“อ้อ” ซินหรูวางถาดผลไม้บนหัวเข่าลงและพูดว่า “ฝ่าบาท เช่นนั้นซินหรูกลับไปก่อนนะเพคะ”
ต่อมาจึงเป็นหลินชิงเวยที่นั่งลงริมเตียงของเซียวจิ่นเพื่อป้อนเขากินองุ่น เพียงแต่นางมิได้พิถีพิถันเช่นซินหรู นางเพียงแต่ปอกเปลือกองุ่นออกแล้วส่งไปถึงปากของเซียวจิ่น ให้เซียวจิ่นกินแล้วคายเมล็ดองุ่นลงในมือของนางแล้วเก็บกลับมา แต่เซียวจิ่นกินอย่างเบิกบานใจกว่าที่ซินหรูป้อนเขามากนัก
เขาอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นประดุจวสันตฤดูจับจ้องหลินชิงเวย ดวงตาของเขาแคบเล็กน้อย แม้มิได้เย็นชาเช่นดวงตาเรียวยาวรูปหงส์ของเซียวเยี่ยน ทว่ายังคงงดงามยิ่งยวดเช่นกัน
เซียวจิ่นกินองุ่นแล้วพลันถามขึ้นอย่างอ่อนโยน “ชิงเวย เจิ้นเลื่อนตำแหน่งเจ้าเป็นเฟยดีหรือไม่”
มือของหลินชิงเวยหยุดชะงัก เมล็ดองุ่นหลายเมล็ดอยู่ในฝ่ามือขาวราวกับหิมะ
เมื่อเห็นนางไม่ตอบเซียวจิ่นจึงพูดหยั่งท่าทีอีก “หรือจะให้เป็นกุ้ยเฟย แล้วค่อยรอให้…”
หลินชิงเวยขัดจังหวะคำพูดของเขา “ฝ่าบาท”
รอยยิ้มบนในหน้าของเขาคมปลาบขึ้นทันทีพร้อมกับรับคำด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “อืม”
หลินชิงเวยพูดเสียงเบา “ที่จริงแล้ว หากคิดจะดึงมหาเสนาบดีหลินมาเป็นพวกแล้วละก็การเลื่อนขั้นให้หม่อมฉันขึ้นสู่ตำแหน่งเฟยย่อมมีผลดีเพคะ” นางไม่คิดว่าเด็กอายุน้อยกว่านางสามปีที่มีหัวใจของฮ่องเต้ผู้นี้จะกระจ่างแจ้งว่าอันใดคือความรักระหว่างบุรุษและหญิงสาว และชมชอบนางจริงๆ ที่เขาหลงใหลก็เพียงแค่นางเป็นที่พึ่งพิงแก่เขา ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเท่านั้นเอง หรือเขาอาจจะทำเช่นนี้เพื่อเป็นการคิดแทนนาง
“เจิ้นไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” เซียวจิ่นกล่าว
หลินชิงเวยหัวเราะให้เขา “หม่อมฉันทราบว่าพระองค์ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ แต่ไม่ว่าจะเป็นเฟย กุ้ยเฟย หรือหวงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไรเล่า หม่อมฉันล้วนไม่ใส่ใจทั้งสิ้น หม่อมฉันไม่อยากอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีเหล่านั้น หัวใจของหม่อมฉันมิได้อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ดังนั้นให้หม่อมฉันยังคงเป็นเจาอี๋เล็กๆ คนหนึ่งเช่นนี้ไปก่อนเถิดเพคะ” ผ่านไปครู่หนึ่งนางพูดอีกว่า “หม่อมฉันจดจำได้ เมื่อแรกเริ่มนั้นหม่อมฉันพูดกับฝ่าบาทแล้ว ขอเพียงรักษาพระอาการประชวรของฝ่าบาทจนหายดี หม่อมฉันปรารถนาเพียงให้ฝ่าบาทปล่อยหม่อมฉันออกจากวังไป”
สีหน้าของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ “เป็นเพราะในวังไม่ดี เจิ้นไม่ดีต่อเจ้าหรือ หรือว่าเสด็จอาไม่ดีต่อเจ้า”
หลินชิงเวยส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “เป็นเพียงความต้องการของแต่ละคนเท่านั้นเพคะ ไม่เกี่ยวข้องกับว่าใครดีต่อใครหรือไม่เพคะ”
“เช่นนั้นผู้ใดจึงจะทำให้เจ้ายอมอยู่ในวังได้เล่า” เซียวจิ่นถาม เขารู้สึกสับสนเคว้งคว้างราวกับพอจะกระจ่างแจ้งอยู่บ้าง จึงได้แต่พูดยิ้มๆ อย่างอ้างว้างว่า “เชื่อว่าต่อให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เจ้าก็จะไม่มีความสุขใช่หรือไม่?”
