศพแล้ว แต่ผู้ดูแลหอคณิกาตายไปคนหนึ่งนอกจากเถ้าแก่จะปวดใจเพราะเรื่องเงินแล้วไหนเลยจะปวดใจที่เขาเสียชีวิตเล่า รับศพกลับไปก็ต้องสัมผัสกับกลิ่นอายอัปมงคล เถ้าแก่ให้ทางศาลาว่าการจัดการตามสมควรเป็นพอขอรับ”
ต่อมาหลินชิงเวยชันสูตรบาดแผลบนร่างกายของบุรุษผู้นั้นแล้วเปรียบเทียบกับศพของสตรีที่เพิ่งจะเสียชีวิตในค่ำคืนนี้ พบว่าบาดแผลบนร่างกายของศพทั้งสองนั้นถูกต้องตรงกัน ทิศทางล้วนเหมือนกัน การลงดาบและลำดับก่อนหลังการลงดาบกลับไม่เหมือนกัน ท้องของบุรุษมีบาดแผลพาดเฉียงบาดแผลหนึ่ง ขึ้นจากทางด้านซ้ายลงไปด้านขวา และปลายบาดแผลของคมมีดที่ลงมาด้านขวานั้นบาดกผลลึกและหนักกว่าบาดแผลจากด้านซ้ายที่อยู่ด้านบนมากนัก แสดงให้เห็นว่าฆาตกรตวัดดาบขึ้นจากทางซ้ายและตวัดลงมาทางขวา เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับบาดแผลบนท้องของสตรีนางนั้น ตำแหน่งบาดแผลทั้งบนซ้ายและล่างขวาล้วนลงน้ำหนักเท่ากัน ทว่าตำแหน่งตรงกลางบาดแผลกลับเป็นบาดแผลลึกที่สุด หากดูจากบาดแผลแล้วจะเห็นได้ว่าฆาตรกรตวัดดาบจากด้านขวาล่างขึ้นไปด้านบนซ้าย แสดงให้เห็นสิ่งใด? แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีความสามารถพลิกมือตวัดดาบและพลิกทิศทางในการฟาดฟันผู้อื่น และเป็นผู้มีพละกำลังมหาศาลคนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้ความตื้นลึกของบาดแผลนั้นสมดุล ฆาตกรเป็นคนที่ถนัดการใช้ดาบและเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่เหมือนบุรุษร่างกายบอบบางที่อยู่ในห้องขังผู้นั้น
หลินชิงเวยสงสัยอยู่บ้างว่าสตรีนางนี้ตายเพราะคมดาบเพียงครั้งเดียว แล้วบาดแผลอื่นๆ บนร่างกายของนางเป็นเพียงการเลียนแบบคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้ที่เขาเจตนาทำไว้
นี่เป็นการเลียนแบบของผู้ที่มีประสบการณ์สูงคนหนึ่ง
อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบสตรีนางนี้กับผู้ตายอีกหกคนก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีจุดใดที่ถูกต้องตรงกัน สตรีนางนี้เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาสามัญ หน้าตางดงามเกลี้ยงเกลาทว่ามิได้โดดเด่นอันใดมากนัก ที่สำคัญก็คือนางไม่มีไฝกลางหว่างคิ้ว
แต่หญิงชาวบ้านธรรมดาสามัญนับพันนับหมื่นในเมืองหลวง เหตุใดฆาตกรจำเพาะเจาะจงต้องเลือกนาง? เรื่องนี้ต้องมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกัน
หลังจากออกมาจากห้องชันสูตรศพ หลินชิงเวยเอาแต่เงียบขรึมไม่พูดไม่จา เซียวเยี่ยนมองนางแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของฆาตกรหรือไม่?”
หลินชิงเวย “มีความเป็นได้น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับฆาตกรคนนี้แล้ว ฆาตกรที่อยู่ในห้องขังผู้นั้นก็เหมือนเด็กที่ยังไม่โต”
เซียวเยี่ยนเอ่ยขึ้นเนิบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา “แต่ในเมื่อเขาสามารถลอกเลียนแบบวิธีการสังหารคนของฆาตกรที่อยู่ในห้องขังได้อย่างแนบเนียน แต่ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด ก็สมควรที่จะรู้เรื่องของผู้ที่ก่อคดีฆาตกรรมอย่างละเอียด”
หลินชิงเวยย้อนคิดถึงคำพูดทุกประโยคของฆาตกรที่ถูกจองจำอยู่ในห้องขัง กระทั่งก่อนที่นางจะจากมาฆาตกรผู้นั้นยังด่าทอด้วยคำพูดไม่น่าฟังเหล่านั้น ในใจของเขาเห็นสตรีเป็นศัตรูคู่แค้น เขาคิดว่าสตรีชอบตีสองหน้า ปากอย่างใจอย่าง
หลินชิงเวย “พรุ่งนี้พวกเราไปจวนว่าการขอรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับผู้ตายทั้งหมด อ่านดูให้ละเอียดสักครั้ง” นางมองเซียวเยี่ยน “เรื่องเหล่านี้เสี่ยวฉีติดตามมาหลายวันเช่นนี้ น่าจะตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้วกระมัง?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้น…” หลินชิงเวยมองเสี้ยวจันทร์ สีหน้าปรากฏให้เห็นความเหนื่อยล้า นางถามเสียงแหบแห้งว่า “คืนนี้พวกเรานอนที่ไหน? หรือยังต้องกลับวังหรือไม่?”