หลินชิงเวยเปิดออกดู มีน้ำชาหนึ่งกาและของว่างสองอย่างจริงๆ เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำบ๊วยเย็นของเซียวเยี่ยนแล้วคงห่างชั้นกันไกล
หลินชิงเวยกล่าวยิ้มๆ “ข้าชอบน้ำบ๊วยเย็นมากกว่า”
สีหน้าของอวี้ย่วนเปลี่ยนไป ในใจนั้นคิดว่าสิ่งของที่ตระเตรียมให้เซ่อเจิ้งอ๋อง เขาจะกินได้อย่างไรกัน “คุณชายหลินลองดื่มน้ำชาและกินของว่างดูว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
ดูท่าแล้วหากพวกนางไม่เห็นกับตาว่าหลินชิงเวยกินลงไปคงไม่ยอมรามือเป็นแน่
หลินชิงเวยหยิบของว่างรสชาเขียวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง รสชาติอร่อย แล้วยังมีกลิ่นหอมบางๆ ไม่รู้ว่าอากาศร้อนเช่นนี้ กินสิ่งนี้เข้าไปจะร้อนในหรือไม่
หลินชิงเวยหรี่ตาพูดว่า “สิ่งของเหล่านี้คุณหนูทั้งสองทำเองหรือ?”
อวี้ม่าน “เพื่อเป็นการขอขมาคุณชายหลิน ย่อมต้องเป็นข้าและพี่สาวลงครัวทำด้วยตนเอง”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก พูดยิ้มๆ ว่า “ดูท่าแล้วคุณหนูมีใจเตรียมให้ผู้อื่น เกรงว่าตนเองจะยังไม่ได้ลิ้มลองว่ารสชาติเป็นอย่างไรกระมัง ไม่สู้คุณหนูลองชิมดูเองสักชิ้นเป็นอย่างไร” พูดแล้วหลินชิงเวยก็ยื่นของว่างชิ้นหนึ่งให้อวี้ม่าน
อวี้ม่านเบิกตากลมโตพูดอะไรไม่ออก
อวี้ย่วนจึงได้แต่เป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ “นี่เป็นของว่างที่ตระเตรียมให้คุณชายหลิน อวี้ม่านไหนเลยจะเสียมารยาทกินเองได้เล่า คุณชายหลินกินเองเถิดเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชิงเวยกดลึกยิ่งขึ้น มืออีกข้างหนึ่งของนางยื่นของว่างอีกชิ้นหนึ่งให้อวี้ย่วน “คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าก็กินชิ้นหนึ่งเถิด ข้ากินคนเดียวไม่อร่อย ข้าชมชอบให้ทุกคนได้แบ่งปันความสุขร่วมกัน”
อวี้ย่วนตกตะลึงเช่นกัน นางย้อนถามหลินชิงเวย “คุณชายหลินมีท่าทีปฏิเสธเช่นนี้ หรือคิดว่าพวกเราได้ทำอะไรกับของว่าง”
หากเป็นแขก ต่อให้สิ่งของของเจ้าของเรือนไม่ดีอย่างไรย่อมไม่อาจนำขึ้นมาพูดต่อหน้าได้
เพียงแต่หลินชิงเวยไม่เหมือนคนอื่น นางยิ้มตาหยี “ใช่แล้ว ข้าสงสัยไม่ได้หรือ ข้าไม่คิดว่าคุณหนูทั้งสองจะใจดีส่งของว่างมาให้ข้า คุณหนูทั้งสองกลับปฏิเสธไม่ยอมกินร่วมกับข้า หรือของว่างได้ใส่อย่างอื่นเข้าไปด้วย?”
อวี้ม่านพูดด้วยโทสะ “คุณชายหลิน ท่านอย่าทำเป็นไม่รู้จักคนดี!”
หลินชิงเวยพูดอย่างใจกว้าง “เป็นคนดีหรือไม่ แค่เพียงลองดูก็รู้มิใช่หรือ คุณหนูอวี้ม่านกินของว่างนี้ ข้าก็จะขอขมาต่อเจ้า อย่างไรเล่า?”
