หวงยาเล่า ไฉนจึงไม่เห็นเงาร่างของหวงยา?
หลินชิงเวยไม่คาดหวังว่ายายหวังจะให้เนื้อไก่หวงยากิน แต่หวงยาต้องออกมากินข้าวสิ
คำพูดที่หลินชิงเวยถามเซียวเยี่ยนถูกยายหวังที่นั่งอยู่ในเรือนได้ยินแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยสายตาตกตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว หาได้มีท่าทีโหดเหี้ยมดุร้ายเช่นกาลก่อนอีกแล้ว
แต่หวังเสี่ยวเป่าผู้เป็นหลานชายนั้น ทางหนึ่งถลึงตาใส่คนทั้งสอง อีกทางหนึ่งยัดเนื้อไก่เข้าไปในปากไม่หยุด ราวกับกำลังต้องการพูดว่า ข้าจะกินของเหล่านี้ให้หมด ดูสิว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้!
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหวังเสี่ยวเป่ากินไก่ทั้งตัว ต่อให้หวังเสี่ยวเป่ากินเนื้อของท่านย่าของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหลินชิงเวยแม้สักกระผีก เกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่า ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ต่อไปหากหวังเสี่ยวเป่าทำเพื่อตนเองโดยการนำตัวยายหวังไปขาย นั่นก็เป็นเรื่องที่ยายหวังสมควรจะได้รับ
เมื่อเห็นว่ายายหวังเห็นพวกเขาแล้ว หลินชิงเวยจึงถามขึ้นประโยคหนึ่ง “หวงยาเล่า?” นางคิดในใจ หากนางซื้อตัวหวงยากลับไปในเวลานี้ ไปอยู่เป็นเพื่อนกับซินหรูก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่นา หวงยาอยู่ที่นี่ต่อไปอย่างไรก็ไม่มีความสุข
ยายหวังพูดด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “หวงยาไม่อยู่ที่นี่แล้ว พวกท่านยังมาทำอันใดอีก?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม “อ้อ? เจ้านำนางไปขายที่ใดแล้ว”
ยายหวังตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “เป็นนางเองที่ต้องการไป เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
“นางไปที่ใด?” หลินชิงเวยพูด
ยายหวัง “หอวสันตฤดู!” นางเกรงว่าหลินชิงเวยจะอาละวาดเหมือนครั้งที่แล้วอีกจึงรีบกล่าวเสริมว่า “แต่มิใช่ข้าขายนางออกไปให้หอวสันตฤดูนะ เป็นตัวนางเองขายตัวเองออกไป!”
หลินชิงเวยพูดเสียงเบาอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “เช่นนั้นขายได้เงินมาเท่าใด”
ยายหวังเงียบกริบ
“เจ้ามิใช่พูดว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าหรือ เงินที่นางขายตัวนั้นมอบให้พวกท่านย่าหลานกินปลากินเนื้อทุกวัน เจ้าก็ไม่กลัวว่าจะติดคอตายบ้างหรือไร” นางหรี่ตามองยายหวัง สายตาชนิดนั้นทั้งๆ ที่นางอายุน้อยกว่ายายหวังไม่รู้เท่าใด ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกสะดุดในใจ
ยายหวังฝืนใจสงบสติอารมณ์ของตน “เป็นนางต้องการไปเอง ข้าไม่ได้บีบคั้นนาง! มีหลานสาวอยู่ในหอโคมเขียวคนหนึ่ง ไหนเลยจะไม่รู้สึกอับอายขายหน้า นางมอบเงินที่นางขายตัวได้ให้ข้าแล้วอย่างไรเล่า ดีชั่วอย่างไรข้าก็เลี้ยงนางมาเป็นเวลาหลายปี ย่อมต้องใช้เงินเช่นกัน! นางไม่ใช่คนสกุลหวังของครอบครัวเราอีกต่อไปแล้ว แต่นี้ต่อไปข้าไม่มีหลานสาวที่สร้างความอับอายขายหน้าคนนั้นอีก!”
