หลินชิงเวยเห็นด้านข้างมีกล่องข้าวกล่องหนึ่ง สีหน้าจึงเย็นชาลงเล็กน้อย “อุ๊ย ดูแล้วข้ามาส่งของกินเป็นเรื่องเกินความจำเป็น มักจะมีคนมาก่อนข้าก้าวหนึ่งเสมอ ตรองดูแล้วท่านน่าจะกินอิ่มแล้ว เช่นนั้นอาหารที่ข้านำมานี้ย่อมไม่มีอะไรน่ากิน”
พูดแล้วหลินชิงเวยก็หิ้วกล่องอาหารขึ้นมา หันกายเดินออกไปด้านนอก
เซียวเยี่ยนส่งเสียงทั้งๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นในยามนี้เอง “ไปไหนเล่า”
“เอาไปทิ้ง”
เซียวเยี่ยนพักพู่กันจูซาในมือแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับนางด้วยสีหน้าเรียบๆ ว่า “เปิ่นหวางยังไม่ได้กิน”
หลินชิงเวยหันกลับมาเลิกคิ้วมองเขา “ท่านยังไม่ได้กินอาหารที่ไทเฮาส่งมาหรือ”
“นำมานี่ เปิ่นหวางหิวแล้ว”
เซียวเยี่ยนไม่ชอบถูกผู้อื่นรบกวนระหว่างที่เขากำลังทำงานที่สุด และเขาไม่ชอบที่จะหยุดงานกลางคัน เขาเคยชินที่จะทำเรื่องหนึ่งให้เสร็จสิ้นแล้วจึงไปทำเรื่องอื่น
เพียงแต่ยามนี้เห็นหลินชิงเวยมา เขาถึงกับทำลายกฎระเบียบที่เคยชินมาหลายปีของตนโดยมิรู้เนื้อรู้ตัว เซียวเยี่ยนลุกขึ้นล้างมือ หันกลับไปเห็นหลินชิงเวยกำลังหยิบอาหารออกมาจากกล่องอาหารและวางลงบนโต๊ะ จึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองนั้นหิวและเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เขามองมือขาวเรียวของหลินชิงเวยตักข้าวสวยถ้วยหนึ่งแล้วส่งให้เขาพร้อมกับตะเกียบหนึ่งคู่ เซียวเยี่ยนจึงเริ่มกินอาหารอย่างช้าๆ
หลินชิงเวยนั่งตรงข้ามกับเขามองเขาอย่างเงียบๆ ไม่เจอกันหลายวันรู้สึกว่าเขาผ่ายผอมลงสองส่วน จึงรู้สึกปวดใจนิดๆ
กับข้าวเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่เขากินเป็นประจำ แต่วันนี้รสชาติกลับไม่เหมือนที่ผ่านมา เป็นเพราะเขาหิวแล้วแน่ๆ เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าอาหารที่กินในวันนี้เอร็ดอร่อยกว่าที่แล้วๆ มา
หลินชิงเวย “ถึงเวลาอาหารแล้ว เหตุใดท่านไม่เรียกให้ตั้งโต๊ะเสวยเล่า”
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “ไม่ได้สังเกต”
หลินชิงเวยขัดเคืองใจแต่ทำอะไรเขาไม่ได้ “ท่านคิดว่าท่านเป็นมนุษย์เหล็กหรือ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน ไม่พักผ่อนแล้วยังยืนหยัดอยู่ได้โดยที่ไม่เจ็บป่วย” เซียวเยี่ยนไม่พูดไม่จา นางพูดอีกว่า “ฝ่าบาทยังไม่ทำงานหนักเช่นท่าน ท่านจะแอบเกียจคร้านบ้างสักครู่จะเป็นไรไป”
เซียวเยี่ยนเงียบไปเนิ่นนานจึงพูดว่า “เส้นทางในวันข้างหน้าเขาต้องเดินคนเดียว เปิ่นหวางพยายามที่จะทำให้เส้นทางที่เขาต้องเดินราบรื่นสักหน่อย”
หลินชิงเวยตะลึงงัน ไม่พูดอะไรอีก
เซียวเยี่ยนกินอาหารที่นางนำมาจนหมดเกลี้ยง หลินชิงเวยหันไปเปิดกล่องอาหารที่ไทเฮาส่งมา เห็นกับข้าวที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นอาหารที่ทำมาอย่างพิถีพิถัน จึงพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ว่า “เหตุใดท่านไม่กินอาหารที่ไทเฮาส่งมาเล่า”
เซียวเยี่ยนเรียกเสี่ยวฉีเข้ามา นำอาหารที่ไทเฮาส่งมาไปเททิ้ง
