เซียวเยี่ยนคาดเอาไว้แล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ จึงไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย อีกทั้งเขากระจ่างแจ้งดีว่าการให้หลินชิงเวยขี่ม้าวนไปมาในสนามม้าตลอดทั้งบ่าย ย่อมเรียนรู้อันใดไม่ได้
เซียวเยี่ยน “อีกประเดี๋ยวไปที่คอกม้า เจ้าเลือกม้าออกมาขี่ด้วยตัวเองเถิด”
“ได้”
ปัญหาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลินชิงเวยยังนั่งอยู่บนหลังม้า นางถามว่า “ข้าจะลงไปอย่างไรเล่า?”
“ขึ้นไปอย่างไรก็ลงมาเช่นนั้น”
“…” หลินชิงเวยเหยียบที่เหยียบเตรียมจะลงจากหลังม้า แต่ครั้งนี้นางกลับไม่ได้เหยียบอย่างมั่นคง นางยังไม่ได้เหยียบให้มั่นก็กระโดดลงมาจึงหกล้มลงไปก้นกระแทกพื้น นางประคองเอวของตนพร้อมกับสูดปาก
หลินชิงเวยไม่ได้โอดครวญ หากไม่ล้มสักครั้งสองครั้งจะเรียนรู้จนเป็นได้อย่างไร
หลินชิงเวยนวดก้นของตนพร้อมกับเดินตามหลังเซียวเยี่ยนไปคอกม้า ภายในคอกม้ากว้างใหญ่มาก คอกม้าข้างในกั้นเป็นเป็นแถวๆ ม้าแต่ละตัวล้วนเป็นม้าลักษณะดี
หลินชิงเวยไม่ได้เลือกม้าตัวที่ดีที่สุด นางเพียงแต่เลือกตัวที่นางเห็นแล้วถูกชะตา
ดังนั้นเมื่อเดินดูรอบหนึ่ง นางจึงเลือกม้าลักษณะสูงใหญ่กว่าม้าสีขาวเล็กน้อย เป็นม้าหนุ่มขนสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่ง
เมื่อนางจูงม้าออกมาจึงเห็นว่าขนม้าตัวนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อนตลอดทั้งตัว ยิ่งดูยิ่งถูกชะตา นางยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของมัน ม้าหนุ่มร้องเสียงฟึดฟัดขึ้นครั้งหนึ่งไม่ยอมให้นางลูบและดูเหมือนรังเกียจนางอย่างยิ่ง
หลินชิงเวยไม่ยอมแพ้จึงพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อที่จะลูบใบหน้าของมันให้ได้ “เลือกเจ้าเพราะให้เกียรติเจ้า เจ้ายโสโอหังเช่นนี้ต่อไปจะเสียเปรียบรู้หรือไม่”
เซียวเยี่ยนออกมาจากคอกม้าตามหลังมา เห็นเพียงหลินชิงเวยกำลังพยายามปีนขึ้นไป นางลองปีนขึ้นไปสองครั้งไม่สำเร็จและขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสำเร็จในครั้งที่สาม
ม้าตัวนี้ดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างที่ควรจะเป็น
โดยทั่วไปแล้วหากมือใหม่ต้องการจะขี่ม้าตัวหนึ่งย่อมต้องผ่านการฝึกฝนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียก่อน แต่ดูท่าแล้วหลินชิงเวยและมันต่างเข้ากันได้ดีพอสมควร เซียวเยี่ยนจึงไม่ได้กังวลจนเกินเหตุ
ความรู้สึกที่หลินชิงเวยขี่ม้าตัวแรกกับตัวนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางดูเหมือนได้นั่งอยู่ในมุมที่สูงขึ้น มองเห็นได้ไกลขึ้น จึงควบคุมให้ม้าวิ่งออกไปบริเวณใกล้เคียงสองรอบด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
แต่เซียวเยี่ยนคาดการณ์ผิดพลาด กระทั่งหลินชิงเวยก็ยังไม่รู้ตัว
ม้าที่เลือกมานั้นเป็นม้าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง มันมิใช่ต่อต้านไม่เป็น แต่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
