หลินชิงเวยหิวแล้ว นางและเซียวเยี่ยนจึงกินอาหารมื้อเย็นกันที่หอสุราข้างนอก ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อกลับไปถึงจวนสกุลสวี คนในจวนสกุลสวีต่างรอเซ่อเจิ้งอ๋องกลับมากินอาหารเย็น
เซียวเยี่ยนพูดกับใต้เท้าสวีว่า “ใต้เท้าสวีอย่าได้ต้องเกรงใจ เปิ่นหวางมาขออาศัยอยู่ในจวนของใต้เท้าสวีก็ถือเป็นการรบกวนแล้ว ใต้เท้าสวีทำตัวตามสบายไม่ต้องคำนึงถึงเปิ่นหวางในทุกๆ เรื่อง”
ใต้เท้าสวีรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ” ในใจกลับคิดอย่างขมขื่น: เซ่อเจิ้งอ๋องพักอยู่ในเรือน เขาจะไม่คำนึงถึงเซ่อเจิ้งอ๋องในทุกๆ เรื่องได้อย่างไรกัน หากมีเรื่องใดขาดตกบกพร่อง เช่นนั้นหมวกขุนนางบนศีรษะเขาจะสวมได้ถึงเมื่อใดเล่า
วันนี้กลับมาถึงจวนเร็ว หลินชิงเวยกลับไปในเรือน ดูท่าแล้วสวีฮูหยินเรียนรู้ที่จะฉลาดเฉลียวขึ้นแล้ว นางจัดห้องของหลินชิงเวยใหม่ อย่างน้อยถังอาบน้ำเป็นถังอาบน้ำใบใหม่ น้ำอาบเป็นน้ำอุ่น
เซียวเยี่ยนหารือกับใต้เท้าสวีเกี่ยวกับงานที่ต้องทำต่อไปจึงยังไม่กลับมา หลินชิงเวยมีความเคยชินอย่างหนึ่งก็คือหลังจากอาบน้ำแล้วนางมักจะขี้เกียจใส่รองเท้า นางกำลังนั่งแกว่งเท้าขาวผ่องราวกับหิมะอยู่บนทางเดิน เส้นผมครึ่งแห้งครึ่งเปียกแผ่สยายลงมาบนไหล่ ดวงตาที่หรี่ลงเต็มไปด้วยความเกียจคร้าน
ทว่าผู้ที่กลับมามิใช่เซียวเยี่ยน แต่เป็นคุณหนูทั้งสองของจวนสกุลสวี สวีอวี้ย่วนและสวีอวี้ม่าน
คุณหนูทั้งสองเดิมทีฉวยโอกาสที่เซ่อเจิ้งอ๋องไม่อยู่ในเรือนมาหาหลินชิงเวยผู้เป็นผู้ติดตามเป็นการเฉพาะ ยามนี้เห็นหลินชิงเวยในลักษณาการเช่นนี้ ทั้งที่เป็นคุณชายน้อยคนหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าดูแล้วอ่อนเยาว์ราวกับจะคั้นน้ำได้ยิ่งกว่าพวกนางเสียอีก พวกนางมีความคิดจะไหว้วานหลินชิงเวยให้พูดจาส่งเสริมพวกตนต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาระหว่างสตรีด้วยกัน
หลินชิงเวยวิ่งวุ่นทำงานตลอดทั้งกลางวันไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงมารับมือกับสตรีสองนางนี้ จึงลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเตรียมจะเข้าไปพักผ่อนในเรือนโดยไม่แยแส
ไหนเลยจะคิดว่าอวี้ม่านผู้นั้นจะไม่ยอมปล่อยนางไป นางส่งเสียงมาก่อนที่หลินชิงเวยจะยกมือขึ้นผลักประตู “คุณชายหลินเห็นพวกเรามาแล้วกลับคิดจะเข้าไปซ่อนตัวในห้อง คงมิใช่ไม่อยากต้อนรับกระมัง?”
