ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง – บทที่ 211 ต่อไปข้าจะพาเจ้าไปเอง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยแย่งสายบังเหียนมาจากมือของเซียวเยี่ยน แล้วออกแรงดึงสายบังเหียนขึ้นและหนีบท้องม้าหนักๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงร้อง “ย่าห์–” ม้าเริ่มวิ่งควบไปข้างหน้าอีกครั้ง

เซียวเยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “หลินชิงเวย อย่าก่อเรื่อง!”

ทั้งๆ ที่เป็นคำพูดตักเตือน ทว่าหลินชิงเวยได้ยินแล้วกลับสั่นสะท้านไปทั้งใจ คำพูดนั้นเปี่ยมไปด้วยความเอาใจใส่ ทำให้นางมีความสุขเหลือเกิน

ได้ยินชื่อของตนออกมาจากปากของเซียวเยี่ยน ความรู้สึกนั้นแตกต่างกันจริงๆ

หลินชิงเวย “กลัวอะไร ไม่ใช่มีท่านอยู่ด้วยหรือ ย่าห์!”

เซียวเยี่ยนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทว่าท่ามกลางความเงียบขรึมของเขา เขายอมรับและอภัยต่อพฤติกรรมเอาแต่ใจของหลินชิงเวยมาตั้งนานแล้ว เขาเพียงแต่โน้มกายให้ร่างของทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้นแล้วแนบติดไปบนหลังม้า เขาโอบร่างของหลินชิงเวยเอาไว้อย่างแน่นหนา ชิงชังตัวเองเหลือเกินที่ไม่อาจควบคุมหัวใจที่โลดทะยานไปข้างหน้าของนางเอาไว้

ม้าวิ่งขึ้นไปบนเนินเขาในพรวดเดียว เมื่อลงจากเนินจึงไม่เหนื่อยสักเท่าใดนัก มันพุ่งทะยานลงไปอีกครั้ง เสียงเกือกม้าทั้งสี่ดังสับสนยุ่งเหยิง นอกจากเสียงลมที่พัดผ่านริมหูยังมีเสียงของเกือกม้าที่วิ่งดังกุบกับๆ

ภายหลังหลินชิงเวยควบคุมม้าได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมีเซียวเยี่ยนคอยประคับประคองอยู่ด้านหลังทำให้นางมีความกล้าหาญ ม้าจึงถูกนางกำราบเสียจนยอมศิโรราบ แปรเปลี่ยนเป็นเชื่อฟังคำสั่งขึ้นมา นางเลียนแบบท่าทางของเซียวเยี่ยนขณะที่ลงจากเนินความเร็วจึงถูกควบคุมอย่างเหมาะสม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วย่อมไม่น่ากลัวถึงเพียงนั้นแล้ว

สุดท้ายม้าหยุดลงด้วยความเหนื่อยล้า หลินชิงเวยเงยหน้ามองไปเห็นเพียงปลายทางที่อยู่ไม่ไกลเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทะเลสาบแห่งนี้ดูแล้วน้ำไม่ลึกนัก น้ำใสเสียจนเห็นก้นทะเลสาบ มีพืชน้ำเขียวชอุ่มขึ้นอยู่ใต้น้ำ ริมทะเลสาบเป็นหาดน้ำตื้นๆ สีเหลืองทอง ไกลออกไปอีกคือเทือกเขาที่เรียงตัวเป็นแนวยาว เรียงเป็นทอดๆ สุดลูกหูลูกตา

เสียงเกือกม้าแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นมั่นคง มันเดินกุบกับๆ เลาะไปตามริมหาดน้ำตื้นแห่งนั้นสุดท้ายจึงผ่อนคลายลง เซียวเยี่ยนพลิกกายลงจากหลังม้าก่อนแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวย “ลงมาเถิด”

หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองเขา เห็นแววตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ นางกระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อเซียวเยี่ยนกลับไปจากการฝึกม้าเนื้อตัวจึงเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ยามนี้เมื่อวิ่งออกมาไกลเช่นนี้ แม้ว่าม้าจะวิ่งอยู่บนพื้นสนามหญ้าสีเขียว ทว่าหลินชิงเวยยังคงรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นละอองเช่นกัน

เส้นผมของนางถูกลมพัดตีจนยุ่งเหยิง ท่ามกลางแสงตะวันสีทอง แม้จะยุ่งเหยิงแต่กลับงดงามเหมือนตุ๊กตากระเบื้องสีเหลืองทองตัวหนึ่ง

สายตาของเซียวเยี่ยนที่ทอดมองนางค่อยๆ หรี่ลง ราวกับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

เขาจะต้องหัวเราะเยาะสภาพของนางในเวลานี้เป็นแน่!

หลินชิงเวยสะบัดศีรษะอย่างขัดใจ “ท่านหัวเราะอะไร มีอะไรน่าขันถึงเพียงนั้นหรือ?” นางพูดไปพร้อมกับดึงปิ่นปักผมบนศีรษะโยนลงบนหาดทราย เส้นผมดำขลับสยายตัวลงมา หลินชิงเวยใช้นิ้วสางเส้นผมบริเวณข้างๆ ใบหน้า กระทั่งพลิ้วสลวยด้วยแรงลมอย่างรวดเร็ว

ม้าตัวนี้สูงเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่านางจะตกลงไปหากนางเหยียบโกลนม้าลงไปด้วยตนเอง ดังนั้นนางขยับเขยื้อนขาแล้วกระโดดใส่เซียวเยี่ยนตรงๆ

แววตาของเซียวเยี่ยนขุ่นมัวแต่ยังคงยื่นมือออกมารับนางไว้เต็มอ้อมกอด เขาพูดหน้าตึงว่า “เพิ่งจะหัดเรียนขี่ม้า เจ้าก็ขวัญกล้าถึงเพียงนี้แล้ว เปิ่นหวางคิดว่าเจ้ากล้าหาญเกินไปสักหน่อย”

หลินชิงเวยโอบรอบลำคอของเขาพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หาใช่ข้าขวัญกล้า เห็นได้ชัดว่าเป็นม้าตัวนี้ที่ขวัญกล้า หาใช่ข้าเรียกมันวิ่งนี่นา มันวิ่งด้วยตัวของมันเองอย่างไม่ยอมฟังคำสั่ง”

ยามนี้ม้าตัวนั้นผ่อนน้ำหนักของคนทั้งสองบนหลังของมันออกไป จึงรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย วิ่งมาระยะทางไกลเช่นนี้ทั้งเหนื่อยทั้งหิว มันไปดื่มน้ำกินหญ้าที่ริมทะเลสาบนานแล้ว ม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นหยุดก้มหัวดื่มน้ำกินหญ้าอยู่ริมทะเลสาบเช่นกัน

ม้าทั้งสองตัวดูเหมือนเข้ากันไม่ค่อยได้ ม้าสองตัวดื่มน้ำจากแหล่งน้ำเดียวกัน ไปๆ มาจึงเริ่มส่งเสียงฟึดฟัดประกาศศึกกันขึ้นมา น้ำในทะเลสาบจึงเกิดเป็นฟองจากการดีดของกีบม้า แค่เพียงไม่ได้ลงมือทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น

ทัศนียภาพรอบๆ ทะเลสาบสงบนิ่งเหลือเกิน

เซียวเยี่ยนคลายมือปล่อยหลินชิงเวยลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย แต่ขณะที่นางหย่อนเท้าลงบนพื้น หลินชิงเวยกลับสูดปากด้วยขาทั้งสองข้างอ่อนยวบจนยืนไม่อยู่

เซียวเยี่ยนจึงประคองนางขึ้นมาอีก สีหน้านั้นแจ่มแจ้งยิ่งนักว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

