สวีฮูหยิน “พวกเจ้าสองคนอย่าได้ใจรร้อน ได้ยินท่านพ่อของพวกเจ้าพูดว่า ครั้งนี้เซ่อเจิ้งอ๋องจะพำนักอยู่ในเรือนของพวกเราเป็นเวลาหลายวัน ยังมีโอกาส”
เซ่อเจิ้งอ๋องพำนักอยู่ในจนวนของท่านเจ้าเมือง ใต้เท้าสวีนั้นมิกล้าให้เรื่องนี้เล็ดรอดออกไป ด้วยเกรงว่าจะตกเป็นเป้าหมาย หากเซ่อเจิ้งอ๋องมาประสบเคราะห์ภัยขณะพำนักอยู่ในจวนของเขา เช่นนั้นต่อให้ชดใช้ด้วยศีรษะของคนในจวนทั้งหมดก็ชดใช้ไม่ไหว ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างที่สุดใต้เท้าสวียังคงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด
หลังจากใต้เท้าสวีส่งเซียวเยี่ยนออกจากประตูใหญ่ของจวน เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย ยามนี้ร้านค้าสองข้างทางเริ่มเปิดประตูทำการค้าแล้ว หลินชิงเวยหันไปแบมือขาวสะอาดของตนให้เซียวเยี่ยน “ท่านอา เงินในถุงเงินที่ท่านพูดเมื่อวานเล่า?”
เซียวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เขาปลดถุงเงินข้างเอววางลงบนฝ่ามือของนาง ถุงเงินใบนี้เป็นถุงเงินเรียบง่ายใบหนึ่ง แตกต่างจากถุงเงินที่นางขโมยไปเมื่อครั้งที่แล้ว หลินชิงเวยเปิดออกดูพบว่าข้างในล้วนเป็นทองคำก้อนเล็กๆ
หลินชิงเวยอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านอา ไม่คิดว่าท่านจะมีเงินเช่นนี้”
“เตรียมพร้อมเอาไว้ยามมีความจำเป็นต้องใช้เท่านั้น”
“ยามนี้ก็คือยามมีความจำเป็นต้องใช้มิใช่หรือ?” หลินชิงเวยลากเซียวเยี่ยนไปที่ร้านตัดเสื้อก่อนเป็นอันดับแรก ซื้ออาภรณ์คนละสองชุดแล้วค่อยว่ากัน นางไม่อยากจะอาบน้ำกลางดึกกลางดื่นแล้วยังต้องซักผ้าอีก เมื่อบอกความต้องการของตนกับทางร้านตัดเสื้อแล้วรอให้พลบค่ำค่อยย้อนกลับมารับ
ต่อมาหลินชิงเวยลูบท้องของตน “ยามนี้พวกเราต้องหาสถานที่สำหรับกินอาหารเช้ากระมัง”
เวลานี้ยังเช้าอยู่มาก ดังนั้นเซียวเยี่ยนจึงพานางไปหอสุรามีชื่อละแวกนี้ ในหอสุราก็เรียกอาหารเช้ามากินได้เช่นกัน อีกทั้งอาหารเช้าแต่ละอย่างล้วนประณีตพิถีพิถัน ดังนั้นราคาอาหารจึงไม่สามัญเช่นกัน คนมีเงินเหล่านั้นล้วนมีพ่อครัวอยู่ในเรือนของตนบางครั้งก็ออกมากินอาหารที่นี่บ้างเป็นครั้งคราว
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเลือกห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ของร้านขึ้นอาหารเช้าขึ้นชื่อของทางร้าน หลินชิงเวยชอบไส้เค็มจึงกินซาลาเปาของทางร้านไปหลายลูก
เมื่อคนทั้งสองกินอิ่มดื่มหนำแล้วจึงมุ่งหน้าไปศาลาว่าการอย่างไม่รีบร้อน ใต้เท้าสวีรอรับคำสั่งอยู่ที่นั่นแล้ว เขาเตรียมรายงานของคดีฆาตกรรมทั้งหมดที่เซียวเยี่ยนต้องการ หลินชิงเวยอ่านผ่านตาอย่างรวดเร็ว นางใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็อ่านรายงานทั้งหมดอย่างละเอียด ในรายงานย่อมบันทึกรายละเอียดของผู้ตาย ผู้ตายทั้งหกคนมีสองคนเป็นคนในหอคณิกา ส่วนอีกสี่คนนั้นแม้จะเป็นชาวบ้านสามัญทั่วไปแต่ด้วยตนเองมีรูปโฉมงดงามจึงได้ลอบทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม อย่างเช่นบุรุษที่มีหน้าตาคล้ายสตรีมีพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย หลอกลวงคนไปเรื่อย ส่วนหญิงสาวนั้นเพื่อเงินทองและผลประโยชน์อย่างอื่นถึงกับขายเรือนร่างของตน
หลินชิงเวยนับว่ากระจ่างแจ้งเสียที เหตุใดฆาตกรที่ถูกจองจำอยู่ในห้องขังจึงพูดว่าคนเหล่านี้ล้วนสมควรตาย ภาพลักษณ์ภายนอกนั้นงดงาม แต่ลับหลังกลับเป็นคนต่ำช้า
ใต้เท้าสวีถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณชายหลิน ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ท่าน ท่านอ่านหมดแล้วหรือ?”