หลินชิงเวยถอนใจ หันกลับมามองคุณหนูรูปร่างบอบบางทั้งสอง “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่อยู่ที่นี่ คุณหนูทั้งสองมาผิดที่หรือไม่”
อวี้ย่วนและอวี้ม่านกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง ดูเหมือนถูกหลินชิงเวยอ่านความในใจอย่างทะลุปรุโปร่ง อวี้ย่วนพูดขึ้นว่า “ข้าและน้องสาวมิได้มาหาเซ่อเจิ้งอ๋อง เพียงแต่คิดจะมาสนทนากับคุณชายหลิน”
“มาสนทนากับข้า?” หลินชิงเวยกลอกตารอบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะขึ้นมา “เซ่อเจิ้งอ๋องบุคลิกสง่างาม คุณหนูทั้งสองไม่ไปชื่นชมกลับมาสนทนากับข้า คงมิใช่ต้องตาต้องใจข้ากระมัง”
สองศรีพี่น้องคิดว่าผู้ติดตามผู้นี้ไม่เพียงแต่ผิวพรรณละเอียดลอออ่อนเยาว์ ครึ่งหญิงครึ่งชาย พูดจายังท้าทายอย่างใจกล้า ช่างเป็นคนไม่รู้ดีชั่วนัก สีหน้าของสองพี่น้องจึงไม่ค่อยน่าดูในชั่วพริบตา
อวี้ย่วนผู้เป็นพี่สาวเป็นคนหนักแน่นสักหน่อย อวี้ม่านนั้นมีนิสัยค่อนข้างมุทะลุ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ต้องตาเจ้า? เจ้าก็แค่ผู้ติดตามข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋องคนหนึ่ง อาศัยอะไรคิดว่าพวกเราจะต้องตาต้องใจเจ้า” พูดมาถึงตรงนี้จึงอดไม่ได้ที่จะระบายความคับแค้นใจจากเรื่องในเช้าวันนี้ “พูดให้กระจ่างก็คือเจ้ายังคงเป็นเพียงข้ารับใช้คนหนึ่ง เพียงแต่อาศัยบารมีของเซ่อเจิ้งอ๋องเท่านั้น ยังกล้ามาวางท่าในเรือนของพวกเรา ทำให้มารดาของข้าต้องไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเรามาหาเจ้าแล้วอย่างไรเล่า มาหาเจ้าก็นับเป็นเกียรติของเจ้า เจ้ายังไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้อีก!”
หลินชิงเวยพูดอย่างเห็นขันว่า “ในเมื่อข้าเป็นเพียงผู้ติดตามคนหนึ่ง คุณหนูทั้งสองยังมาหาข้าเพื่ออันใดเล่า มาหาข้าแล้วเป็นเกียรติของข้า? อย่ามาทำตลกหน่อยเลย ข้ากลับไม่รู้สึกว่าการที่คุณหนูทั้งสองต้องตาต้องใจข้าจะเป็นเกียรติอันใด”
“เจ้า!”
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “คุณหนูทั้งสองมาที่นี่ลับหลังเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่มาหาข้าโดยเฉพาะ คิดจะให้ข้าพูดจาอะไรต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องกระมัง? กระทั่งจุดประสงค์ในการมาของตนเองก็ยังไม่แจ่มแจ้งยังจะเต้นผางๆ มิใช่ล้มเหลวหรอกหรือ ข้าเป็นคนไม่รู้ดีชั่วคนหนึ่งไหนเลยจะสามารถพูดจาแทนคุณหนูทั้งสองได้เล่า ประเดี๋ยวข้าจะพูดแต่เรื่องที่ไม่น่าฟัง” อวี้ม่านก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งชี้นิ้วด้วยความโกรธเคือง ยามนี้ถูกหลินชิงเวยพูดจาเช่นนี้จึงเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มใจได้แต่อดกลั้นเอาไว้
อวี้ย่วนหันมาพูดยิ้มๆ กับหลินชิงเวย “น้องสาวอายุยังน้อยไม่รู้ความ ไม่รู้มารยาท คุณชายหลินอย่าได้ถือสา”
หลินชิงเวยยิ้มตาหยีตอบกลับไปว่า “ยังคงเป็นคุณหนูอวี้ย่วนที่รู้ธรรมเนียมมารยาท มีความรู้มากกว่า เพียงแต่เกรงว่าคุณหนูอวี้ย่วนมาจะเสียเที่ยวเช่นกัน”
อวี้ย่วนงงงัน “พวกเราเพียงแต่คิดจะมาสอบถามคุณชายหลิน…”
หลินชิงเวยพูดต่อ “สอบถามอันใด? สอบถามว่าเซ่อเจิ้งอ๋องชอบอะไร ในเรือนมีอนุหรือไม่ หรือสอบถามว่าเรื่องทางด้านนั้นของเซ่อเจิ้งอ๋องเก่งกาจหรือไม่ เซ่อเจิ้งอ๋องถึงวัยที่จะแต่งชายานานแล้วทว่ากลับไม่ได้แต่งพระชายา ไฉนจึงไม่มีใครสงสัยว่าเขามีปัญหาเรื่องนั้นนะ?” คุณหนูทั้งสองคาดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยจะเอ่ยวาจาโจ่งแจ้งเช่นนี้ จึงหน้าแดงด้วยความอับอายทันที หลินชิงเวยพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกว่า “แต่มีความเป็นไปได้เช่นกันว่ารสนิยมของเซ่อเจิ้งอ๋องอาจจะแตกต่างจากบุรุษทั่วไป พวกเจ้าเห็นเขาเคยเข้าใกล้สตรีคนใดบ้าง แต่กลับใจกว้างและเอ็นดูข้าอย่างยิ่ง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะชอบเด็กผู้ชายหน้าตางดงามเช่นข้า”
“…” อวี้ย่วนฟังมาถึงตรงนี้อดไม่ได้ที่จะมีโทสะ “เหลวไหล คุณชายหลินระมัดระวังวาจาด้วย อย่าได้ทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องต้องเสื่อมเสียเกียรติ!”