ด้วยก่อนหน้านี้ตื่นเต้นเกินไปจึงไม่รู้สึกอะไรนัก ยามนี้หลินชิงเวยเพิ่งจะรู้สึกว่าด้านในของขาทั้งคู่ปวดแสบปวดร้อนด้วยนั่งอยู่บนอานม้าเป็นเวลานานเกินไป ทั้งเสียดสีและกระทบกระแทก อวัยวะส่วนลับของหลินชิงเวยแทบจะบวมเป่ง ขาทั้งคู่ฝืนยืนหยัดอยู่ ทว่าไม่อาจหุบขาให้สนิทได้

นางเท้าเอวเดินอ้าขาไปทางทะเลสาบทีละก้าวๆ อย่างยากลำบาก จากนั้นฟุบลงไปที่นั่นเพื่อล้างหน้าล้างตา ฝังศีรษะลงไปในน้ำชั่วอึดใจหนึ่งจึงโผล่ศีรษะขึ้นมา ขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าเจ็บเหลือเกิน…”

เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ข้างกายนาง พูดเรียบๆ ว่า “รอให้เจ้าคุ้นเคยแล้วก็ดีเอง”

หลินชิงเวย “เนิ่นนานไปบนขาจะเป็นไตแข็งๆ ชั้นหนึ่งใช่หรือไม่?”

เซียวเยี่ยนครุ่นคิด “หากเป็นสตรี อาจเป็นได้”

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นฟ้าทอดถอนใจด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงเงยหน้าแล้วนอนลงบนหาดทราย นางเห็นท้องฟ้าอยู่สูงเหลือเกิน สีน้ำเงินเข้ม เมฆเคลื่อนตัวไปตามสายลม นางยื่นมือออกมาราวกับเห็นเมฆขาวราวกับหมอกควันวิ่งผ่านระหว่างปลายนิ้วของตน

หลินชิงเวย “เช่นนั้นต่อไปหากไม่จำเป็นข้าไม่ขี่ม้าจะดีกว่า เซียวเยี่ยน ต่อไปท่านต้องพาข้าไปด้วย”

เซียวเยี่ยนใจลอยมองทะเลสาบที่ถูกเงาสะท้อนจากฟ้าย้อมให้กลายเป็นสีฟ้า ในแววตาของเขาปรากฏให้เห็นอารมณ์และความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นเฉกเช่นในค่ำคืนนั้น

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดง คล้ายกับแสงอาทิตย์ทำให้ผืนหาดทรายเย็นสบายผืนนี้ร้อนระอุ ค่อยๆ สูญสิ้นซึ่งอุณหภูมิปกติของมัน ทิ้งไว้เห็นเพียงร่องรอยสีสันสีแดงสด ส่งผลให้เมฆที่อยู่โดยรอบกลายเป็นสีแดงไปด้วย

หลินชิงเวยนอนอยู่บนหาดทราย เท้าเปลือยเปล่าทั้งคู่ของนางแช่อยู่ในน้ำ ตีน้ำเป็นฟอง ทางหนึ่งมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับหายไปทางทิศตะวันตก กระทั่งลับเหลี่ยมเขาไป เหมือนลูกไฟขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งที่สาดส่องให้ภูเขาลูกนั้นสว่างไสวเช่นกัน

แสงสายัณห์สุดท้ายสาดส่องให้ภูเขา ทุ่งหญ้าทั้งผืนกลายเป็นสีแดงเพลิง

ม้าทั้งสองตัวล้วนกินอิ่มดื่มนำแล้ว กำลังรออยู่อย่างสงบด้านข้าง

เซียวเยี่ยนลุกขึ้นก่อน เขาเดินไปหยุดข้างๆ ม้า สายลมยามรัตติกาลพัดชายอาภรณ์และเส้นผมของเขา พัดฝุ่นดินที่ติดอยู่ตามร่างกาย เขาลูบตัวม้าเหมือนกับกำลังทักทายกับมันแล้วหันไปพูดกับหลินชิงเวยว่า “ไปเถิด สมควรกลับไปแล้ว”