“นั่นนับว่าฝ่าบาทรับปากแล้วใช่หรือไม่เพคะ” หลินชิงเวยมองดวงตาของเขา
เซียวจิ่น “เจิ้นยินดีต้อนรับเมื่อเจ้ารู้สึกเสียใจภายหลังเสมอ”
ในช่วงที่เซียวจิ่นพักฟื้นร่างกายนั้น ทันทีที่หลินชิงเวยมีเวลาก็จะมาอยู่ในตำหนักซวี่หยาง ดูแลบาดแผลของเซียวจิ่น หากบาดแผลของเซียวจิ่นฟื้นตัวได้ดีและเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สองเดือนให้หลังก็สามารถเอาไม้กระดานที่ประคับประคองขาไม่ให้เคลื่อนไหวออกได้แล้ว เมื่อนางมีเวลามากขึ้น นางก็จะไปหาหนังสือในห้องสมุดภายในตำหนักซวี่หยางมาอ่าน กระทั่งหนังสือเพิ่มพูนเป็นกองโตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลังจากเซียวเยี่ยนกลับวัง เขางานยุ่งเป็นพิเศษ ต่อให้หลินชิงเวยอยู่ในตำหนักซวี่หยางทั้งวัน แต่หลายวันจึงจะได้พบหน้าเขาสักครั้ง
ยามนี้เซียวจิ่นอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย ราชกิจเรื่องน้อยใหญ่ในราชสำนักของแผ่นดินล้วนตกเป็นหน้าที่ของเซียวเยี่ยนเพียงผู้เดียว
เซียวจิ่นไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินชิงเวย ทว่ามิได้หมายความว่าเขาไม่ใส่ใจ นับแต่โบราณมาไม่มีฮ่องเต้คนใดยินดีมอบอำนาจการบริหารแผ่นดินของตนให้กับผู้อื่น ช่างเถิด แม้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินจะอยู่ในมือของเซ่อเจิ้งอ๋องมาโดยตลอด ยังไม่ได้คืนมา
หลินชิงเวยคิดว่าการปลอบโยนจิตใจและสภาพอารมณ์ของผู้ป่วยก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของนางเช่นกัน แต่หลินชิงเวยพบว่าปลอบโยนไปปลอบโยนมา เซียวจิ่นแทบจะไม่ต้องการการปลอบโยนจากนาง กระทั่งตัวนางเองก็ยังปลอบโยนตนเองไม่ได้
เนิ่นนานแล้วที่ไม่ได้พบเซียวเยี่ยน นางรู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน คนในตำหนักซวี่หยางเมื่อพบเห็นนางล้วนพยายามที่จะหลบเลี่ยงไม่กล้าตอแยด้วย ได้ยินว่าอากาศร้อนเกินไปเจาอี๋เหนียงเหนียงธาตุไฟกำเริบ
ที่จริงแล้วมีเพียงนางที่รู้ดี เรื่องที่เซียวเยี่ยนมาเยือนที่นี่น้อยมากนั้นช่างเถิด นางถึงกับได้ยินว่าไทเฮาผู้นั้นถึงกับอาศัยข้ออ้างว่าไปเยี่ยมเยียนส่งของว่างและอาหารไปทุกๆ สามวันห้าวัน ไทเฮาเข้าออกห้องทรงพระอักษรเป็นนิจ เซียวเยี่ยนกลับไม่ปฏิเสธ!
