เขามุ่งหน้าเดินมาทางนี้ด้วยท่าทีไม่รีบร้อน มือทั้งสองข้างแนบข้างกาย อาภรณ์พอดีตัวสีม่วงนั้นทำให้เห็นเส้นสายรูปร่างของเขาชัดเจน สีหน้าท่าทางนั้นเย็นชา หลินชิงเวยมองดูแล้วพลันรู้สึกร้อนรุ่ม กระทั่งตัวนางเองก็ยังมิอาจต้านทานได้ ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยในเมืองหลวงเหล่านั้นเมื่อพบเห็นเซ่อเจิ้งอ๋องผู้ซึ่งรูปงามและกล้าหาญองอาจเช่นนี้แล้วจะเลือดกำเดาไหลหรือไม่
หลังจากเซียวเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้รับรู้ได้ถึงกลิ่นของธุลีดินสองส่วน นางกำนัลก้าวเข้ามาส่งผ้าขนหนูเปียกให้ เขาค่อยๆ เช็ดหน้าและเช็ดมือทั้งคู่ของตนเอง
เซียวจิ่นกล่าวชื่นชม “เสด็จอาเก่งกาจจริงๆ แม้กระทั่งม้าป่าก็ยังฝึกจนมันยอมศิโรราบ”
เซียวเยี่ยน “ข้าเพียงแต่ใช้กำลังมากสักหน่อยเท่านั้น ใช้กำลังควบคุมกำลัง” เขามองไปยังม้าสีขาวที่ยังไม่ทันได้จูงกลับไปแล้วถามขึ้นว่า “ม้าตัวนี้เอามาทำอันใดกัน”
เซียวจิ่นมองหลินชิงเวย หลินชิงเวยมองเซียวจิ่น ยังไม่รอให้หลินชิงเวยปริปาก เซียวจิ่นก็พูดว่า “อ้อ ชิงเวยบอกว่านางอยากเรียนขี่ม้า เจิ้นจึงให้คนเลือกม้านิสัยอ่อนโยนที่สุดออกมาตัวหนึ่งให้นางฝึก”
หลินชิงเวย “…” นี่ ท่านจะผลักภาระความรับผิดชอบให้ผู้อื่นได้รวดเร็วเกินไปแล้วนะ
เซียวเยี่ยนมองม้าสีขาวตัวนั้นแล้วหันมามองหลินชิงเวยพลันคิดว่าการให้นางเรียนขี่ม้าก็เป็นเรื่องไม่เลวทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรเท่ากับเป็นการเห็นด้วยโดยปริยาย
เซียวจิ่นจึงรีบเอ่ยขึ้นอีกว่า “เสด็จอา หากท่านมีเวลาช่วยสอนชิงเวยขี่ม้าได้หรือไม่?”
“ได้”
หลินชิงเวยตวัดสายตามองเซียวจิ่น ฝ่าบาทพระองค์ช่างไร้มโนธรรม
เซียวจิ่นยิ้มตอบ : เจิ้นมิใช่พูดแล้วหรือ เจ้าให้เจิ้นขี่ม้า เจิ้นก็จะให้เจ้าเรียนขี่ม้า ไม่ใช่ยุติธรรมอย่างยิ่งหรอกหรือ
หลินชิงเวยพลันรับรู้ได้ว่าทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเซียวจิ่นได้วางหมากให้เดินตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อนางสังเกตสีหน้าอันอบอุ่นไร้พิษสงของเขาอีกครั้ง กลับคิดว่าตัวเองคิดมากเกินไป
เซียวจิ่นพูดว่าไม่บีบบังคับฝืนใจผู้อื่น แต่เขาย่อมไม่ใจกว้างถึงขนาดจับคู่ให้นางและเซียวเยี่ยนอยู่ด้วยกันกระมัง ดังนั้นย่อมต้องเป็นนางที่มองผิดไป
เซียวเยี่ยนนั่งพักครู่หนึ่ง เขาดื่มน้ำไปสองถ้วยแล้วหันมาพูดกับหลินชิงเวยว่า “ขึ้นมาเถิด”
“…” หลินชิงเวยตัวแข็ง “เสด็จอาไม่ต้องพักผ่อนอีกสักหน่อยหรือเพคะ”
“ไม่ต้อง”
หลินชิงเวยจนด้วยคำพูด แม้ที่แห่งนี้ รวมนางด้วยแล้วจะมีเจ้านายอยู่สามพระองค์ ทว่าไม่ดูเสียบ้างว่ามีนางกำนัลและขันทีมากมายคอยปรนนิบัติเซียวจิ่น มีสายตามากมายเช่นนี้จับจ้องนางขี่ม้า คาดว่าหากถูกสลัดลงมาก็เป็นเรื่องขายหน้าอย่างที่สุดกระมัง
เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีสงบนิ่งของเซียวเยี่ยนแล้ว ราวกับการที่เขาหาเวลามาสอนให้นางขี่ม้าด้วยตนเองได้ถือเป็นวาสนาอย่างที่สุดของนางเยี่ยงนั้น!