“รู้สึกขายหน้า?” หลินชิงเวยหัวเราะดึงพรืด “เจ้ายังมีหน้าอยู่อีกหรือ? เกือบจะเอาบ้านเรือนของตนมาเป็นสถานที่ค้าประเวณีอยู่แล้ว ยังรู้สึกว่าหลานสาวเข้าไปในหอโคมเขียวแล้วอับอายอีก”
ยายหวัง “นั่นเป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเรา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนนอกเช่นเจ้า” พูดแล้วก็เตรียมจะปิดประตูเรือน
หลินชิงเวยมองหวังเสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กินไก่เกือบหมดชามด้วยสายตาเมินเฉย นางหัวเราะแล้วพยักหน้า “ก็ใช่ ที่จริงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ต่อไปเจ้าก็ดูหลานชายของเจ้าว่าจะมีชีวิตอย่างไรเถิด ความผูกพันของคนในครอบครัวที่ต้องใช้เงินซื้อมา ไม่เอาก็ไม่เห็นเป็นไร หวงยาออกไปจากครอบครัวโหดร้ายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
แต่หวงยาเด็กโง่คนนั้น ออกจากครอบครัวที่โหดร้าย ทว่ากลับเข้าไปในถ้ำเสือนี่นา
หากครั้งนี้นางตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง หลินชิงเวยจะทำอะไรได้เล่า?
ยายหวังปิดประตูอย่างไม่เกรงใจดัง ‘พ่าง’ หลินชิงเวยยังได้ยินเสียงของนางที่พูดกับหวังเสี่ยวเป่าข้างในว่า “ไอหยา เสี่ยวเป่า เจ้ากินเนื้อไก่หมดแล้ว ย่ากินอะไรเล่า?”
หลินชิงเวยหันกลับมา “ช่างเถิด พวกเราไปกันเถิด คนชั่วย่อมต้องเป็นทุกข์เพราะคนชั่วด้วยกัน”
หลินชิงเวยไม่พูดจาเป็นเวลานาน เซียวเยี่ยนรู้ว่านางอารมณ์ไม่ดี จึงพูดขึ้นมาว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ประเดี๋ยวหาที่กินข้าวแล้วเจ้ายังเดินเที่ยวตลาดนัดกลางคืนได้อีก”
หลินชิงเวย “ไม่สู้พวกเราไปเดินๆ ดูที่หอวสันตฤดูเป็นอย่างไร”
เซียวเยี่ยนปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้”
“เหตุใดผู้อื่นไปได้ พวกเราไปไม่ได้?”
เซียวเยี่ยนเหลือบตามองนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นสถานที่อะไร?”
“เมื่อสักครู่ยายหวังมิใช่พูดแล้วหรือ เป็นหอคณิกา”
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วยังจะไปอีก?” สีหน้าของเซียวเยี่ยนไม่หวั่นไหวสักนิด “ไม่อนุญาตให้ไป”
หลินชิงเวยเห็นท่าทีของเขาแข็งกร้าวเช่นนั้นจึงไม่เซ้าซี้อีกต่อไป เพียงพูดว่า “หวงยาขายตัวเข้าไปในหอคณิกา แม้พวกเราจะไม่อาจไปสนับสนุนนางได้ แต่เดินผ่านหน้าประตูดูจากข้างนอกได้หรือไม่? คำขอแค่นี้ไม่นับว่าเกินไป หากท่านยังปฏิเสธอีกพวกเราก็ไม่มีทางกลับวังอย่างมีความสุข”
เซียวเยี่ยนได้แต่ยอมรับอย่างเงียบๆ
ดังนั้นเมื่อฟ้าใกล้จะมืดคนทั้งสองจึงเข้าไปกินอาหารในหอสุราจนอิ่มแปล้ มองออกไปจากหน้าต่างชั้นสองของหอสุราเห็นโคมไฟนับพันดวงที่ส่องสว่าง ถนนยาวนับสิบลี้ส่งผลให้บรรยากาศในยามค่ำคืนดูงดงามกว่าในวังสองส่วน
ทั้งสองเดินเล่นอยู่บนถนน เพียงครู่เดียวก็เดินมาถึงถนนสายโลกีย์