อวี้ม่านร้อนใจจนกระทืบเท้า ทว่าอย่างไรก็ไม่ยอมกิน
ในที่สุดอวี้ย่วนก็มีสีหน้าไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่านัก นางเข้ามาเก็บกล่องอาหาร “ในเมื่อคุณชายไม่รับน้ำใจเช่นนี้ ให้ถือเสียว่าพวกเราไม่ได้ส่งน้ำชาและของว่างมาก็แล้วกัน”
พูดแล้วคุณหนูทั้งสองก็หอบสิ่งของและสาวใช้เดินจากไป มือทั้งคู่ของหลินชิงเวยค้ำกับระเบียงไม้ ร่างของนางเอนไปด้านหลังเล็กน้อย “นี่ก็นับเป็นน้ำชาอาหารว่างด้วย นำไปเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าก็ยังรู้สึกว่าหยาบเหลือเกิน”
ฝีเท้าของอวี้ย่วนหยุดชะงัก อวี้ม่านเตรียมจะกลับมาหาเรื่องหลินชิงเวย แต่ถูกอวี้ย่วนรั้งเอาไว้ คนทั้งสองเดินออกไปจากเรือนหลังเล็กโดยไม่หันกลับมา
หลินชิงเวยเห็นคนจากไปแล้วจึงเคาะลงบนพื้นไม้กระดาน “ท่านอา ยังไม่รีบนำน้ำบ๊วยเย็นของท่านออกมาอีก ท่านคนเดียวดื่มกาใหญ่ขนาดนั้น ไม่กลัวเสียวฟันหรือไร”
ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวเยี่ยนเดินออกมาด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ แสงแดดข้างนอกช่างทิ่มแทงสายตายิ่งนัก แต่ล้วนไม่สู้รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์บนใบหน้าหลินชิงเวย เซียวเยี่ยนนำกล่องอาหารวางลงข้างกายนาง แล้วยังไปย้ายโต๊ะเหลี่ยมตัวเล็กในห้องออกมานั่งร่วมกันตามคำพูดของนาง
เขาเห็นเท้าเปล่าของหลินชิงเวย จึงขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน “ไยไม่สวมรองเท้าอีกแล้วเล่า”
หลินชิงเวยทางหนึ่งรินน้ำบ๊วยเย็นลงในถ้วยกระเบื้องสีเขียวหยกสองใบ อีกทางหนึ่งขยับนิ้วหัวแม่โป้งกลมมนสีชมพูอ่อนของตน “อย่างนี้เย็นสบายดีนี่นา ไม่เชื่อท่านก็ลองถอดดูสิ” ไม่รอให้เซียวเยี่ยนตอบนางพูดอีกว่า “อ๊ะ ท่านอย่าเพิ่งทดลองดีกว่า ข้าเกรงว่าจะไม่อาจลิ้มรสน้ำบ๊วยเย็นได้อย่างสุนทรีย์”
เซียวเยี่ยน “…”
หลินชิงเวยดื่มน้ำบ๊วยเย็นถ้วยหนึ่งหมดในรวดเดียว แล้วถอนหายใจยืดยาวซ้ำยังกินของว่างเนื้อนุ่มอีกคำหนึ่ง “สิ่งของที่เตรียมไว้ให้เสด็จอาไม่เหมือนกันจริงๆ”
เซียวเยี่ยนเห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วมองน้ำบ๊วยสีน้ำตาลเข้มในถ้วยกระเบื้องแวบหนึ่ง เดิมทีเขาไม่ชอบกินสิ่งของเหล่านี้ ทว่าเขายังคงยื่นนิ้วมือยาวเรียวออกมาหยิบแล้วดื่มลงไปสองอึก
เขาถามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไฉนเจ้าจึงรู้ว่าพวกนางใส่ของอย่างอื่นลงไปในของว่างที่เตรียมไว้ให้เจ้าเล่า”
คิดดูแล้วบทสนทนาด้านนอกเมื่อสักครู่ เขาที่อยู่ข้างในคงได้ยินชัดเจน
หลินชิงเวย “สตรีกับสตรีห้อมล้อมบุรุษคนเดียวกัน จะให้ดีต่อกันได้หรือไร นอกเสียจากว่าวันนั้นเป็นวันสิ้นโลก” นางมองเซียวเยี่ยน ผู้มีสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งแล้วเบะปากพูดว่า “ดูท่าแล้วท่านที่เป็นตัวละครชายตัวเอกผู้เป็นต้นเรื่องมีสีหน้าราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน นอนมาตลอดทั้งบ่ายลุกขึ้นมีความสุขมากกระมัง ยามปกติเสด็จอาราชกิจล้นมือ ไหนเลยจะมีเวลาให้งีบยามบ่ายใช่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยน “นี่กลับเป็นความจริง”