กระทั่งเซียวจิ่นที่อยู่ด้านข้างก็ยังให้กำลังใจ “ชิงเวย ไปเถิด ไม่ต้องกลัว หาได้ยากนักที่เสด็จอาจะมาชี้แนะเจ้าด้วยตัวเอง”
หลินชิงเวย “หม่อมฉันไม่ได้กลัวเพคะ แต่ฝ่าบาทเพคะ ให้นางกำนัลและขันทีของพระองค์หลบไปสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ ให้พวกเขาเห็นเรื่องน่าอายของหม่อมฉัน ต่อไปหม่อมฉันจะยังเหลือศักดิ์ศรีหรือเพคะ”
เซียวจิ่นได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ชิงเวย ที่แท้เจ้าก็เกรงว่าจะทำเรื่องน่าอาย” ต่อมาเขาจึงโบกไม้โบกมือ นางกำนัลทั้งหมดจึงถอยออกไปเฝ้าอยู่ด้านนอกสนามม้า ในสนามม้าจึงเหลือเพียงสองอาหลานและหลินชิงเวย ยังมีครูฝึกม้าบางส่วนที่ยังทำงานอยู่
หลินชิงเวยจูงม้าสีขาวตัวนั้นไปข้างหน้าห่างออกมาเล็กน้อย แม้ม้าสีขาวตัวนี้จะไม่สูงนักแต่ตัวนางเองก็ไม่ได้สูงนี่นา คิดจะปีนขึ้นไปก็ยังยากลำบาก นางรีบให้ครูฝึกม้ายกแท่นเหยียบมาให้นาง
คนฝึกม้าไม่กล้ารีรอ รีบไปหยิบแท่นเหยียบตัวหนึ่งมาให้ทันที แต่ยังไม่ทันได้วางลงข้างเท้าหลินชิงเวย กลับได้ยินเซียวเยี่ยนพูดขึ้นว่า “นำแท่นเหยียบกลับไป ไม่พึ่งพาตนเองขึ้นหลังม้าก็ไม่ต้องคิดที่จะเรียนขี่ม้าตลอดไป ด้านล่างอานม้ามีที่เหยียบ เจ้าเหยียบที่เหยียบแล้วปีนขึ้นไป”
หลินชิงเวยหันไปถลึงตาใส่เซียวเยี่ยนครั้งหนึ่ง
กระทั่งเซียวจิ่นก็พูดว่า “อื้อ เจิ้นคิดว่าเสด็จอากล่าวถูกต้อง”
เซียวเยี่ยนไม่มีความคิดจะไปช่วยเหลือหลินชิงเวยแม้แต่น้อย เพียงแต่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบและพูดจาชี้แนะประโยคสองประโยคเป็นบางครั้ง หลินชิงเวยได้แต่พยายามเหยียบที่เหยียบแล้วปีนขึ้นไปบนหลังม้าด้วยตนเอง แรกเริ่มล้มเหลวหลายครั้ง หลินชิงเวยยังไม่ทันได้เริ่มขี่ม้าก็แทบจะตกลงมาอยู่แล้ว ทั้งที่ม้าสีขาวตัวนั้นอ่อนโยนอย่างที่สุดไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ อย่างมากเมื่อหลินชิงเวยดึงรั้งทำให้มันเจ็บมันก็แค่สะบัดหางแล้วส่งเสียงฟึดฟัดสองครั้ง
แม้หลินชิงเวยจะไม่เคยขี่ม้าเพียงลำพัง แต่ดีชั่วอย่างไรก็เคยนั่งบนหลังม้าสองหน ถือได้ว่ามีประสบการณ์เล็กน้อย ดังนั้นหลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้งนางพยายามใหม่จนขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าได้สำเร็จในที่สุด ในมือของนางกุมสายบังเหียนเอาไว้ ม้าสีขาวพานางเดินวนไปรอบๆ ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะออกวิ่งไปหรือหยุดลงควรทำอย่างไร
เซียวจิ่นเห็นแล้วจึงอดจะร้อนใจไม่ได้ “เสด็จอา ท่านไปช่วยนางสักหน่อยเถิด”
เซียวเยี่ยนจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหลินชิงเวย จากมุมที่เซียวจิ่นนั่งอยู่เห็นเซียวเยี่ยนยืนอยู่ข้างม้าสีขาว หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองหน้าเซียวเยี่ยน และเซียวเยี่ยนกำลังพูดกับนางเนิบๆ พร้อมกับสาธิตให้ดู หลินชิงเวยบังคับให้ม้าเดินไปหลายก้าว หนีบท้องม้าให้มันเพิ่มความเร็วขึ้น และใช้แรงที่ขาและเอวควบคุมทิศทางของม้า เมื่อต้องการให้มันหยุดต้องดึงสายบังเหียนกลับมาเพื่อสื่อสารความคิดของตนเอง