หลินชิงเวยพยักพเยิดปลายคางไปทางพวกนาง “ข้าว่าพวกเจ้าพบหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องกี่ครั้งกันเชียว? เข้าใจเขามากน้อยเพียงใดกัน ยามนี้กลับพูดจาแทนเขา ก็แค่เห็นว่าเขาหน้าตาหล่อเหลามิใช่หรือ พวกเจ้าพูดมาซิว่าเขานอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้วยังมีอะไรดีอีก” คุณหนูทั้งสองตอบไม่ได้ นางจึงมองคุณหนูทั้งสองด้วยสายประเมินขึ้นๆ ลงๆ “ยังมีอีก รสนิยมที่เขาชมชอบไม่ใช่ลักษณะเช่นพวกเจ้า อกใหญ่เอวคอด เป็นสตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เขาชอบหน้าอกแบนสักหน่อย รูปร่างเล็กแบบบางสักหน่อย ยังมีอีก เขาไม่ชอบหน้าผากกว้างๆ เช่นพวกเจ้า เขาชอบหน้าผากเล็กมีผมหน้าม้าเล็กน้อย ประเภทพบหน้าผู้คนได้และรับมือกับพวกอันธพาลได้ รักษาอาการท้องผูกได้ ทั้งยังเป็นสตรีเก่งกาจ ช่างเรียกร้องต้องการมาก”
สองพี่น้องได้ยินเช่นนั้นจึงก้มหน้าลงมองดูตนเอง หน้าจึงแดงก่ำจนแทบจะคั้นน้ำมะเขือเทศออกมาได้ “แต่บุรุษมิใช่ล้วนชอบ…ชอบ…”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นบุรุษสามัญทั่วไปหรือไร? ลองมองพวกเจ้าเอง ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ใช่รสนิยมที่เขาชื่นชอบ หากต้องการลงสนามแข่งขัน ต้องไปทำศัลยกรรมก่อน”
สองพี่น้องไหนเลยจะคาดคิดว่ารูปร่างที่เป็นความภาคภูมิใจในยามปกติของพวกนางจะไม่ใช่รสนิยมที่เซ่อเจิ้งอ๋องชื่นชอบ!
อวี้ย่วนพูดทั้งโกรธทั้งอาย “ข้าดูแล้วคุณชายหลินเพียงแต่พูดจาเหลวไหลเท่านั้นกระมัง!”
หลินชิงเวยเอียงหน้าไปทางนางแล้วยักคิ้ว รอยยิ้มบนใบหน้านั้นแฝงความชั่วร้ายเอาไว้ “ในเมื่อคิดว่าข้าพูดจาเหลวไหล แล้วเจ้าจะมาหาข้าเพื่ออะไร มีปัญญาก็ไปถามด้วยตนเองสิ”
สองพี่น้องหันหน้าเดินออกไปด้วยความขุ่นเคือง เมื่อคิดถึงคำพูดของหลินชิงเวยก็รู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นช่างโจ่งแจ้งและลบหลู่ดูหมิ่นเหลือทน แม่นางน้อยที่ได้รับเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมไม่ว่าเรื่องใดก็บีบน้ำตา ดังนั้นพวกนางมาอย่างยินดีแต่ร่ำไห้กลับไป จึงไม่อาจไม่ไปร้องไห้ระบายความทุกข์ใจกับสวีฮูหยิน