หลินชิงเวยพูดด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ท่านควรจะขอบคุณข้า อยู่นอกวังยังมีเวลาว่างจากการทำงานได้บ้าง”
เซียวเยี่ยนเลิกคิ้วด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นกัน “มิใช่เจ้าควรขอบคุณเปิ่นหวางหรอกหรือ หากมิใช่เปิ่นหวาง ยามนี้เจ้ายังอยู่ในวังหลวงไหนเลยจะมีโอกาสออกมานอกวัง”
หลินชิงเวย “นี่ ดีชั่วอย่างไร ข้าก็มาช่วยท่านสืบคดีนะ”
เมื่อเข้าสู่ยามราตรี ความร้อนระอุค่อยบรรเทาลง แมลงบนต้นไม้นับได้ว่าสงบลงเสียที แต่พื้นดินที่ถูกแสงแดดแผดเผาในยามกลางวันยังคงแผ่กระจายความร้อนออกมาอีกเนิ่นนาน กระทั่งล่วงเข้ายามดึก น้ำค้างเริ่มตกลงมาจึงค่อยๆ หนาวเย็นลง
พระจันทร์ในคืนนี้แหว่งเว้าไปส่วนหนึ่ง แสงจันทร์จึงดูแล้วมืดสลัวลงเล็กน้อยกว่าที่ผ่านมา
ในตรอกอันสงบเงียบ มีเพียงเสียงต้นไม้ใบหญ้าบนกำแพงที่ส่งเสียงเป็นพักๆ เมื่อกลางวันยายหวังเหนื่อยล้าเกินไป เมื่อถึงยามกลางคืนนับว่าได้สงบลงบ้าง คนทั้งครอบครัวจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ
แสงจันทร์สีเงินสาดส่องเรือนหลังเล็กชำรุดทรุดโทรมจนดูขาวโพลนหลายส่วน
ทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งพลิกตัวผ่านกำแพง เหยียบย่ำลงบนพื้นอันเย็นเยียบเข้าไปในห้องของยายหวัง หน้าต่างถูกเปิดออก ทั้งที่เป็นยามราตรีของคิมหันตฤดูกลับทำให้ยายหวังเหน็บหนาวเสียจนตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ทันทีที่นางลืมตาขึ้นก็มองเห็นว่าข้างหน้าต่างใต้แสงจันทร์นั้นมีเงาร่างสีดำร่างหนึ่ง
หัวใจของนางพลันสะดุดและส่งเสียงร้องเรียกดังลั่น
เงาร่างสีดำสายนั้นมาหยุดอยู่เบื้องหน้า ในมือมีดาบสะท้อนแสงจันทร์เล่มหนึ่ง ยายหวังตกใจเสียจนปัสสาวะราด นางพลิกกายลงจากเตียงกลิ้งลงไปบนพื้น และพยายามมุดเข้าไปใต้เตียงสุดชีวิต เงาร่างสีดำนั้นยกดาบขึ้นฟาดฟันเตียงเก่าคร่ำคร่าของนางจนขาดเป็นสองท่อน เขาเดินเข้าไปหายายหวัง ยายหวังมือเท้าอ่อนปวกเปียกร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุดปาก เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง เห็นเงาร่างสีดำมาหยุดอยู่เบื้องหน้า ร่างของนางก็อ่อนยวบหมดสติไปทันที
ทว่าในเวลานี้เอง พลันมีเงาร่างสีดำสองร่างพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างตรงเข้ามาโจมตีเงาร่างสีดำนั้น เงาร่างสีดำตกตะลึงจึงยกดาบขึ้นต้านรับด้วยสัญชาตญาณ วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจ อีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองคนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา พวกเขาประมือกันเพียงสามกระบวนท่าก็ถูกเขาซัดจนล้มลงบนพื้น เขารู้ว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงแล้ว จึงไม่ลงมือกับยายหวังอีก แต่เลือกที่จะหนีออกไปทางด้านนอกทันที