ดูท่าแล้วหลินชิงเวยและม้าของนางร่วมมือกันได้ไม่เลวทีเดียว ส่วนเซียวเยี่ยนเองได้ให้การชี้แนะได้ตรงจุดยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นจางหายไป เขาไม่อยากทำเช่นนี้เลย
ทว่าเขายังคงตัดสินใจทำเช่นนี้ วิธีการเดียวที่จะทำให้เขาไม่เป็นทุกข์ก็คือไม่หันไปมอง เมื่อหลินชิงเวยสามารถควบคุมบังคับให้ม้าสีขาววิ่งไปรอบๆ สนามม้า เซียวจิ่นพลันเรียกขันทีและนางกำนัลเข็นเก้าอี้รถเข็นของเขาเตรียมจะออกจากที่นี่
ปรากฏว่าถูกเซียวเยี่ยนพบเห็นเข้าเสียก่อน
เซียวเยี่ยน “ฝ่าบาทจะเสด็จกลับแล้วหรือ ข้าจะไปเรียกหลินเจาอี๋กลับมา”
เซียวเยี่ยนมองเงาร่างอรชรที่อยู่ไม่ไกลนัก “เสด็จอาไม่ต้องเรียกนาง เจิ้นเห็นนางเรียนอย่างมีความสุข ให้นางอยู่ที่นี่อีกสักพักเถิด เสด็จอารับผิดชอบสอนนาง อย่าให้นางตกลงมาเป็นพอ เจิ้นเพียงแต่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงกลับวังก่อน”
ปรากฏว่าทันทีที่สิ้นเสียง หลินชิงเวยก็ควบคุมม้าวิ่งมาทางนี้ และดึงบังเหียนม้าให้หยุดห่างจากเซียวจิ่นสามก้าว ยามนั้นเซียวจิ่นราวกับมองเห็นบางสิ่งบางอย่างบนใบหน้าของหลินชิงเวยซึ่งยามปกติเขามองไม่เห็น
นางมองหาสิ่งใดเล่า มองหาแผ่นดินท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล หรือมองหาความอิสรเสรีที่ไร้ขอบเขต
ไม่รอให้หลินชิงเวยเอ่ยปาก เซียวจิ่นพูดพร้อมรอยยิ้ม “ชิงเวย เจ้ามีพรสวรรค์ยิ่งนัก เพิ่งจะเรียนเพียงครู่เดียวก็เรียนรู้ได้ไม่เลว เจิ้นนั่งดูอยู่ที่นี่รู้สึกง่วงนอนอยู่บ้าง ไม่สู้กลับไปอ่านฎีกาในวัง เจิ้นคิดจะกลับไปก่อน ให้เสด็จอาอยู่ที่นี่สอนเจ้าต่อ”
พูดแล้วเซียวจิ่นก็ให้นางกำนัลและขันทีเข็นเขาออกไป หลินชิงเวยมองเงาร่างสีขาวของเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี จึงได้แต่พูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
สีหน้าของเซียวจิ่นมองไม่ออกถึงความไม่ยินดี เขาหันกลับมาพูดกับหลินชิงเวยอย่างจริงจัง “ไม่ต้องขอบใจเจิ้น นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับ”
หลังจากเซียวจิ่นออกไป หลินชิงเวยขึ้นม้าและควบม้าในสนามม้า ทว่านางหมดความสนใจลงอย่างรวดเร็ว ม้าตัวนี้ถูกฝึกมาดีเกินไป วิ่งได้ไม่เร็ว แต่มีนิสัยสุขุมอย่างที่สุด หลินชิงเวยเรียนรู้ทักษะในการขี่ม้าแล้ว ย่อมยินดีที่จะเลือกม้าตัวใหญ่สักหน่อย เมื่อควบฝีเท้าวิ่งขึ้นมาย่อมเร็วขึ้น อีกทั้งต่อไปเมื่อมีความจำเป็นต้องขี่ม้าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะได้พบกับม้าผู้มีนิสัยอ่อนโยนเช่นม้าสีขาวทุกตัว หากนางเรียนรู้แค่ขี่ม้าเป็นแต่มิอาจควบคุมม้าได้ นั่นเท่ากับนางไม่ได้ขี่ม้าเป็นอย่างแท้จริง
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงพูดกับเซียวเยี่ยนว่า “ท่านเปลี่ยนม้าให้ข้าสักตัวเถิด”