หลินชิงเวยคืนรายงานให้เขา “หรือใต้เท้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องเสียเวลามากกว่านี้หรือ?” ทางหนึ่งนางพูดเช่นนั้น อีกทางหนึ่งคิดในใจว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไมว่าบนร่างของสตรีที่เสียชีวิตเมื่อคืนนี้จะมีความลับที่บอกกับผู้อื่นไม่ได้?
ได้ยินหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนจะไปสถานที่เกิดเหตุของคดีฆาตกรรมเมื่อวานนี้เพื่อตรวจสอบสถานะของผู้ตายและเพื่อดูว่ามีเบาะแสอย่างอื่นหรือไม่ ใต้เท้าสวีเอ่ยขึ้นว่า “มือปราบหลิวได้นำคนไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หากเซ่อเจิ้งอ๋องและคุณชายหลินต้องการไปที่นั่น กระหม่อมจะไปเตรียมม้าให้ท่านทั้งสอง”
หลินชิงเวย “ไม่ต้องแล้วพวกเราเดินไป” เตรียมม้าเพื่ออะไร? อย่างไรนางก็ขี่ม้าไม่เป็น คิดจะให้เซียวเยี่ยนและนางขี่ม้าตัวเดียวกัน? ยามนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ นะ ฝันไปเถอะ
แต่ระยะทางจากศาลาว่าการไปถึงสถานที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ค่อนข้างไกล เซียวเยี่ยนคำนึงถึงว่าอีกประเดี๋ยวดวงตะวันก็จะขึ้นแล้ว อากาศจะร้อนยิ่งกว่านี้ไม่แน่ว่านางจะทนรับไหวจึงพูดขึ้นว่า “ยังคงเตรียมม้าสองตัวเถิด เลือกม้าที่เชื่อฟังสักหน่อย”
เซียวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใต้เท้าสวีมิใช่คนเบาปัญญา ย่อมตระหนักถึงความสำคัญของคุณชายหลินในใจของเซ่อเจิ้งอ๋อง จึงรีบรับคำแล้วให้คนไปเตรียมม้า
หลินชิงเวยเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวแล้วพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงครุ่นคิดแล้วถามว่า “บังอาจถามใต้เท้าสวี ในยามปกติศาลาว่าการทำการสืบคดีมีเพียงมือปราบที่ได้พบเมื่อคืนใช่หรือไม่?”
ใต้เท้าสวีรับคำ “ถูกต้อง พวกเขารับผิดชอบสืบคดีใหญ่เล็กของเมืองหลวง” ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจวนว่าการไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ เท่าที่หลินชิงเวยได้สัมผัสในยามนี้ ศาลาว่าการของเมืองหลวงเป็นหน่วยงานสืบคดีหน่วยงานหนึ่ง รับผิดชอบสืบคดีที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ของเมืองหลวง;ภายใต้การปกครองของจวนว่าการยังมีตุลาการ ฝ่ายสำมะโนครัว ฝ่ายทหาร และฝ่ายทะเบียนเป็นต้นอีกหลายหน่วยงาน ล้วนเป็นโครงสร้างที่สูงสุดที่ของต้าเซี่ย เพียงแต่ในแต่ละหน่วยงานล้วนมีหน้าที่และความรับผิดชอบสืบคดีใหญ่และมีความสำคัญของแผ่นดิน คดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ของเมืองหลวง ก่อนหน้าที่จะทำให้ชาวบ้านตื่นตระหนกหวาดกลัวจึงตกอยู่ในความควบคุมของศาลาว่าการของเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว
ส่วนมือปราบเหล่านั้นย่อมต้องเป็นมือปราบของศาลาว่าการ
หลินชิงเวย “ในมือใต้เท้ามีข้อมูลอย่างละเอียดของพวกเขาหรือไม่?” ล้อเล่นหรือไร แม้ว่าตำแหน่งของมือปราบจะไม่ได้สูงอะไรนัก แต่ดีชั่วอย่างไรก็เทียบเท่ากับข้าราชการของแผ่นดินในยุคสมัยนี้กระมัง หากก่อนที่จะลงมาทำงานไม่ได้สืบประวัติให้ชัดเจนแล้วจวนว่าการจะกล้าใช้คนเหล่านี้ทำงานได้อย่างไรกัน?
ใต้เท้าสวีตื่นตะลึงไปชั่วอึดใจหนึ่ง ในใจคิดว่าคุณชายหลินผู้นี้สืบคดีก็สืบไปเถิด ไฉนยังคิดจะมาสืบมือปราบผู้ใต้บังคับชัญชาของเขาด้วยเล่า? เขารู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย เป็นขุนนางผู้ใดบ้างไม่เห็นแก่ไมตรีที่มีต่อกันและไมตรีแต่กาลก่อน? หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองสีหน้าของใต้เท้าสวีแล้วในใจพลันแจ่มแจ้งขึ้นหลายส่วน ดูท่าแล้วในจำนวนมือปราบเหล่านี้มีหลายคนจับปลาในน้ำขุ่นมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน
เมื่ออยู่ต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องใต้เท้าสวีไหนเลยจะกล้าเลอะเลือน “มี มีแน่นอน”
“เช่นนั้นรบกวนใต้เท้าสวีไปนำมาให้ข้าอ่านสักหน่อยเถิด”
ฉวยโอกาสระหว่างที่ข้ารับใช้ไปเตรียมม้า หลินชิงเวยนั่งลงอ่านประวัติส่วนตัวของมือปราบในศาลาว่าการอย่างละเอียดรอบหนึ่ง หลินชิงเวยอ่านเสร็จแล้วยื่นให้เซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนอ่านผ่านตาโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ รอบหนึ่งเช่นกัน เมื่อหลินชิงเวยทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดของมือปราบแต่ละคนในศาลาว่าการไปพอสมควรด้านนอกก็เตรียมม้าเรียบร้อยเช่นกัน
หน้าประตูมีม้าสองตัวยืนอยู่ชัดเจนยิ่งนักว่าได้ผ่านคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ตัวหนึ่งเป็นม้ารูปร่างสูงใหญ่มีพยศเล็กน้อย อีกตัวหนึ่งเป็นม้าตัวเล็กและดูนิสัยอ่อนโยน
หลินชิงเวยหนังตากระตุก “ข้าขี่ม้าไม่เป็น ท่านเจตนากลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนหันไปมองดวงตะวันทางทิศบูรพา “หรือเจ้ายินดีที่จะเดินเท้าท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ?”
หลินชิงเวยคิดดูแล้วก็เห็นด้วย หากต้องเดินเท้าใต้แสงแดดแผดกล้าเช่นนี้ เกรงว่ายังไปไม่ถึงนางก็จะร้อนกระทั่งหมดสติไปเสียก่อน เมื่อคิดได้เช่นนี้นางรู้สึกว่าร่างของตนเบาหวิวในทันใด หลินชิงเวยได้สติกลับมาทันทีเมื่อจับจ้องสายแล้วพบว่าตนเองขึ้นมาขี่อยู่บนหลังม้าตัวเล็กตัวนั้นจึงรีบจับสายบังเหียนตัวเกร็งทันที
เซียวเยี่ยนคว้าตัวนางขึ้นไปวางบนหลังม้า หลินชิงเวยถลึงตาใส่เขาเห็นเขาเดินขี่ม้าอีกตัวหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจ ในใจนางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นประดุจนั่งอยู่บนพรมเข็ม อีกประเดี๋ยวหากม้าเกิดวิ่งโผนทะยานด้วยความคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วสลัดนางลงจากหลังของมัน เช่นนั้นหากนางไม่ตายก็ต้องพิการแน่แล้ว
หลินชิงเวย “ข้าเคยบอกกับท่านแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าขี่ม้าไม่เป็น?”