เมื่อพูดเช่นนี้ สีหน้าของแม่เล้าเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา มันซีดขาวอยู่บ้าง ความเกียจคร้านในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
หลินชิงเวยเดาถูกแล้ว
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ ว่า “มามาไม่ต้องหวาดกลัว หลี่ป้าทำผิดกฎหมาย อีกไม่กี่วันจะถูกประหาร” สีหน้าของแม่เล้าดูกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย และพรูลมหายใจโล่งอกในที่สุด
หลินชิงเวยไม่สนใจจะรู้เรื่องของผู้อื่น แต่นางคิดว่าคนที่หลี่ป้าต้องการตามหาก็คือสตรีผู้อยู่เบื้องหน้านี้
ในจำนวนผู้ตายนั้นมีสองคนที่เป็นคนในหอคณิกา ในเมื่อเป็นคนของหอคณิกา เช่นนั้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทองและการขายเรือนกาย ด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่หลี่ป้าต้องการตามหาที่แท้จริง ย่อมต้องเป็นคนที่ทำเรื่องผิดต่อเขาในอดีตจึงกระตุ้นเขา ต่อมาจึงกลายเป็นหญิงค้าประเวณี
“เขาทำผิดอะไร?” แม่เล้าดื่มสุราสามจอกติดๆ กัน ดูเหมือนเมามายแล้วจริงๆ
หลินชิงเวยพูด “เขาสังหารคน มามาควรจะโชคดี ก่อนหน้าที่เขาจะถูกจับยังหาตัวเจ้าไม่พบ หาไม่แล้ว…”
“หาไม่แล้วคนที่ต้องตายสมควรจะเป็นข้าถูกต้องหรือไม่” แม่เล้าหัวเราะขึ้นมา ในเสียงหัวเราะนั้นปนเปไปด้วยความผิดหวังและเป็นทุกข์ “เขาไล่ตามหาข้าไปทุกที่ หลายปีมานี้จะต้องออกเดินทางไปหลายแห่ง ด้วยไม่รู้ว่าข้าถูกขายเข้ามาในเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ในที่สุดก็เป็นหญิงในหอโคมเขียว ต้องปรนนิบัติบุรุษตัวเหม็นทุกวัน”
หลินชิงเวยขมวดคิ้วด้วยเห็นนางถึงกับหลั่งน้ำตา
แม่เล้า “เขาเป็นบุรุษเนรคุณคน ยังคิดว่าข้าทำผิดต่อเขากระมัง ฮ่าๆๆ หากมิใช่ด้วยต้องการจ่ายหนี้พนันแทนเขา เขาถูกคนทุบตีปางตาย ข้าจะขายตัวให้ผู้อื่นหรือ เขาสมควรตายแล้ว ตายได้ก็ดี”
ที่แท้เป็นเช่นนี้ หลี่ป้าผู้นั้นน่าจะรักสตรีนางนี้ เพียงแต่เขาติดการพนันไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ นางจึงขายตัวชดใช้หนี้ ในขณะที่เขาหมดสติ ดังนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นจึงเข้าใจว่านางเห็นแก่ลาภยศเงินทอง หนีไปกับคนมีเงินเสียแล้ว คิดว่านางทำผิดต่อตนเอง ดังนั้นเมื่อนางถูกขายต่อมายังเมืองหลวง ในหลายปีมานี้หลี่ป้าจึงตามหานางอย่างไม่ยอมเลิกรา
แม่เล้าเองรู้สึกว่าตนเองเสียกิริยาเช่นกัน จึงประคับประคองร่างอรชรอ้อนแอ้นราวกับไร้กระดูกให้นั่งตัวตรง เช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วเปลี่ยนมาเป็นสตรีเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนอีกครั้ง นางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ขออภัยจริงๆ เป็นข้าเสียกิริยาแล้ว ข้าควรขอบคุณคุณชายที่นำข่าวดีมาบอกกล่าวกับข้าในวันนี้ ข้าต้องดีใจกับตนเองที่รอดพ้นจากเคราะห์ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ วันนี้ไม่เก็บค่าน้ำชาคุณชายและคุณชายที่อยู่ในห้องโถงนั้น”