ถนนแห่งกามารมณ์สายนี้เปิดประตูทำการค้ากันอย่างเปิดเผย ชีวิตในยามค่ำคืนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไม่ต้องกล่าวถึงว่าครื้นเครงเพียงใด สายลมพัดมาเพียงวูบหนึ่งก็นำมาซึ่งกลิ่นชาดและเครื่องหอม
หอคณิกาเหล่านี้แบ่งเป็นสามชั้น บนทางเดินของทุกชั้นจุดโคมไฟสีแดงเอาไว้ ภายใต้แสงไฟจากโคมไฟล้วนเป็นบรรดาหญิงสาวที่ขายเสียงหัวเราะทั้งสิ้น พวกนางแต่งกายงดงามเย้ายวน ดวงตานั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเชิญชวน ร่างกายอ้อนแอ้นอรชรโอนเอนไปมาราวกับต้นไม้ไร้กระดูก โบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมในมือไปมา ช่างเป็นภาพที่ชวนให้ละลานตา
เซียวเยี่ยนจูงม้าตัวหนึ่งเดินผ่านถนนสายนี้พร้อมกับหลินชิงเวย เมื่อเขาเดินผ่านหน้าสตรีเหล่านั้น กลิ่นหอมรัญจวนแตกต่างจากถนนสายอื่น น้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อนที่ดังขึ้นในโสตประสาท ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมที่ถูกหญิงสาวเหล่านั้นโยนมาให้เซียวเยี่ยนประดุจพายุฝน
ช่วยไม่ได้จริงๆ ใครใช้ให้เขาหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่เล่า เพียงแค่เซียวเยี่ยนเดินผ่านถนนสายนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ได้หมายความว่าเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบกับหญิงสาวที่โยนผ้าเช็ดให้เขา ทั้งที่เห็นอยู่กับตาว่าจะตกลงมาสัมผัสกับร่างของเขา แต่มักจะเอียงไปทางด้านข้างเขาอย่างบังเอิญอยู่บ้าง จากนั้นจึงตกลงบนพื้นถูกม้าที่เขาจูงมาเหยียบย่ำอย่างไร้เยื่อใย
หลินชิงเวยเดินเอามือไพล่หลังยิ้มตาหยีชื่นชมกับความอบอุ่นอ่อนหวานของถนนสายตานี้
หอคณิกาในถนนค้าประเวณีสายนี้มีการแบ่งระดับเช่นกัน หากตั้งอยู่ไกลสักหน่อย แม้แต่ประตูหอก็ยังไม่มีนั่นคือระดับต่ำที่สุด มีเพียงหญิงสาวแต่งหน้าเข้มจัดยืนร้องเรียกลูกค้าอยู่หน้าประตูไม่กี่คน ที่ดีสักหน่อยก็คือหอคณิกาที่หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเพิ่งจะเดินผ่านมา ชั้นสองและชั้นสามล้วนมีแม่นางโบกสะพัดผ้าเช็ดหน้า บุรุษที่เข้าออกดูเหมือนจะมีฐานะดีทั้งสิ้น
ส่วนหอวสันตฤดูนั้นนับเป็นหอคณิกาชั้นสูงของบรรดาหอคณิกาทั้งหมด ด้านหน้าของหอคณิกาเหลืองอร่ามวิบวับไปด้วยสีทอง ชั้นสองและชั้นสามไม่มีแม่นางยืนหัวร่อต่อกระซิกกัน และไม่มีแม่นางยืนร้องเรียกลูกค้าอยู่หน้าประตู บรรดาลูกค้าที่เข้าออกล้วนแต่งกายงดงามพิถีพิถัน แต่มีพฤติกรรมเยี่ยงสุนัข
ได้ยินว่าแม่นางแต่ละคนของหอวสันตฤดูล้วนมีรูปโฉมงดงามและเพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถ หลินชิงเวยเพียงแค่ยืนอยู่หน้าประตูหอวสันตฤดู เห็นโคมไฟที่ส่องสว่างรุ่งโรจน์ ได้ยินเสียงดนตรีลอยออกมาจากข้างในแว่วๆ จึงแปลกใจว่าข้างในจะมีสภาพอย่างไร