ต่อมาเซียวเยี่ยนกลับไปสะสางราชกิจต่อ หลินชิงเวยมองดูรอบกายแล้วคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรของนางแล้วจึงยักไหล่พูดขึ้นว่า “ต่อให้ท่านงานยุ่งขึ้นมาก็ต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพของตนเองด้วย ที่นี่ไม่มีเรื่องของข้าแล้ว ข้าไม่รบกวนเวลาของท่านดีกว่า”
เซียวเยี่ยนวางฎีกาในมือลง สายตาเลื่อนจากฎีกามามองหลินชิงเวย ดวงตาเรียวยาวรูปหงส์นั้นนิ่งลึก “เจ้างานยุ่งมากหรือ”
หลินชิงเวย “ไม่ยุ่ง ข้าว่างจะแย่ เป็นท่านที่งานยุ่ง” นางไม่ปรารถนาที่จะเป็นสตรีที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
เซียวเยี่ยน “ในเมื่อเจ้าไม่มีธุระอันใดก็นั่งสักครู่ รอเปิ่นหวางสะสางงานเสร็จแล้วส่งเจ้ากลับไป” หลินชิงเวยตกตะลึงเล็กน้อย เซียวเยี่ยนจึงกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ใช้เวลาไม่นานหรอก”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้น นางเห็นเซียวเยี่ยนก้มหน้าลง ทำงานของตนเองต่อจึงอดไม่ได้ที่จะใจเต้นโครมคราม นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรือไม่นะ?
อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรทำ ให้นั่งรออยู่ที่นี่อย่างเงียบเชียบก็รอเถิด ดังนั้นหลินชิงเวยจึงไม่รบกวนเขา ตนเองไปหาหนังสือจากชั้นหนังสือมาอ่าน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดอย่างไรนางก็อ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างจดจ่อ กระทั่งตนเองยังรู้สึกว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นานนักก็มีเงาร่างของคนสายหนึ่งมาครอบคลุมเบื้องหน้านาง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยน “ท่านทำงานเสร็จแล้วหรือ”
“อืม” เซียวเยี่ยนมองหนังสือในมือของนาง “หากเจ้าชอบหนังสือเล่มนี้ นำกลับไปอ่านได้”
หลินชิงเวยปิดหนังสือ “ฆ่าเวลาเท่านั้นเอง ไม่อาจพูดได้ว่าชอบมาก” นางตรองดูแล้วพูดอีกว่า “แต่การอ่านหนังสืออ่านเพียงครึ่งเดียวไม่อ่านหมด ในใจรู้สึกค้างๆ คาๆ เช่นนั้นท่านถือเอาไว้ช่วยข้านำกลับไปเถิด” หนังสือเล่มนั้นทั้งหนาและหนัก หลินชิงเวยยัดหนังสือเล่มนั้นใส่มือของเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน เขาถือหนังสือเล่มนั้นเดินออกไปข้างนอก “ไปเถิด เปิ่นหวางจะส่งเจ้ากลับไป”
ออกจากห้องทรงพระอักษรขันทีสองคนที่ทำหน้าที่ยืนเฝ้าผลัดดึกล้วนง่วงนอนจนนั่งยองๆ สัปหงกอยู่ข้างกำแพง ทว่าองครักษ์ด้านนอกเรือนยังยืนตรงเสมือนพู่กัน
เมื่อเซียวเยี่ยนออกมา ขันทีที่กำลังสัปหงกอยู่สะดุ้งโหยง พวกเขารีบจับหมวกและลุกขึ้นถวายคำนับ เซียวเยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า “ไปพักผ่อนเถิด”
หลินชิงเวยมองดูท้องฟ้า นางรู้ดีว่าเวลานี้เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว คำพูดที่นางพูดกับเซียวจิ่นในคืนนี้ หลินชิงเวยใคร่ครวญดูแล้วยังไม่ได้บอกกับเซียวเยี่ยน รอให้น้ำมา คลองเกิดทุกอย่างจึงจะถึงเวลาสัมฤทธิผลแล้วค่อยบอกเขาเถิด ดังนั้นทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมากนักตลอดทาง กระทั่งเซียวเยี่ยนส่งหลินชิงเวยถึงหน้าประตูตำหนักฉางเหยี่ยน