หลินชิงเวย “ขอบคุณ” แม้ปากจะพูดเช่นนี้แต่ยังวางทองคำขนาดเท่าเม็ดถั่วไว้บนโต๊ะเม็ดหนึ่ง “นี่เป็นเงินรางวัลของฝูอวี้”
ฝูอวี้เห็นเช่นนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง “ไม่ ไม่ต้อง…”
แม่เล้ากลับหัวเราะเสียงใส “อวี้เอ๋อร์ ไฉนจึงไม่รู้ความเช่นนี้เล่า เงินรางวัลที่ให้เจ้าก็เก็บขึ้นมา ผู้ใดกันรังเกียจว่าเงินมาก ยังไม่รีบขอบคุณคุณชายอีก”
“ฝูอวี้ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยมองฝูอวี้แวบหนึ่งแล้วมองแม่เล้า แม่เล้าผู้นี้เป็นคนเห็นแก่ไมตรี ดูออกว่านางไม่สนใจทองคำเล็กน้อยบนโต๊ะนั้น ดูแล้วไม่ใช่คนเห็นเงินแล้วตาโต และคงไม่หักเงินของฝูอวี้มากมายนัก
หลินชิงเวยลุกขึ้นจะจากไป แม่เล้าพูดอีกว่า “คุณชายจะไปแล้ว จดจำไว้ว่าต้องดูแลคุณชายที่อยู่ข้างล่างให้ดี เวลาเพียงชั่วครู่บรรดาแม่นางในหอของข้าแทบจะใช้วิธีการที่พวกนางมีทั้งหมดแล้ว หากท่านยังละเลยอีกจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการค้าในหอของข้า ต่อไปบุรุษที่ละกิเลสเช่นนี้ หอวสันตฤดูของพวกเราไม่ต้อนรับสักนิด”
หลินชิงเวยออกจากห้องยืนมองลงไปจากราวบันได เห็นเซียวเยี่ยนยังคงนั่งอยู่ที่นั่น ร่างของเขาแผ่กระจายรังสีเย็นเยียบออกมาราวกับสามารถแช่แข็งคนได้ในระยะสามฉื่อ แม้ว่าแม่นางงดงามทั้งหลายมีใจ แต่เมื่อได้รับความเย็นชากลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าจึงไม่กล้าวู่วามบุ่มบ่ามอีก ได้แต่มองเขาไกลๆ
หลินชิงเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางได้แต่เดินลงไปในห้องโถงใหญ่แล้วลากน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกไป
เมื่อออกมาข้างนอก จึงรู้สึกว่าเงียบสงบกว่าข้างในไม่น้อย บรรยากาศรอบตัวก็สดชื่นขึ้นมาก หลินชิงเวยยืนเอามือเท้าเอวและถอนหายใจยาวๆ อยู่ใต้ต้นหลิ่ว นางเห็นเซียวเยี่ยนจูงม้ามา บนหลังของม้าหนุ่มมีล่วมยาอยู่ใบหนึ่ง อาภรณ์สีเขียวปลิวสะบัดไปมา พระจันทร์บนศีรษะส่องแสงจางๆ เทียบแสงจากโคมไฟเขียวๆ แดงๆ ที่สาดส่องบนร่างของเขาไม่ได้
เซียวเยี่ยนไม่พูดจาแม้แต่ประโยคเดียว เขาหิ้วตัวหลินชิงเวยขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและจูงม้าสาวเท้าเดินก้าวใหญ่ออกจากถนนสายโลกีย์แห่งนี้ หลินชิงเวยเห็นสีหน้าย่ำแย่ของเขาแล้วกลับอารมณ์ดีจนพูดจาหยอกเย้า “ท่านอา บรรดาแม่นางในห้องโถงบรรเลงดนตรีได้ไพเราะหรือไม่?”