“นอนเล่นอีกสักครู่เถิด” หลินชิงเวยหรี่ตาลงเริ่มสัปหงก นางเอนกายอยู่ที่นี่สบายเหลือเกิน นางลืมเลือนเรื่องวุ่นวายทั้งหมด เห็นเพียงพืชน้ำในน้ำและพระอาทิตย์ตก ณ ขอบฟ้า

“หรือเจ้าคิดจะนอนค้างที่นี่สักคืน”

“แต่ข้าไม่อยากขยับนี่นา”

เซียวเยี่ยนเดินกลับมาด้วยคิดว่าขาทั้งคู่ของนางคงเดินไม่ไหว จึงโน้มกายลงอุ้มนางขึ้นมา เขาไม่ได้ให้หลินชิงเวยนั่งคร่อมลงบนอานม้า แต่ให้นางตะแคงข้างบนอานม้า เซียวเยี่ยนนั่งอยู่ด้านหลังแล้วโอบแขนไปประคองร่างของนาง

ยามเมื่อพวกเขากลับไป ไม่ได้เดินทางอย่างเร่งรีบเช่นเมื่อขามา ม้าทั้งสองตัวล้วนกินดื่มอิ่มหนำ พวกมันจึงเดินไปข้างหน้าราวกับกำลังเดินเล่น

หลินชิงเวยเอนกายซบร่างเซียวเยี่ยนและแกว่งเท้าเบาๆ ตามจังหวะการก้าวเดินของม้า กระโปรงของนางถูกลมจนปลิวสะบัดขึ้นมาสัมผัสกับชายอาภรณ์ของเซียวเยี่ยน

นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “เซียวเยี่ยน เมื่อก่อนมีสตรีใกล้ชิดท่านเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”

เนิ่นนานเซียวเยี่ยนจึงตอบว่า “มี”

แววตาของหลินชิงเวยวูบไหวและไม่พูดอะไรอีก

เซียวเยี่ยนพูดเสียงต่ำ “เหตุใดไม่ถามต่อเล่า”

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

Status: Ongoing
เพราะไม่อยากแต่งไปเป็นนางสนมที่ถูกลืม “หลินเสวี่ยหรง” จึงได้วางยา “หลินชิงเวย” พี่สาวของตนให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทน ทั้งยังตามมาวางยากำหนัดนางอีกถึงในวัง เพื่อใส่ร้ายว่านางคบชู้ ทำให้ ‘หลินชิงเวย’ หญิงสาวยุคปัจจุบันที่ทะลุมิติเข้าร่างมาต้องตกกระไดพลอยโจรไปมีอะไรกับหนุ่มนิรนามที่มาช่วยนางไว้ จนถูกจับได้ว่าคบชู้สู่ชาย ทำให้นางโดนเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น แม้นางจะทำใจ ยอมอยู่อย่างสงบในตำหนักเย็น ทว่าโลกใบนี้ ไม่ปล่อยให้นางมีความสุขง่ายๆ เช่นนั้น นางจึงต้องใช้ปัญญาและความสามารถทางแพทย์ปกป้องตัวเอง ผนวกกับการได้พบกับชายผู้ยิ่งใหญ่เย็นชาปากไม่ตรงกับใจอย่าง “เซ่อเจิ้งอ๋อง” การได้พบกับเขาทำให้นางค่อยๆ พบความหวัง ที่จะได้กลับมามีอิสรภาพอีกครั้ง! หลินชิงเวย: ท่านอ๋อง ท่านมองลำคออันขาวผ่องของข้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเช่นนั้น นี่ข้ากำลังปลุกอารมณ์ของท่านหรือ ? เซ่อเจิ้งอ๋อง: คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท