ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 193 สวนไป่โซ่ว

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

โดยปกติแล้วภายในวังหลวงไม่อนุญาตให้มีรถม้าสัญจรไปมา หากเหล่าบรรดานางสนมต้องออกมาข้างนอกล้วนต้องอาศัยนั่งเสลี่ยงทั้งสิ้น รถม้าสัญจรภายในวังหลวงลักษณะเช่นนี้งดงามหรูหรากว่ารถม้าที่อยู่ข้างนอกวังมากนัก อีกทั้งม้าที่ใช้ลากรถล้วนมีสีขาวปลอด เป็นม้าสีขาวที่ถูกฝึกให้มีนิสัยอ่อนโยนอย่างยิ่ง ได้ยินเสี่ยวฉีพูดว่าม้าตัวนี้คัดเลือกออกมาจากสวนไป่โซ่ว ผู้ที่สามารถนั่งบนรถม้าคันนี้ล้วนมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ ขันทีและนางกำนัลสองข้างทางเมื่อพบรถม้าคันนี้ล้วนต้องหยุดเดินเพื่อถวายคำนับ

หลินชิงเวยและซินหรูนั่งอยู่บนรถม้า ทัศนียภาพงดงามนอกหน้าต่างผ่านสายตาไป สายลมเย็นสบายพัดโชยมาให้ความรู้สึกสบายใจหลายส่วน ซินหรูฟุบกายอยู่กับขอบหน้าต่างมองดูทิวทัศน์ด้านนอก ไม่ง่ายดายนักที่จะมีโอกาสเยี่ยมชมวังหลวง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้

ภายในวังหลวงไม่ได้มีเพียงสระไท่เยี่ยเพียงสระเดียว ตำแหน่งที่ตั้งของสระไท่เยี่ยอยู่ใกล้กับราชอุทยานหลวง มักจะมีคนผ่านไปที่นั่นเสมอ แต่ไม่รู้ว่าเสี่ยวฉีเลือกใช้เส้นทางใด ถึงกับทำให้หลินชิงเวยและซินหรูเห็นสระน้ำใหญ่น้อยอีกสองสามสระ สระน้ำที่ใหญ่ที่สุดนั้นมองไปแล้วสุดลูกหูลูกตาไม่เห็นฝั่ง

เมื่อเดินทางต่อไปอีกหลินชิงเวยพลันรู้สึกว่าตนเองได้เดินทางเข้าสู่ผืนป่าดั้งเดิม ที่นี่แทบจะมองไม่เห็นผู้คน ตำหนักต่างๆ ของวังหลวงถูกต้นไม้ใหญ่บดบังไปเนิ่นนานแล้ว เห็นเพียงกำแพงสีแดงและกระเบื้องสีขาวเป็นระยะๆ คิดดูแล้วก่อนนี้ภายในตำหนักในแห่งนี้เป็นสถานที่อันมีเกียรติของหญิงงามสามพันกว่าคน สถานที่พำนักอาศัยของคนที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อไม่มีคนมาพำนักแล้วจะซ่อมแซมไปเพื่ออันใด เพียงแต่บัดนี้เซียวจิ่นครองบัลลังก์ เขามีสนมไม่กี่คน ดังนั้นตำหนักโดยส่วนใหญ่ของตำหนักในจึงว่างลง

การที่บรรดานางสนมในอดีตจะได้พบหน้าฮ่องเต้สักครั้งมิใช่เรื่องง่ายดาย ออกมาเดินอยู่ข้างนอกไม่มีรถม้า ไม่มีเกี้ยว คาดว่ายังเดินไม่ถึงอุทยานหลวงเวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไม่ได้ทันพบหน้าฮ่องเต้ก็ต้องย้อนกลับตำหนักของตน เพราะการกลับไปยังต้องเสียเวลาอีกครึ่งค่อนวันเช่นกัน คิดๆ แล้วหลินชิงเวยรู้สึกอึดอัดคับข้องใจนัก มิน่าเล่าหลินชิงเวยจึงรู้สึกว่าเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้บรรยากาศความร้อนระอุล้วนอันตรธานไปสิ้น นี่คือพลังหยินที่ผู้คนกล่าวถึงนั่นเอง

ผ่านเส้นทางตรงที่ทอดยาวไปข้างหน้า สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ถูกปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติ พวกมันสูงใหญ่บดบังดวงอาทิตย์ อากาศใต้ต้นไม้เต็มไปด้วยความสดชื่นและร่มรื่น นี่เป็นเพราะไม่ได้สัมผัสกับแสงแดด ดังนั้นพลังหยินจึงมีมาก