ขณะที่หลินชิงเวยกำลังปลอดโปร่งโล่งใจ นางเตรียมจะหันหัวม้าควบกลับมาหาเซียวเยี่ยน ในขณะนั้นเอง ม้าตัวนี้พลันไม่เชื่อฟังหลินชิงเวยขึ้นมา ไม่ว่าจะสั่งการอย่างไร มันกลับเงยหน้าขึ้นร้องคำรามสองครั้งอย่างหยิ่งผยอง ตะกุยตะกายเกือกม้า ถึงกับนิสัยแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าอารมณ์ขี้โมโห
หลินชิงเวยควบคุมมันไม่ได้ เกือบจะถูกมันสลัดลงจากหลังม้าหลายครั้งหลายครา เซียวเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงส่งเสียงเข้มงวด “หมอบตัวลงพยายามแนบชิดไปกับหลังม้า” พูดแล้วเขาก็ออกวิ่งไปหาหลินชิงเวย
ทันทีที่สิ้นเสียง ม้าตัวนั้นพุ่งกระโจนออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
หลินชิงเวยด่าทอด้วยเสียงอันดัง “ให้ตายสิ เจ้าเจตนากระมัง! ข้าถอนคำพูดประโยคนั้นคืนมาก็ได้!” เสียงของนางถูกสายลมพัดผ่านไปไกลแสนไกล
เซียวเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งเข้าไปในคอกม้า เขาควบม้าเหงื่อโลหิตตัวหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขานั่งอยู่บนอานม้า ควบม้าหนุ่มฝีเท้าจัดไปข้างหน้าด้วยความเร็วไม่สามัญ กระทั่งมุ่งหน้าไล่ตามหลินชิงเวย
สายลมหวีดหวิวเข้ามาในโสตประสาท ทิวทัศน์เบื้องหน้าผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็ว เส้นผมของหลินชิงเวยถูกพัดปลิวสะบัดไปด้านหลัง มือของนางกุมบังเหียนและกำแผงคอม้าไว้แน่น ได้แต่ลอบก่นด่าในใจ
ข้าก็แค่ขี่เจ้าครู่เดียวเท่านั้นเอง ไม่ทำให้เจ้าตั้งครรภ์สักหน่อย เจ้าจะคลุ้มคลั่งเยี่ยงนี้เพื่ออะไร! เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ กลับเลือกเวลาที่ข้าไม่ทันตั้งตัวมาคลุ้มคลั่ง แสดงให้เห็นว่าได้คิดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว!
พายุสายลมพัดเข้ามาในโพรงจมูกของหลินชิงเวย หากมิใช่ด้วยนางจะพูดจาก็ยังติดขัดไม่ราบรื่น นางคงก่นด่าออกมาแล้ว หากทำได้นางอยากจะใช้มือทั้งคู่ของตนบีบคอม้า บีบมันให้ตายไปเลย!
จนปัญญาที่คอม้าใหญ่เหลือเกิน นางต้องการชีวิตเล็กๆ ของตนคืนมานี่นา จึงได้แต่จินตนาการเท่านั้น
หลินชิงเวยถูกม้าพาให้วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่นางยังคงจับสายบังเหียนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ในใจคิดเพียงว่ารอให้ม้าเจ้าเล่ห์ตัวนี้วิ่งจนเหนื่อยมันคงหยุดเอง ถึงเวลานั้นค่อยสั่งสอนมัน
เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันวิ่งไปถึงที่ใด หยุดลงเมื่อใด ถึงเวลานั้นยังจะหาทางกลับมาได้หรือไม่?
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรองลงมา ลำดับแรกคือต้องรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ค่อยว่ากัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ไม่รู้ว่ามาถึงที่ใดแล้ว เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเบื้องหลัง หลินชิงเวยเกิดความคิดขึ้นจึงหันกลับไปทันที สายลมพัดเส้นผมด้านหลังของนางปลิวสะบัด บดบังดวงหน้าของนาง ทำให้นางมองไม่ค่อยชัดเจน นางมองผ่านเส้นผมของตนเองเห็นเพียงเลือนรางว่ามีคนคนหนึ่งขี่ม้าไล่มาทางนี้
เป็นเซียวเยี่ยน!
ม้าของหลินชิงเวยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของม้าเหงื่อโลหิตของเซียวเยี่ยน ระยะห่างระหว่างม้าทั้งสองตัวค่อยๆ ลดลง เซียวเยี่ยนไล่ตามมาทันหลินชิงเวย และปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินชิงเวย
กระทั่งถึงวินาทีนี้ มือของหลินชิงเวยและจิตใจที่ระส่ำระสายของหลินชิงเวยพลันสงบลง มาตรว่าเซียวเยี่ยนสามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นาง กระทั่งความหวาดกลัวในจิตใจก็พลันอันตรธานไปสิ้น นางรับรู้ได้ถึงสายลมพัดแรง ยังมีผืนหญ้าสีเขียวที่ผ่านตาไปช่างระทึกใจเหลือเกิน
เซียวเยี่ยนจดจ่อสมาธิอยู่ที่นาง มองมาทางนางเป็นพักๆ “อย่ามองข้างหน้า มองออกไปไกลๆ”
หลินชิงเวยค่อยๆ เงยหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ลมพัดเสียจนนางไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ ดวงตาของนางหรี่หลงเหลือเพียงช่องว่างเล็กๆ จากนั้นมองออกไปไกลๆ เห็นเพียงสนามม้าที่เป็นเนินขึ้นลง คล้ายกับคลื่นน้ำสีเขียวมรกตเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา ไม่จดจ่ออยู่ที่เสียงฝีเท้าอีกต่อไป คลองจักษุของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง
ดูเหมือนนางจะเรียนรู้เคล็ดลับอย่างหนึ่ง
ม้าตัวนั้นควบฝีเท้าเต็มกำลัง เมื่อหลินชิงเวยคิดได้เช่นนี้ มันก็วิ่งไปถึงยอดเนินแห่งหนึ่ง ต่อมาเบื้องหน้าก็เป็นเนินยาวๆ แต่ละลูกทอดยาวต่อๆ กัน
หลินชิงเวยรู้สึกเหมือนตนเองนั่งอยู่บนรถชมภูเขา ม้าฉวยโอกาสที่นางไม่ทันได้ป้องกัน มันวิ่งทะยานออกไปยังเนินข้างล่างด้วยความคลุ้มคลั่ง หลินชิงเวยร้องเรียกเสียงดัง ร่างของนางสูญเสียการควบคุมไถลลงไป ความรวดเร็วนั้นเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว
นี่จึงจะเป็นอันตรายอย่างแท้จริง นางรับรู้ได้ว่านางอาจถูกสลัดลงจากหลังม้าได้ตลอดเวลา
“เซียวเยี่ยน–”
ความเร็วของเซียวเยี่ยนไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ม้าสองตัวราวกับวิ่งเสมอกันระหว่างที่วิ่งลงเนินเขาไปไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนราวกับแข่งขันกันว่าใครวิ่งเร็วกว่ากัน แววตาของเซียวเยี่ยนคมปลาบ เขารอกระทั่งม้าของตนเองวิ่งล้ำหน้าม้าของหลินชิงเวยเล็กน้อย จึงเหยียบขึ้นบนหลังม้าแล้วเหินกายข้ามมาหาม้าของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกว่าร่างของม้าหนักขึ้น ต่อมาก็มีแผ่นอกแนบชิดเข้ามาและมีแขนสอดข้ามช่วงเอวมาโอบร่างของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ฝ่ามือใหญ่นั้นคว้าสายบังเหียนในมือของนางไปแล้วรั้งเข้าหาตัว ม้าได้รับความเจ็บปวดทันที จึงยกเท้าขึ้นมาส่งเสียงร้องดังขึ้นสองครั้ง ต่อมามันถูกสายบังเหียนดึงไว้ตลอดเวลา แม้ม้ายังคงควบไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง ทว่ามันวิ่งด้วยฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคงขึ้นไม่น้อย
หลินชิงเวยหายใจหายคอแทบไม่ทัน ความตื่นตระหนกในใจยังไม่ทันสลายไป นางได้ยินเสียงหายใจของตนเองและจังหวะเสียงเต้นของหัวใจอันหนักแน่นด้านหลัง เสียงหนึ่งกลบทับเสียงหนึ่ง
ม้าวิ่งลงเนินไปได้ระยะทางหนึ่ง หลินชิงเวยเอียงหน้าไปมองจึงเห็นม้าเหงื่อโลหิตบนอานม้าว่างเปล่าวิ่งมาเคียงข้างกัน เมื่อก้มหน้ามองแขนที่สอดผ่านช่วงเอวของตนพลันรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่อาจบรรยายได้
เบื้องหน้าเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่ง