เขายังคิดว่าไทเฮาเป็นคนของตนเองเสียแล้ว? ไม่เกรงกลัวเสียบ้างว่าคนรอบข้างจะติฉินนินทาอย่างไร
คืนนี้อากาศร้อนกว่าทุกๆ วัน กระทั่งตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นที่วางถังน้ำแข็งเอาไว้ก็ยังไม่อาจทำให้อุณหภูมิภายในตำหนักลดลงได้ หลินชิงเวยร้อนจนแทบสติแตกอยู่แล้ว เหงื่อไหลไม่หยุด นางหันไปมองเซียวจิ่น เขานั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้านิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหวใดๆ
เซียวจิ่นพูดยิ้มๆ “ชิงเวย เมื่อใจสงบก็จะเย็นเอง เจ้านั่งลง ไม่นานก็ไม่ร้อนแล้ว”
หลินชิงเวยเบะปาก “ใจสงบก็จะเย็นเอง เป็นคำพูดหลอกลวงผู้คนเพคะ ทันทีที่ใจสงบ มิใช่ตายไปแล้วหรือเพคะ”
เซียวจิ่นตกตะลึง จากนั้นรอยยิ้มกดลึกขึ้นกว่าเดิมอีก เขาให้นางกำนัลไปต้มน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูขาวมาให้หลินชิงเวยกินคลายร้อน
หลินชิงเวยกินน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูไปสองชามใหญ่ อารมณ์จึงเย็นลงบ้าง เซียวจิ่นมองสีของท้องฟ้าข้างนอก ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เหล่านางกำนัลกำลังจุดโคมไฟในวัง ม่านรัตติกาลเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ
ราวกับเซียวจิ่นรู้ว่าหลินชิงเวยกำลังคิดอะไร จึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “น้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูนี้เจิ้นไม่ชอบดื่ม เหลือเพียงเท่านั้น ไม่สู้เจ้าส่งไปให้เสด็จอา””
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เขามีไทเฮาส่งอาหารให้ทุกวัน คิดดูแล้วคงจะมีความสุขยิ่งนัก ไหนเลยจะเห็นน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูของพวกเราได้เพคะ!”
เซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “เสด็จอามีภารกิจมากมาย ที่จริงแล้วเขาเหน็ดเหนื่อยยิ่งยวด ชิงเวย หากเจ้าไม่อยากให้ไทเฮาเข้าออกห้องทรงพระอักษร เจ้าต้องไปก่อนก้าวหนึ่ง” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดราวกับต้องการเอาอกเอาใจหลินชิงเวย “ที่จริงแล้วเจิ้นไม่ชอบให้ไทเฮาเข้าออกห้องทรงพระอักษรเช่นกัน หากเจ้าเห็นแล้วขัดตา เจิ้นอนุญาตให้เจ้าเข้าออกห้องทรงพระอักษรโดยอิสระ”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองก็ประสานเข้ากับดวงตากระจ่างใสของเซียวจิ่น ไร้ซึ่งความคิดซับซ้อนยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความจริงใจ
นางพูดดักคอ “ฝ่าบาท โตเป็นผู้ใหญ่ก่อนเวลาไม่ใช่เรื่องดีเพคะ”
เซียวจิ่น “เจิ้นเคยพูดแล้วว่าเจิ้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้ว”
หลินชิงเวยนำน้ำแกงเม็ดบัวเห็ดหูหนูวางลงในกล่องอาหาร เซียวจิ่นอมยิ้มมองนางเดินออกประตูไป หากเทียบกับไทเฮาแล้วเขาจะยินดีให้หลินชิงเวยเป็นคนสนิทเซียวเยี่ยนมากกว่าไทเฮา เรื่องนี้เซียวจิ่นแน่ใจอย่างยิ่ง
หลังจากหลินชิงเวยออกไปรอยยิ้มในดวงตาเมื่อสักครู่ของเขาก็จางหายไป แววตานั้นแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งลึกไม่สมกับวัยของเขา มองไปยังทิศทางที่หลินชิงเวยจากไปเนิ่นนานไม่ถอนสายตากลับมา
หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งอย่างที่สุดว่าตนเองต้องการสิ่งใด และเซียวจิ่นเองก็แจ่มแจ้งเหลือแสนว่าตนเองต้องการอะไร สิ่งที่นางและเขาต้องการไม่เหมือนกัน
เดินออกจากตำหนักซวี่หยางต้องอ้อมผ่านอุทยานหลวง เมื่อสายลมเย็นสบายผัดผ่านหน้า ข้างหน้ามีนางกำนัลนำทาง หลินชิงเวยจึงไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะหลงทาง เดินมาได้ระยะหนึ่งโคมไฟที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าเมื่อสักครู่ ยามนี้ถูกต้นไม้ข้างทางบดบังเอาไว้ ราวกับแสงระยิบระยับจากดวงดาว
เซียวจิ่นมอบป้ายหยกให้หลินชิงเวยชิ้นหนึ่ง เพื่อให้หลินชิงเวยสามารถเข้าออกภายในตำหนักชิงหลวนได้อย่างราบรื่น และเข้าออกในห้องทรงพระอักษรได้อย่างอิสระเช่นเดียวกัน