เห็นขันทีฝืนเฝ้าประตูตำหนักตั้งแต่ไกล แสงจากโคมไฟหน้าประตูดูมืดสลัว หลินชิงเวยพลันหยุดฝีเท้า เซียวเยี่ยนเดินอยู่ข้างหน้านางจึงหยุดลงเช่นกันพร้อมกับหันมามองนาง
หลินชิงเวยเอียงหน้าพูดยิ้มๆ “ในเมื่อมาส่งถึงที่นี่แล้ว จากประตูใหญ่ถึงเรือนที่ข้าอาศัยอยู่ยังต้องเดินอีกราวๆ หนึ่งก้านธูป แต่ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่สู้เสด็จอาใช้วิชาตัวเบาส่งข้ากลับเรือน เช่นนั้นจะออมแรงได้สักหน่อย”
เซียวเยี่ยนเงียบขรึม
หลินชิงเวยเอามือไพล่หลังพูดอีกว่า “ส่งพระต้องส่งให้ถึงที่ ข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านส่งข้ากลับมาสักหน่อย”
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “ก่อนหน้านี้เปิ่นหวางไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เจ้าควรจะบอกเร็วหน่อย” ใช้วิชาตัวเบาส่งนางกลับเรือน ย่อมไม่อาจใช้วิชาตัวเบาหน้าประตูใหญ่ของตำหนัก ด้วยต้องหากำแพงวังที่ไร้ผู้คนจึงจะเหินกายเข้าไปได้
เซียวเยี่ยนได้แต่พาหลินชิงเวยอ้อมไปอีกที่หนึ่ง กระทั่งถึงข้างกำแพงวังแล้วใช้เวลาราวๆ หนึ่งก้านธูปเช่นกัน แต่เส้นทางนี้ให้ผลลัพธ์สองประการ หลินชิงเวยพึงพอใจกับเส้นทางนี้อย่างเห็นได้ชัด
เซียวเยี่ยนอุ้มหลินชิงเวยแล้วเหินกายขึ้น ขาทั้งคู่แตะลงบนกำแพงเพื่อยืมกำลัง เหินกายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถพลิกกายเข้ามาในตำหนักฉางเหยี่ยน และอยู่ในชายคาเรือนของตำหนักฉางเหยี่ยน ตำหนักต่างๆ อยู่ใต้ฝ่าเท้า สายลมยามรัตติกาลสัมผัสจอนผมของหลินชิงเวย สิ่งที่นางสามารถมองเห็นแปรเปลี่ยนเป็นกว้างใหญ่ไพศาล แขนของนางโอบกอดไปรอบลำคอของเซียวเยี่ยนด้วยหัวใจที่เป็นสุข
ดูแล้วบุรุษที่มีวรยุทธ์ในยุคสมัยโบราณ เป็นเครื่องมืออัศจรรย์ที่จำเป็นต้องมีการในจีบหญิง
เซียวเยี่ยน “เจ้าคิดว่าเช่นนี้จะประหยัดเวลากว่าหรือไร แต่กลับกันแล้วไม่ใช่เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป”
หลินชิงเวย “ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เดินคนเดียวรู้สึกว่าระยะทางไกลมาก เดินสองคนไม่รู้สึกเช่นนั้น”
เซียวเยี่ยนเงียบงัน “แต่ยามนี้มิใช่เปิ่นหวางเดินอยู่คนเดียวหรอกหรือ”
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เสด็จอาเป็นคนจู้จี้จุกจิกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เพียงชั่วอึดใจเดียว เซียวเยี่ยนก็ส่งหลินชิงเวยกลับมาถึงในเรือนอย่างคุ้นทางดี เขาค่อยเหินกายลงมาจากชายคาเรือนแล้วปล่อยหลินชิงเวยลง
เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ หลินชิงเวยจึงโอบกอดลำคอของเขาพร้อมกับเขย่งปลายเท้าก็ยังสูงไม่พอ นางจึงปล่อยมือ มือของนางจับคอเสื้อของเขา เซียวเยี่ยนยืนนิ่งไม่ได้ผละออกจากนางในทันที เขาก้มหน้าลงมองหลินชิงเวยนิ่งๆ