หลินชิงเวยดึงมือกลับมา ถอยไปด้านหลังสองก้าว เงยหน้าขึ้นยิ้มตาหยีแล้วเหลือบตามองเขา แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงบนใบหน้าของนาง สายลมที่พัดมาทำให้ผมหน้าม้าของนางยุ่งเหยิง ทว่ากลับทำให้สตรีเบื้องหน้างดงามประดุจหยก นางพูดว่า “เซียวเยี่ยน ท่านกลับไปเถิด”
เซียวเยี่ยนหันกาย “รีบเข้าไปพักผ่อน”
“ท่านจะฝันถึงข้าในยามกลางคืนหรือไม่” หลินชิงเวยถามขึ้นข้างหลัง ที่จริงนางไม่ชอบให้ตนเองแสดงความเป็นอิสตรีเฉกเช่นสาวน้อยออกมาเพียงลำพัง แต่ต่อมานางเคยตัวเสียแล้ว ไม่เคยหลงรักบุรุษเป็นกิจจะลักษณะ ไม่เคยมีความรักเป็นจริงเป็นจัง นี่อาจเป็นการดูแลเป็นพิเศษจากสวรรค์ก็เป็นได้ ให้นางมาเกิดใหม่ในอายุสิบหกปีอีกครั้ง ให้นางมีความรักเฉกเช่นสาวน้อยมีต่อบุรุษผู้หนึ่ง
และที่จริงยามนี้นางเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบหกปีคนหนึ่งนี่นา เพียงแต่อายุในใจนั้นอาจจะเป็นผู้ใหญ่สักหน่อย
แต่เรื่องของความรักก็เหมือนนกยูงที่พบกับแม่นกยูง มันอดไม่ได้ที่จะรำแพนหางของมันเพื่อแสดงความสามารถให้กับบุคคลเป็นที่เป็นไอดอลของตัวเอง เป็นนิสัยตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง เหตุใดต้องปิดบังหรืออำพรางด้วยเล่า
ช่างเถิด ความรักระหว่างนางและเซียวเยี่ยนยังไปไม่ถึงขั้นนี้ นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องปิดบังนี่นา
“เปิ่นหวางนอนไม่เคยฝัน” เซียวเยี่ยนหยุดฝีเท้า เขาหันหลังพูดกับหลินชิงเวย หลินชิงเวยจึงไม่เห็นว่าเขากำลังโกหก
บางครั้งเขายังเคยฝันเห็นเงาร่างอรชรร่างหนึ่งกลางดึก เดินเข้ามาใกล้เขา กลิ่นหอมจรุงจากร่างของนางก็เหมือนเช่นยามนี้ หรือเป็นเพราะคิดถึงมากเกินไปจึงเก็บไปฝันถึง?
หลินชิงเวยหัวเราะสองครั้ง “ไม่เป็นไร ข้าไปหาท่านในฝันก็พอ”
เซียวเยี่ยนเดินไปถึงริมกำแพง กำลังจะพลิกกายข้ามกำแพง แต่เขากลับไม่รีบร้อนและครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “หรือเจ้าอาจไปหาผิดคน”
หลินชิงเวย “ท่านว่าอะไรนะ”
“หรือเจ้าอาจจะสับสนเพียงชั่วครู่ชั่วยาม”
หลินชิงเวยพูดยิ้มๆ “ข้าไม่สับสน ไม่สับสนแม่แต่น้อย ข้าแน่วแน่ไม่หวั่นไหว และมีสติอย่างยิ่งยวด”
เซียวเยี่ยนเหินกายขึ้นและทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคหนึ่งกับสายลม “เช่นนั้นอาจเป็นเปิ่นหวางที่สับสนไปชั่วขณะ”
ใครเลยจะรู้เล่าว่าวันหนึ่งเมื่อนางกระจ่างแจ้งในคำพูดของเซียวเยี่ยนในที่สุด นางเคียดแค้นชิงชังยิ่งนักที่ไม่ตีตัวเองเพราะคำพูดในวันนี้
ทว่ายามนี้หลินชิงเวยไม่ได้คิดอะไรมาก นางแจ่มแจ้งดีถึงเหตุผลของการเป็นผู้ที่อยู่ในเรื่องราวนั้นมองไม่เห็น แต่ผู้ที่เป็นคนรอบข้างนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตัวนางเองพยายามที่จะเปิดตาให้สว่าง ให้ตนเองรักษาความแจ่มแจ้งของตนเองไว้ตลอดเวลา
แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเลือกแล้วว่าต้องเป็นเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนเพียงครู่เดียวก็หายลับไป หลินชิงเวยยืนอยู่ในลานเรือนมองทิศทางที่เขาจากไป นางยักไหล่แล้วหันหลังเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องของตนเอง
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วนอนลงบนเตียง นางยื่นมือหยิบจี้ชิ้นหนึ่งออกมาจากอก เป็นหยกครอบผมของเซียวเยี่ยน หลินชิงเวยมองดูอยู่เนิ่นนานจึงค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ฤดูคิมหันต์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แมลงบนต้นไม้ไม่ส่งเสียงดังตลอดทั้งวันอีกต่อไป แสงตะวันไม่อบอุ่นและแผดจ้าเช่นเคย ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวประดุจหิมะ บรรยากาศของฤดูสารทเข้าครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
ดอกเบญจมาศที่ช่างดอกไม้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพาะเลี้ยงในแปลงดอกไม้ของวังหลวง พากันประชันขันแข่งกันเบ่งบานในช่วงเวลานี้ สีสันของมันงดงามตระการตาอย่างที่สุด รูปร่างของมันมีหลายรูปแบบ ล้วนเป็นสีสันที่ดึงดูดสายตายิ่งนัก
ดอกเบญจมาศมีชื่อไม่น้อยถูกส่งมายังตำหนักฉางเหยี่ยน พวกมันถูกประดับประดาไว้ในลานเรือนของหลินชิงเวย ส่งผลให้บรรยากาศภายในเรือนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเบญจมาศที่กรุ่นกำจายออกมา ได้ยินว่านี่คือคำสั่งของเซียวจิ่น ทันทีที่มีสิ่งของดีๆ ส่งมาถึงวังหลวง เขาไม่เคยลืมเลือนที่จะส่งมาให้ตำหนักฉางเหยี่ยนชุดหนึ่งเสมอ
ในสายตาของคนนอก หลินชิงเวย เจาอี๋เหนียงเหนียงคนนี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไม่น้อย
ส่วนราชกิจล้นมือของเซ่อเจิ้งอ๋อง ย่อมต้องถึงเวลาสิ้นสุด
ขาของเซียวจิ่นหายดีขึ้นพอสมควรแล้ว เมื่อเขาอยู่คนเดียวก็สามารถยืนขึ้นมาได้ เดินไปมาในเรือนได้หลายก้าว ทว่าขาของเขายังคงอ่อนแรงอย่างยิ่ง ยังคงต้องนั่งบนเก้าอี้รถเข็นต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการที่เขาจะรับงานในมือของเซียวเยี่ยนมาทำด้วยตนเอง
ขุนนางในราชสำนักล้วนเข้าประชุมเช้าในท้องพระโรงดังเดิม หลังจากการประชุมเช้า เซียวจิ่นนั่งเก้าอี้รถเข็นไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่ออนุมัติฎีกา
ยามบ่าย ซินหรูไปนวดขาทั้งสองข้างให้กับเซียวจิ่นในตำหนักซวี่หยาง
วันนี้เซียวจิ่นเรียกตัวหลินชิงเวยให้เข้าเฝ้าที่ตำหนักซวี่หยาง น้อยยิ่งนักที่เซียวจิ่นจะใช้วิธีการเรียกตัวให้เข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการเช่นนี้ หลินชิงเวยจึงคิดว่ามีเรื่องสำคัญอันใด
ปรากฏว่าเมื่อนางไปถึงตำหนักซวี่หยาง เซียวจิ่นไม่ได้มีงานยุ่งอันใด เขาเพียงแต่มองนางด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม เซียวเยี่ยนอยู่ที่นั่นด้วย ดูแล้วเหมือนว่างงานอย่างยิ่งยวด
ยังไม่ทันรอให้หลินชิงเวยเอ่ยปากถาม เซียวจิ่นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ชิงเวย เจ้าไปสนามฝึกม้ากับเจิ้นเถิด”
“สนามฝึกม้า?”
“ใช่แล้ว อากาศดีเช่นนี้ ไม่ไปเดินเล่นที่สนามม้าก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว อีกทั้งทางซีเป่ยได้ส่งม้าเหงื่อโลหิตมาเป็นเครื่องบรรณาการ และกำลังจะเริ่มฝึก” เซียวจิ่นหันไปมองเซียวเยี่ยนแวบหนึ่ง รอยยิ้มที่ปรากฏให้เห็นนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาคมสันยิ่งขึ้น เขาขยิบตาให้หลินชิงเวย “เจิ้นขอให้เสด็จอารับปากพาเจิ้นไปดูด้วยอย่างไม่ง่ายดายเลย”
หลินชิงเวยหยักยิ้ม “ขาของฝ่าบาทยังไม่หายดีก็เริ่มจะหาวิธีการมาทรมานตนเองแล้วหรือเพคะ”
เซียวจิ่น “เจิ้นรู้ดีว่าเจิ้นยังไม่หายดี และไม่คิดจะไปขี่ม้ายิงธนูที่สนามม้า ขอเพียงแค่ไปเดินเล่นที่นั่น หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจิ้นก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือ ดังนั้นเจิ้นจึงต้องการพาเจ้าไปด้วย”
หลินชิงเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เช่นนั้นหม่อมฉันยังต้องขอบพระทัยฝ่าบาทแล้วจริงๆ เพคะ ฝ่าบาทเสด็จออกไปผ่อนคลายจิตใจย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด”
เซียวจิ่นกล่าวอย่างยินดี “เช่นนั้นเจิ้นจะให้คนไปเตรียมการ”
ที่จริงแล้วก่อนหน้าที่จะเรียกตัวหลินชิงเวยนั้น เซียวจิ่นได้ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว ย่อมมีคนไปเตรียมการ สนามม้าแห่งนี้จะบอกว่าไม่ไกลนัก ทว่าต้องใช้เวลาเดินนานพอสมควร แต่อย่างไรมิได้ออกจากวังหลวงก็เป็นพอ ภายในวังหลวงมีสนามเลี้ยงม้าโดยเฉพาะ มันถูกสร้างติดอยู่กับหน้าผาของภูเขา มีเนินเขาสูงต่ำ ในรูปทรงกลม พื้นที่โดยรวมราวๆ ยี่สิบลี้
เมื่อเริ่มแรกนั้นสนามม้าแห่งนี้นำมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคนในราชสกุล แข่งตีคลี ทว่าต่อมาความนิยมในกีฬาชนิดนี้ลดลง ราชสกุลจึงไม่ค่อยนิยมเล่นอีก สนามแห่งนี้จึงว่างมาโดยตลอด ต่อมาจึงปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับฝึกเลี้ยงม้าโดยเฉพาะ
วันนี้เซียวจิ่นสวมฉลองพระองค์สีขาวทั้งชุด บนอาภรณ์ของเขาปักลวดลายมังกรและเมฆมงคลอันวิจิตรดังเดิม เส้นผมสีดำขลับของเขาถูกรวบตรึงไว้กับเกี้ยวหยกสีขาว ส่งผลให้คนดูแล้วสดชื่นแจ่มใสและคมสันยิ่ง เมื่อเขาหัวเราะขึ้นมา ปราศจากการวางท่าของฮ่องเต้ทำให้ผู้คนใกล้ชิดด้วยอย่างง่ายดาย
ส่วนเซียวเยี่ยนสวมอาภรณ์สีม่วงเข้มทั้งชุด มิใช่อาภรณ์ชุดคลุมแขนเสื้อกว้างเหมือนยามปกติ แต่เป็นอาภรณ์พอดีตัวทั้งชุด ไม่ว่าหัวไหล่หรือปกคอเสื้อล้วนเห็นถึงเส้นสายบนอาภรณ์ชัดเจน ช่วงเอวมีผ้าคาดเอวเส้นหนึ่ง ไม่ประดับเครื่องประดับใดๆ แขนเสื้อทั้งสองข้างแคบเล็กทุกส่วนพอดีตัว อาภรณ์รีดเรียบประดุจใบมีด ส่งผลให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาประดุจหยก เหยียดตรง องอาจกล้าหาญ เส้นผมนั้นถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะ ใช้เชือกรัดผมเส้นหนึ่งรวบเอาไว้ เส้นผมเหล่านี้ปลิวพลิ้วไปด้านหลังตามการเคลื่อนไหวของเขา คิ้วทั้งคู่ของเขาเฉียงขึ้นหาเชิงผม ดวงตารูปหงส์ทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย สีหน้านั้นเพิ่มความเย็นชาสองส่วน
ได้ยินเซียวจิ่นบอกว่า ม้าเหงื่อโลหิตที่ทางซีเป่ยส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการมีทั้งหมดเก้าตัว เป็นม้าที่มีความอดทนอย่างดีเยี่ยมและมีความเร็วเป็นเลิศ เป็นม้าที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาม้าทั้งหมด ทว่าขณะเดียวกันม้าเหงื่อโลหิตก็มีอุปนิสัยเจ้าพยศ ยากแก่การฝึกให้เชื่องหรือยอมเชื่อฟัง
ม้าที่นำมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่ราชสกุลนี้ ย่อมสมควรให้คนในราชสกุลเป็นเจ้าของจึงจะถูกต้องเหมาะสม มองจากการแต่งกายของเซียวเยี่ยนในวันนี้ ที่แท้เขาต้องมาฝึกม้าด้วยตนเองที่สนามม้า
หลินชิงเวยแอบรอคอย คิดว่าวันนี้คงได้เปิดหูเปิดตา