ภายในตำหนักบรรทมจุดโคมไฟสว่าง หมัวมัวผลักประตูห้องออกแล้วยืนอยู่หน้าประตู น้อมกายพูดว่า “เชิญเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”
เซียวเยี่ยนสาวเท้าเดินเข้าไป หมัวมัวปิดประตูตามหลังและถอยออกไปเช่นกัน
ในตำหนักคุนเหอเงียบสงบ
ภายในตำหนักบรรทมของไทเฮางดงามหรูหราหาใดเปรียบ ด้านในเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนของไทเฮา ตรงกลางมีห้องหนังสือ ด้านนอกล้วนเป็นสถานที่รับรองแขกในยามปกติของไทเฮา
ยามนี้ไทเฮากำลังนั่งอยู่บนเตียงอุ่นสีเหลืองสว่างมองเซียวเยี่ยนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
บนร่างของนางยังคงสวมกระโปรงสีทองอ่อน อาภรณ์ชุดเดิมกับตัวที่สวมเมื่อพลบค่ำ การประทินโฉมอย่างพิถีพิถันของนางเข้ากับอาภรณ์ของนางอย่างยิ่ง ขับให้สตรีผู้นั่งอยู่บนตั่งสูงศักดิ์และสง่างามยิ่งยวด เพียงแต่เมื่อนางออกไปปรากฏตัวในงานเลี้ยง นางสวมมงกุฏจึงดูอลังการ ยามนี้เมื่อถอดมงกุฏและเครื่องประดับบนศีรษะออกแล้ว เส้นผมสีดำขลับแผ่สยายลงมาบนไหล่ เส้นผมของนางมีไข่มุกร้อยอยู่สองสามเม็ดส่ายไหวไปตามการเคลื่อนไหวของนางเบาๆ ขับให้คิ้วตาและดอกไห่ถังที่ติดอยู่บนหน้าผากยิ่งงดงามจับใจผู้คน
น่าเสียดายยิ่งนักด้วยไม่ว่าไทเฮาจะทำอย่างไร เซียวเยี่ยนกลับไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว
ไทเฮาปรับเปลี่ยนอิริยาบถ เมื่อเห็นว่ามิอาจดึงดูดสายตาของเซียวเยี่ยน รอยยิ้มบนใบหน้าจึงอดที่จะชืดชาลงไม่ได้ นางลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เดินลงมาจากตั่งที่นั่งอยู่ “ยังคิดว่าท่านจะไม่มาเสียอีก ก่อนหน้านี้เปิ่นกงเชิญท่านมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนล้วนถูกท่านปฏิเสธสิ้น วันนี้ได้ยินว่าเปิ่นกงจะพูดคุยเรื่องหลินเจาอี๋ ดังนั้นท่านจึงมากระมัง”
ตั้งแต่เซียวเยี่ยนเดินเข้ามาในตำหนักคุนเหอก็รู้ทันทีว่าหลินชิงเวยไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่เป็นเพียงข้ออ้างของไทเฮาเท่านั้น แต่เขายังคงเลือกที่จะมา เขามองไทเฮานั่งลงข้างโต๊ะด้วยสายตาเย็นชา “เปิ่นหวางมีเรื่องจะพูดคุยกับไทเฮาให้กระจ่างแจ้งเช่นกัน ขาทั้งคู่ของฝ่าบาทหายดีแล้ว รอให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับทุกเรื่องได้โดยลำพังแล้ว เปิ่นหวางจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับอดีตฮ่องเต้ด้วยการคืนอำนาจให้กับฮ่องเต้ ไทเฮายังคงเป็นไทเฮา มารดาของแผ่นดิน แต่ในระยะเวลานี้ หากไทเฮายังกล้าแตะต้องหลินเจาอี๋” เขาหรี่ตาลง “ก็อย่าได้กล่าวโทษว่าเปิ่นหวางไม่เกรงใจเจ้า”
“หลินชิงเวย” เล็บของไทเฮาจิกลงบนผ้าแพรบนโต๊ะ สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ “ทุกครั้งล้วนเป็นหลินชิงเวย! ท่านยอมมาที่นี่ก็เพียงเพราะต้องการพูดเรื่องเหล่านี้กับเปิ่นกง” นางลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าเซียวเยี่ยน เมื่ออยู่เบื้องหน้าร่างสูงใหญ่ของเซียวเยี่ยน ต่อให้ยามปกตินางจะเผด็จการบ้าอำนาจอย่างไรก็ตาม ยามนี้เป็นได้เพียงนกน้อยหาคอนเกาะเพื่อหาที่พึ่งพิงเท่านั้น นางมองเซียวเยี่ยนและพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่ายิ่งท่านใส่ใจนางเท่าใด เปิ่นกงยิ่งคิดจะทำลายนาง เปิ่นกงชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจฉีกนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”
รังสีอันเย็นเยียบแผ่ออกมาจากร่างของเซียวเยี่ยน เขาพูดเสียงต่ำว่า “ขอเพียงเจ้ากล้า เจ้าก็ลองดู เจ้าปฏิบัติต่อนางอย่างไร เปิ่นหวางก็จะทำกับเจ้าเยี่ยงนั้น”
“เปิ่นกงคือไทเฮา ท่านกล้าหรือ!” บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมแปรเปลี่ยนเป็นมึนตึงในชั่วพริบตา เดิมทีนางคิดจะพูดจากับเขาดีๆ นางไม่ปรารถนาที่จะฉีกหน้าเขาแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เซียวเยี่ยนเย็นชาต่อนาง นางอดทนอดกลั้นได้ แต่ยามนี้ระหว่างคนทั้งสองมีหลินชิงเวยเข้ามาคั่นกลาง กระทั่งอยู่ในความฝันไทเฮายังอยากจะสังหารนางให้แดดิ้น นางกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดระหว่างพวกเขา
ไทเฮาสูดลมหายใจเข้าลึกสองครั้งเพื่อกดข่มความเคียดแค้นชิงชังในอก ยามนี้มิใช่เวลาที่จะมาพูดถึงหลินชิงเวย นางปรารถนาเพียงอยู่ร่วมกับเซียวเยี่ยนอย่างปรองดอง
เซียวเยี่ยน “ยังมีเรื่องอันใดอีก หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เปิ่นหวางขอตัวก่อน” พูดแล้วเซียวเยี่ยนก็หันหลังกลับโดยไม่เห็นแก่หน้าแม้แต่น้อย
ร่างของไทเฮาโผเข้าไปกอดเขาจากด้านหลังโดยไม่ต้องหยุดคิด “อย่าไป พวกเราพูดจากันดีๆ ไม่ได้หรือ วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ไฉนท่านจึงไม่มา?”
เซียวเยี่ยนขมวดคิ้ว “ปล่อยมือ”
น้ำเสียงของเขาปนเปมากับความข่มกลั้นโทสะ ต่อให้ไทเฮาขวัญกล้ากว่านี้ก็มิกล้าทำให้บุรุษตรงหน้าเกิดโทสะ กลัวเพียงแต่ว่าหากนางปล่อยมือช้าไปก้าวหนึ่ง นาทีถัดไปจะถูกเซียวเยี่ยนโยนออกไป
ไทเฮาไม่อาจไม่ปล่อยมือแล้วเดินถอยหลังไปสองก้าว นางหัวเราะอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ทุกปีที่ผ่านมาท่านล้วนมาร่วมงาน เหตุใดปีนี้ท่านจึงไม่มา?”
“เปิ่นหวางบอกกับฮ่องเต้ไปแล้วว่าวันนี้มีเรื่องต้องออกจากวัง”
“ข้ออ้าง ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งสิ้น เห็นกันอยู่ว่าท่านต้องการหลบหน้าข้า”
เซียวเยี่ยนไม่เกรงใจเช่นกัน “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องฝืนใจเล่า?”
ไทเฮาผู้เป็นประมุขฝ่ายตำหนักในที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจและเผด็จการ ยามนี้เป็นเพียงสตรีที่ร่ำไห้น้ำตาไหลพราก
สีหน้าของเซียวเยี่ยนเย็นชาลงอีก
ไทเฮาทางหนึ่งร่ำไห้น้ำตาไหล อีกทางหนึ่งแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หลินชิงเวยผู้นั้นเป็นนางสนมของตำหนักในเช่นกัน เป็นสตรีของฮ่องเต้ นางมีคุณธรรมของสตรีหรือไม่? เมื่อท่านเข้าใกล้นางได้คำนึงถึงหน้าตาของราชสกุลสักนิดหรือไม่? ทั้งหมดเป็นเพราะไม่ใช่คนคนเดียวกันเท่านั้นเอง”
คำพูดของไทเฮาแทงใจดำความในใจของเซียวเยี่ยนในหลายวันมานี้ เขาเป็นคนอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวดมาโดยตลอด แต่ตั้งแต่หลินชิงเวยปรากฏตัวขึ้น เขาแหกกฎของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า หลินชิงเวยเป็นเจาอี๋ของฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าไม่อาจใกล้ชิดกับนางจนเกินไป…ราวกับฮ่องเต้เองทรงมองออกเช่นกัน ไทเฮาไหนเลยจะมองไม่ออกเล่า ฮ่องเต้มีน้ำพระทัยเมตตาปรานี เจตนาสร้างโอกาสให้เขาและหลินชิงเวย ทั้งๆ ที่การกระทำเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์มากขึ้น
เรื่องของหลินชิงเวยยังไม่ได้จัดการให้กระจ่างแจ้ง ยามนี้ไทเฮาเลอะเลือน ในใจเซียวเยี่ยนบังเกิดความเหนื่อยหน่ายเอือมระอาอย่างที่สุด
ฉวยโอกาสที่เซียวเยี่ยนตกอยู่ในภวังค์ ไทเฮาจึงจับมือของเขาเอาไว้และดึงรั้งให้นั่งลง “ท่านเห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันเกิดของข้าได้หรือไม่ นั่งลงสนทนาเป็นเพื่อนข้าเถิด นี่ไม่ใช่เป็นเพราะหึงหวงผู้อื่นเสียทีเดียว ข้ามีเรื่องต้องการปรึกษาหารือกับท่านจริงๆ”
ต่อมาเซียวเยี่ยนนั่งลงข้างโต๊ะ “เรื่องอันใด?”
ไทเฮาเริ่มพูดช้าๆ “ในอดีตเมื่อยังเยาว์จึงไม่รู้ความ ความปรารถนาในใจกลับทุ่มเทมอบให้คนผิด หลายปีมานี้ข้าอยากจะแก้ไขตลอดมา อดีตฮ่องเต้ทรงประชวรสวรรคต นี่คงเป็นเพราะสวรรค์เห็นใจข้า ให้ข้ามีโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
สีหน้าของเซียวเยี่ยนย่ำแย่ถึงขีดสุด สตรีนางนี้เอ่ยถึงพระเชษฐาต่อหน้าเขาโดยไม่รู้สึกละอายแก่ใจ
นางกุมมือของเซียวเยี่ยน พูดด้วยน้ำเสียงวาดหวังรอคอยว่า “ข้าคิดใคร่ครวญกระจ่างแจ้งดีแล้ว ชื่อเสียงลาภยศเงินทองล้วนเป็นเมฆหมอกที่ผ่านตา เป็นไทเฮาหรือไม่ ไม่สำคัญ สำหรับ… ต่อไปเป็นฮองเฮาหรือไม่นั้นย่อมไม่สำคัญแล้วเช่นกัน ข้าให้เซียวจิ่นขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างราบรื่นต่อไปได้ ข้าไม่ฝืนใจให้ท่านไปนั่งตำแหน่งนั้นแทนเขา ขอเพียงท่านว่าดีย่อมต้องดี รอให้ท่านคืนอำนาจในวันนั้นได้รับอิสระคืนมา ท่านพาข้าไปจากที่นี่ด้วยดีหรือไม่?”