กระดานหินเหล่านั้นถูกปูบนพื้น มันเต็มไปด้วยคราบตะไคร่น้ำที่ขึ้นให้เห็นเป็นชั้นสีเขียวอมดำตามระยะเวลา หากมีคนเดินอยู่ข้างบนจะต้องลื่นล้มโดยง่าย เมื่อผ่านสองข้างทางใต้ร่มเงาไม้แล้ว กลับพบเห็ดดอกใหญ่ๆ ขึ้นเต็มไปหมด ซินหรูตื่นเต้นอย่างที่สุด อยากจะเรียกเสี่ยวฉีให้หยุดรถม้า เพื่อให้นางลงไปเก็บเห็ดสักหลายดอก เสี่ยวฉีเห็นกิริยาท่าทางของนางแล้วจึงอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนกับซินหรูว่า “เห็ดเหล่านั้นกินไม่ได้”

ซินหรู “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ากินไม่ได้? ท่านเคยกินหรือ”

“…ไม่เคย”

“เช่นนั้นเหตุใดไม่เก็บกลับไปทดลองดูเล่า?”

“เช่นนั้นค่อยมาเก็บขากลับดีหรือไม่?”

หลินชิงเวยกลอกตามองบน คิดว่าตนเองหูฝาดเสียแล้ว เสี่ยวฉีเจ้าก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กรู้จักพูดจาเอาอกเอาใจซินหรูด้วย

เพียงแต่สองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่าไม้นี้ มองไปไม่เห็นขอบฝั่ง ข้างทางยังมีเห็ดดอกใหญ่เช่นนี้ ข้างในมิใช่มีสมุนไพรสูงค่าหายากหรือ?

ซินหรูตระหนักในเรื่องนี้เช่นกันจึงมิได้ดึงดันเท่าใดนัก

ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม รถม้ามาหยุดลงหน้าประตูสวนไป่โซ่ว สิ่งที่เข้ามาในคลองจักษุคือต้นไม้หนาแน่นรอบกาย ไม่เห็นผู้คนเข้าออกที่นี่แม้แต่คนเดียว

หลินชิงเวย “สวนไป่โซ่ว…สวนไป่โซ่ว ข้างในต้องมีสัตว์นับร้อยชนิดเป็นแน่ เดินทางมาเนิ่นนานเช่นนี้ไฉนไม่เห็นคนให้อาหารเลยเล่า?”

“เมื่อก่อนมีพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นเหตุใดยามนี้จึงไม่มี?”

“ล้วนถูกสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ข้างในกินเป็นอาหารพ่ะย่ะค่ะ”

“…เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องให้เจ้าพาข้ามาสถานที่แห่งนี้เพื่อให้อาหารนกพิราบ?”

ที่จริงแล้วภายในสวนไป่โซ่วยังมีสัตว์ดุร้ายอยู่ด้วย ฮ่องเต้บางยุคสมัยของต้าเซี่ยเลี้ยงและฝึกสัตว์ดุร้ายเป็นงานอดิเรก จึงได้แยกพื้นที่สวนไป่โซ่วออกมาเพื่อเลี้ยงสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ล้ำค่าและหายากแล้วสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น สัตว์ล้ำค่าที่แคว้นอื่นมอบเป็นเครื่องบรรณาการล้วนถูกเลี้ยงอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เดิมทีที่นี่มีผู้ให้อาหารและผู้ฝึกสัตว์อยู่มากมาย แต่เมื่อแต่ละคนล้วนล้มตายด้วยการกลายเป็นอาหารของสัตว์เหล่านี้จึงไม่มีใครยินยอมมาที่นี่อีก ผนวกกับบริเวณใกล้เคียงนี้กลายเป็นสถานที่รกร้าง ประมุขคนใหม่ที่เข้ามาดูแลตำหนักในไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสถานที่แห่งนี้ ทว่าข้างในยังมีสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ มีสัตว์ล้ำค่าที่เสี่ยวฉีต้องเข้ามาดูแลทุกๆ สองวัน พร้อมกับให้อาหารพวกมัน

หลังจากเข้ามาในสวนไป่โซ่ว เบื้องหน้าปรากฏให้เห็นทางเดินสามทาง เสี่ยวฉีพาพวกนางเดินทางที่อยู่ซ้ายสุด เส้นทางคดเคี้ยวสองข้างทางมีดอกไม้กำลังบานสะพรั่งและสนามหญ้า เถาวัลย์เลื้อยไปตามกำแพง ดอกเฉียงเวย[1]บานอยู่บนกำแพง บรรยากาศภายในนี้เย็นสบายกว่าข้างนอกมากทีเดียว เกือบจะเหมือนเข้าสู่ต้นฤดูคิมหันต์อย่างไรอย่างนั้น เป็นสภาพอากาศที่เหมาะสมให้ดอกเฉียงเวยเบ่งบาน

หลินชิงเวยแทบจะไม่ต้องถามสิ่งใด ด้วยซินหรูมีนิสัยใฝ่เรียนใฝ่รู้ นางจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น “เหตุใดพวกเราต้องเลือกเดินเส้นทางซ้ายสุดเจ้าคะ เหตุใดไม่ใช่ตรงกลางหรือทางขวา”

เสี่ยวฉี “อย่าไปคิดถึงจะดีที่สุด ทางด้านนั้นเป็นเขตพื้นที่ของสัตว์ใหญ่”

เส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินนี้ดูกลมกลืนกันอย่างยิ่ง แสงตะวันกำลังสาดส่องลงบนต้นไม้ใบหญ้าของสวนไป่โซ่ว สะท้อนให้เห็นใบไม้เขียวชอุ่มสดใสประดุจหยดน้ำบนชิ้นหยก เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งก้านธูปพวกเขาจึงเดินเข้าไปในสวนแห่งหนึ่งแล้วได้พบกับสัตว์ชนิดแรกในที่สุด–ลิง

ภายในสวนเต็มไปด้วยเถาวัลย์เส้นใหญ่ มีลิงหลายตัวนั่งอยู่บนเถาวัลย์โยกไปโยกมาอย่างว่องไว พวกมันได้ยินเสียงมาของมนุษย์ จึงพากันมาดูที่นี่ หลังจากเห็นเงาร่างของคนจึงได้รับความตื่นตระหนกพากันแยกย้ายไป

ซินหรูร้องโอ้โหเสียงดังอย่างลิงโลดใจ เสี่ยวฉีมักจะมาให้อาหารพวกมันเสมอ บรรดาลิงล้วนจดจำหน้าตาของเสี่ยวฉีได้ นาทีถนัดมาจึงเข้ามาหาเสี่ยวฉีเพื่อขออาหาร พืชที่ขึ้นอยู่ในสวนล้วนเพียงพอที่จะเป็นอาหารให้กับพวกมันได้ เสี่ยวฉีหยิบถั่วลิสงออกมาจากถุงผ้า

ลิงตัวนั้นเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงไม่ต้องการถั่วลิสงแล้ว มันตรงเข้าไปแย่งถุงในมือของเสี่ยวฉี

เสี่ยวฉีตวาดลั่น พวกมันไม่อาจไม่เก็บถั่วลิสงบนพื้นแล้วหนีไป เขาถูกพวกมันรุมเสียจนสะบักสะบอม จึงกระแอมกระไอแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”

ต่อมาพบสัตว์ชนิดอื่นๆ อีกเล็กน้อย แต่สัตว์ที่อยู่ในพื้นที่นี้พวกมันล้วนมีนิสัยอ่อนโยนทั้งสิ้น เสี่ยวฉีไม่ลืมจุดประสงค์ที่มาที่นี่ จึงพาหลินชิงเวยและซินหรูไปยังพื้นที่ว่างสุดท้าย ที่นั่นเป็นสนามหญ้าสีเขียวชอุ่มทั้งผืน ตรงกลางมีต้นไม้ต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดด ด้านข้างมีบ้านเรียงเป็นแถว บ้านนั้นสร้างไว้เพื่อให้นกพิราบนำกิ่งไม้มาสร้างรังนก

ลูกนกพิราบฝูงหนึ่งเพิ่งเริ่มเรียนรู้ที่จะบินขึ้น กำลังกระพือปีกอย่างมีความสุขอยู่บนต้นไม้

หลินชิงเวยนับจำนวนของมัน “ฝูงนี้ไม่ได้มีเพียงสามสิบหกตัวกระมัง อย่างน้อยต้องมีห้าสิบตัว”

เสี่ยวฉีพยักหน้า “ระหว่างการฝึกจะมีบางส่วนที่ไม่ผ่านการฝึก สุดท้ายที่เหลือมาล้วนเป็นพิราบสื่อสารฝีมือยอดเยี่ยมทั้งสิ้น”

เสี่ยวฉีนำอาหารของนกพิราบที่อยู่ใต้บ้านของนกออกมาให้หลินชิงเวย “ที่เหลือ ต้องพึ่งเจาอี๋เหนียงเหนียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลินชิงเวยอดที่จะมีสีหน้าเป็นอัมพาตไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเสี่ยวฉีหันไปพูดกับซินหรูว่า “เจ้าไม่ใช่รบเร้าจะไปดูสัตว์อื่นๆ หรือ ไปเถิด ข้าพาเจ้าไปดู” เลือดในกายนางแทบจะมากระจุกอยู่บริเวณลำคอ

[1] เป็นดอกไม้ในตระกูลกุหลาบชนิดหนึ่ง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท