เมื่อไปถึงสนามม้าแล้วมองไกลออกไป พื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มกว้างใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของตนราวกับยาวไปถึงขอบฟ้า สนามม้ากว้างขวางใหญ่โตจริงๆ เนินดินล้วนมีขึ้นและลง อย่างไรมองไปแล้วไม่เห็นขอบสนาม
หลินชิงเวยเห็นม้าหนุ่มกำลังวิ่งทะยานอยู่ในสนามฝึกม้า ฝูงม้าหนุ่มวิ่งผ่านไปราวกับเหาะได้ เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินเต็มไปด้วยพละกำลัง ครูฝึกม้านั่งอยู่บนหลังม้าสี่ตัวแรกที่อยู่ข้างหน้าสุด ทำหน้าที่ควบคุมการฝึกม้าทั้งฝูง
ม้าที่อยู่ในคอกทั้งหมดล้วนเป็นม้าสายเลือดดีที่ทางราชสกุลเลี้ยงเอาไว้ ต่อให้เป็นม้าที่มีนิสัยพยศจัดก็ต้องฝึกให้มีความอ่อนโยนและเชื่อฟัง
ครูฝึกม้ามีตารางการนำม้าออกมาปล่อยและฝึกในทุกๆ วัน หาไม่แล้วทักษะและความสามารถในการวิ่งของพวกมันก็จะถูกการเลี้ยงอย่างดี กระทั่งทำให้ความสามารถนั้นลดลง
ครูฝึกม้าเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญชำนาญอย่างเห็นได้ชัด การสั่งการควบคุมฝูงม้าล้วนเป็นระเบียบ พวกเขาฝึกม้าวิ่งไปมาฝูงแล้วฝูงเล่า หลินชิงเวยพลันรู้สึกเบิกบานใจขึ้นมา
ฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ คนในสนามฝึกม้าทั้งหมดล้วนต้องมารับเสด็จ พวกเขาต้อนม้ากลับเข้าไปในคอกแล้วทยอยกันออกมาคุกเข่าถวายคำนับ
เซียวจิ่นไม่ได้ทำให้การทำงานของพวกเขาหยุดชะงัก แต่ให้พวกเขาไปทำงานในมือของตนเองต่อไป
เมื่อเซียวเยี่ยนแยกออกไป เขาพูดกับหลินชิงเวยว่า “เจ้าพาฝ่าบาทไปดูอยู่รอบนอกเถิด อย่าไปตรงกลาง อันตราย”
เซียวจิ่น “เสด็จอาวางใจเถิด เจิ้นดูอยู่ที่นี่”
หลังคาด้านบนศีรษะบดบังแสงตะวันแผดจ้าที่ทิ่มแทงสายตา เซียวจิ่นและหลินชิงเวยนั่งอยู่ในร่มเงา นางกำนัลและขันทีเข้ามาปรนนิบัตินำผลไม้และของว่างมาขึ้นโต๊ะ
หลินชิงเวยและเซียวจิ่นกินองุ่นด้วยกัน ชื่นชมม้าหนุ่มและสนามหญ้าอันกว้างขวางเบื้องหน้า รู้สึกว่าจิตใจเบิกบานสดชื่นอย่างยิ่ง
เซียวจิ่นพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ชิงเวย อีกประเดี๋ยวรอให้ม้าเหงื่อโลหิตออกมา เจ้าจะรู้ว่าอะไรเรียกว่าม้าสายเลือดดีอย่างแท้จริง”
ต่อมาหลินชิงเวยอดใจรออยู่พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องของม้าดังขึ้นจากคอกม้าตรงกลาง ครูฝึกม้าทั้งหลายต่างพากันหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง ต่อมามีม้าตัวหนึ่งพุ่งทะยานออกมา ม้าตัวที่สองและสามจึงตามติดมา
พวกมันวิ่งทะยานไปข้างหน้าท่ามกลางแสงตะวัน หลินชิงเวยนับม้าในสนาม ไม่มากไม่น้อยเก้าตัวพอดี ขนของพวกมันเป็นมันวาววับ เมื่อถูกสาดส่องด้วยแสงตะวันทำให้เห็นเป็นสีเข้มและสีอ่อน จากสีแดงเข้มไปถึงสีน้ำตาลอ่อน ที่สำคัญก็คือต่อให้หลินชิงเวยไม่รู้เรื่องม้า เพียงแค่มองปราดเดียวก็สามารถมองออกว่าม้ากลุ่มนี้ที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกและม้าหนุ่มอีกหลายกลุ่มก่อนหน้านี้แทบจะเป็นม้าคนละชนิดกันเลยทีเดียว
พวกมันแต่ละตัวดูแล้วแข็งแรงทรงพลัง ยามพวกมันควบฝีเท้าวิ่งนั้นเต็มไปด้วยพลัง กล้ามเนื้อ อีกทั้งร่างกายของพวกมันกระเพื่อมไหวท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า ขนบนศีรษะของมันทอประกายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความคึกคะนอง อีกทั้งพวกมันยังไม่เคยถูกฝึกมาก่อน ทันทีที่ออกมาจากคอกม้ามันจึงคึกคะนองราวกับม้าป่า ลากก็ลากไม่อยู่ กระทั่งครูฝึกม้าก็ยังต้องหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง
หลินชิงเวยเห็นร่างในอาภรณ์สีม่วงเหินกายกลางอากาศจากนั้นลงสู่หลังม้าตัวสุดท้ายอย่างแม่นยำ ไม่ใช่เซียวเยี่ยนแล้วจะเป็นผู้ใดได้ หลินชิงเวยหรี่ตาลง เห็นในมือของเขาถือแส้เส้นหนึ่ง ม้าตัวที่เขาควบอยู่นั้นดูเหมือนไม่พอใจและขุ่นเคืองอย่างที่สุดเมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนนั่งอยู่บนหลังของมันอย่างกะทันหัน เริ่มแรกมันวิ่งโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างคลุ้มคลั่ง แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจสลัดให้เซียวเยี่ยนตกจากหลังของมันได้
ทว่าหลินชิงเวยดูแล้วรู้สึกว่าอันตรายเกินไป นี่หากเพียงแค่ไม่ทันระวังสักนิด ย่อมต้องถูกเกือกม้าเหยียบตายอย่างไม่มีทางรอดเป็นแน่
“เมื่อก่อนเสด็จอาเคยฝึกม้ามาก่อนหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่น “เคยฝึกมาก่อน แต่น่าจะเป็นหลายปีก่อนหน้านี้กระมัง”
“หลายปีก่อน? เช่นนั้นเขายังกล้าขึ้นไปขี่”
เซียวจิ่นหันมายิ้มอบอุ่นและมองประเมินหลินชิงเวย “เจ้าเป็นห่วงเสด็จอาหรือ”
“ฝ่าบาทไม่ทรงห่วงหรือเพคะ”
เซียวจิ่นส่ายหน้า “ไม่เป็นห่วง เสด็จอาไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ”
ต่อมาหลินชิงเวยเห็นขาทั้งคู่ของเซียวเยี่ยนเหยียบลงบนหลังม้าแล้วเหินกายขึ้นกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว ม้าตัวแล้วตัวเล่า เขาควบขี่บนหลังม้าทุกตัวเป็นระยะทางหนึ่ง ในที่สุดก็นั่งลงบนหลังม้าหนุ่มตัวข้างหน้าสุด
เซียวเยี่ยนใช้แส้ม้าควบคุมม้าหนุ่ม ขาทั้งสองข้างของเขาหนีบลงบนท้องม้า ม้าหนุ่มตัวนั้นคลุ้มคลั่งถึงขีดสุด มันยกเท้าข้างหน้าทั้งสองขึ้นเงยแหงนร่างของตนไปด้านหลังด้วยคิดจะสลัดเซียวเยี่ยนให้ตกจากหลังของมันให้ได้ มันพบว่ามันสลัดไม่หลุด ดังนั้นจึงโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ฝูงม้าหนุ่มวิ่งขึ้นไปบนเนินดินข้างหน้าเพียงพริบตา แล้ววิ่งลงจากเนินดินไป จากนั้นมองไม่เห็นแม้แต่เงา หลินชิงเวยได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าอันหนักแน่นค่อยๆ ห่างไกลออกไป
หลินชิงเวยคิดในใจว่าในเมื่อเซียวจิ่นยังไม่เป็นห่วง เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงกระมัง ในเมื่อเซียวเยี่ยนมีความสามารถที่แท้จริง เขาย่อมไม่ทำเรื่องที่ตนไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นนางจึงนั่งลงชื่นชมทิวทัศน์และกินของว่างข้างกายเซียวจิ่นอย่างสบายอกสบายใจ
เซียวจิ่นพลันพูดขึ้นมาว่า “ชิงเวย เจิ้นอยากขี่ม้า”
หลินชิงเวยเกือบจะสำลักเมล็ดองุ่น นางกลืนลงไปอย่างยากลำบากแล้วจึงถามว่า “ฝ่าบาทขี่ม้าเป็นหรือไม่เพคะ?”
เซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “เจ้าเห็นเจิ้นตั้งแต่เกิดมาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น เจ้าว่าเจิ้นขี่ม้าเป็นหรือไม่ล่ะ”
หลินชิงเวย “…เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทยังคิดจะขี่ม้าอีก ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิดเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากเรียนขี่ม้าหรือไม่?”
หลินชิงเวย “หากมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องไม่เลวเพคะ”
“เช่นนั้นหากเจ้ายอมให้เจิ้นขี่ม้าสักครู่ อีกประเดี๋ยวเจิ้นจะอนุญาตให้เจ้าเรียนขี่ม้า เป็นอย่างไรเล่า?”
“ไม่เป็นอย่างไรเพคะ”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่เซียวจิ่นเป็นถึงฮ่องเต้ คิดจะทำอะไรยังต้องให้หลินชิงเวยเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ เขาพูดเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติหลินชิงเวยอย่างมากแล้ว หลินชิงเวยไม่ใช่เซ่อเจิ้งอ๋อง นางไม่อาจห้ามไม่ให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่สำคัญคือหากเป็นการขี่ม้าเดินไปรอบๆ หลินชิงเวยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ดังนั้นครูฝึกม้าจึงจูงม้าสีขาวนิสัยอ่อนโยนยิ่งยวดมาตัวหนึ่ง เป็นม้าที่ชี้ให้มันไปทางตะวันออกมันก็จะไม่ไปทางตะวันตกเด็ดขาด ให้มันหยุดมันก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าแม้สักก้าว
ภายใต้การช่วยเหลือของครูฝึกม้าและหลินชิงเวย เซียวจิ่นจึงขึ้นไปนั่งบนหลังม้าได้สำเร็จ ขาทั้งคู่ของเขาห้อยอยู่ข้างท้องม้าแต่ละด้าน ไม่มีอุปสรรคอันใด
เซียวจิ่นขี่ม้าเป็นครั้งแรก หลินชิงเวยจูงม้าเดินไปรอบๆ สนามหญ้าสองรอบ สีหน้าของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
เขาพูดขึ้นว่า “รอให้เจิ้นหายดีเสียก่อน จะต้องให้เสด็จอาสอนให้เจิ้นขี่ม้า เจิ้นอยากควบม้าเร็วเพียงใดก็ควบให้เร็วเพียงนั้น”
ต่อมาหลินชิงเวยได้ยินเสียงควบม้าลอยมาจากไกลๆ จึงรีบพูดขึ้นว่า “เสด็จอาจะกลับมาแล้ว” เซียวจิ่นมีสีหน้าร้อนตัวอยู่สองส่วน หลินชิงเวยจูงม้าสีขาวนั้นมาถึงด้านข้างประคับประคองเขาลงมาจากหลังม้า คนทั้งสองรีบเดินเข้าไปนั่งรออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยใต้หลังคา นั่งกินและดื่มต่อไป
ปรากฏว่าทันทีที่นั่งลงก็มองเห็นเซียวเยี่ยนขี่ม้าเข้ามา ด้านหลังของเขาคือฝูงม้าเหล่านั้น กำลังมุ่งหน้ากลับมาทางนี้ หลินชิงเวยและเซียวจิ่นต่างมองตากันแล้วหัวเราะขึ้นมา โชคดีที่เมื่อสักครู่ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว หาไม่แล้วหากเซียวเยี่ยนพบเข้าย่อมต้องถูกอบรมอีกเป็นแน่
เซียวเยี่ยนนำพาฝูงม้าควบกลับไปกลับมาในสนามม้าหลายต่อหลายรอบ ฝูงม้าเหงื่อโลหิตค่อยๆ ยอมรับความจริงทีละน้อยในที่สุด ดูเหมือนพวกมันไม่ต่อต้านเซียวเยี่ยนอย่างรุนแรงอีก ดูท่าแล้วม้าเหล่านี้มีนิสัยรังแกคนอ่อนแอเกรงกลัวคนแข็งแกร่งเช่นกัน พวกมันมีความกล้าหาญ แต่เมื่อพวกมันได้พบกับเจ้านายที่มีความกล้าหาญกว่าพวกมัน พวกมันจึงได้แต่ยอมศิโรราบ
หลินชิงเวยเห็นกล้ามเนื้อกระเพื่อมไหวของม้าและเหงื่อที่สะท้อนเป็นเงาแวววับ พวกมันวิ่งระยะทางไกลเยี่ยงนี้ ไปมาน่าจะมีระยะทางหลายสิบลี้ ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงหอบหายใจแม้แต่น้อย ม้าแต่ละตัวล้วนเป็นม้าที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
เซียวเยี่ยนพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย อาภรณ์ของเขาพลิ้วปลิวสะบัด สายลมสายหนึ่งพัดขึ้นมาจากสนามหญ้า ราวกับมันพัดผ่านสนามหญ้าสีเขียวชอุ่ม ไม่เพียงแต่พัดให้ชายอาภรณ์ของเขาสะบัดพลิ้ว แต่ยังพัดให้เส้นผมสีดำขลับบนไหล่ของเขาปลิวไปด้วย