“เจ้าหุบปากจะดีที่สุด”
เมื่อมาถึงถนนใหญ่เซียวเยี่ยนพลิกกายขึ้นนั่งซ้อนหลังหลินชิงเวย มือทั้งคู่โอบผ่านเอวของนางจับบังเหียนควบคุมให้ม้าวิ่งไปข้างหน้า ทั้งสองตรงกลับไปยังวังหลวง
ภาพความคึกคักของตลาดและผู้คนที่อยู่ด้านหลังล้วนเป็นเสมือนแสงสว่างที่ลอยผ่านสายตาไป กระทั่งสุดท้ายเมื่อเข้าสู่เขตกำแพงวังหลวงแล้วก็ไม่มีคนสัญจรไปมาอีก รอบด้านล้วนเงียบสงัดผิดธรรมดา ความคึกคักเหล่านั้นห่างไกลจากพวกเขา หลินชิงเวยหรี่ตามองประตูวังที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเสมือนประตูคุกบานหนึ่งที่แยกความเย็นชาข้างในกับความคึกคักข้างนอกออกจากกันเป็นคนละโลก นางหัวเราะเบิกบานใจ “เสด็จอา ยังโกรธอยู่อีกหรือ?”
เซียวเยี่ยนไม่พูดจา ร่างของเขาเครียดเกร็ง แขนของเขาแข็งกระด้างราวกับกรงเหล็กก็ไม่ปาน หลินชิงเวยกลับเอนกายพิงไปด้านหลัง ซุกกายเข้าไปในอ้อมกอดของเขา นางเอียงศีรษะเพื่อหนุนแขนของเขา พูดทั้งยิ้มตาหยีว่า “แม้ข้าจะผิดที่หลอกลวงท่าน ข้าพูดว่าข้าขอเพียงได้ยืนมองหน้าประตู แต่เมื่อคิดว่าไหนๆ ก็ไปแล้ว หวงยาอยู่ข้างใน หากไม่เข้าไปดูสักหน่อย ข้าก็ไม่วางใจนี่นา”
เซียวเยี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่สู้เจ้าพูดตรงๆ ว่าเจ้าแค่ประหลาดใจ คิดจะเข้าไปเที่ยวเล่นข้างใน”
หลินชิงเวยหันหน้าไปเชิดคางมองเขา พูดอย่างสุขใจว่า “เสด็จอาไฉนจึงเข้าใจข้าเช่นนี้เล่า” อีกทั้งนางพบว่าเมื่อเซียวเยี่ยนหัวเราะเสียงเย็นก็ยังน่าฟังอยู่นั่นเอง จึงอดที่จะยื่นมือไปลูบใบหน้าของเซียวเยี่ยนไม่ได้
เซียวเยี่ยนพูดด้วยโทสะ “หลินชิงเวย หากเจ้ายังลูบคลำไม่เลือกอีก เชื่อหรือไม่ว่าเปิ่นหวางจะจับเจ้าโยนลงไป”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้น จึงลูบอีกสองครั้ง
เซียวเยี่ยน “…”
เมื่อกลับมาถึงวังหลวงเป็นเวลาดึกมากแล้ว หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนเดินเข้าไปในตำหนักซวี่หยางพร้อมกัน ขณะเดียวกันเสี่ยวฉีและซินหรูกำลังเฝ้าอยู่นอกประตูตำหนักบรรทม เซียวจิ่นกำลังนอนหลับอยู่ในตำหนักบรรทม
แม้ซินหรูจะดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่กล้านอนหลับในตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นเมื่อนางเหนื่อยล้า ด้วยเหตุนี้จึงนั่งยองๆ สัปหงกอยู่ด้านนอกประตู กระทั่งผ่านไปค่อนคืนเห็นว่าไม่มีเรื่องอันใดแล้วจึงให้เสี่ยวฉีส่งกลับไปพักผ่อน
ศีรษะของซินหรูเหมือนลูกไก่ที่จิกอาหาร ระหว่างนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองเห็นเงาร่างของคนเดินผ่าน นางยังคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน เมื่อได้ยินเสียงหลินชิงเวยเรียกนาง นางจึงขยี้ตาจับจ้องมองไปแล้วพูดขึ้นอย่างยินดีว่า “พี่สาว! ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
หลินชิงเวย “ไฉนเจ้าจึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่บอกกับเจ้าแล้วหรือ เหนื่อยแล้วก็ไปนอนบนตั่งสักครู่”
ซินหรูแลบลิ้น “อยู่ที่นี่สบายใจกว่าเจ้าค่ะ”