ไม่มีประโยชน์หากเสี่ยวฉีจะรั้งอยู่ที่นี่ รังแต่จะทำให้เจ้านายของเขาประดักประเดิด เขาได้ทำเต็มกำลังความสามารถแล้ว ที่เหลือคงต้องแล้วแต่วาสนาของท่านอ๋อง อีกทั้งต่อให้ท่านอ๋องถูกวางยาก็ยังเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง ย่อมไม่ต้องให้เขาไปเจ้ากี้เจ้าการ ดังนั้นเขาจึงไสหัวออกไปอย่างเชื่อฟัง
และไสหัวไปอย่างรวดเร็ว หายลับไม่เห็นแม้แต่เงาในชั่วพริบตา
ภายในเรือนเงียบสงบ บรรยากาศในนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดันอย่างเข้มข้น หลินชิงเวยยกมือขึ้นผลักประตูเข้าไป พลันได้ยินเสียงคำรามแหบต่ำลอยมาจากด้านใน “อย่าเข้ามา”
หัวใจของนางพลันหนักอึ้ง มือที่ผลักประตูเพียงชะงักเล็กน้อย ทว่าต่อมายังคงผลักบานประตูเข้าไปอย่างมิลังเล
“ข้าบอกเจ้าว่าอย่าเข้ามา!” น้ำเสียงของเซียวเยี่ยนเปี่ยมไปด้วยโทสะและส่งสัญญาณเตือน อีกทั้งยังปนเปได้ความรู้สึกคาดหวังและสั่นสะท้านที่ไม่แน่ใจนัก หรือกระทั่งเขาก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงคำรามราวกับเป็นสัตว์ดุร้าย ปรารถนาจะใช้ความป่าเถื่อนของตนมาทำให้หลินชิงเวยตื่นตระหนกและออกไป
ทว่าในเมื่อหลินชิงเวยมาแล้ว ย่อมไม่มีความคิดจะหันหลังและถอยออกไป
ภายในห้องยุ่งเหยิงหาใดเปรียบ เซียวเยี่ยนหอบหายใจรุนแรง หลินชิงเวยมองเขาท่ามกลางความมืดราวกับเห็นแววตาคู่หนึ่งจับจ้องกวักมือเรียกให้นางเข้ามาในกรงขัง และเจ้าของนัยน์คู่นั้นยังพยายามควบคุมตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะไม่มองมาทางนาง
หลินชิงเวยลูบคลำทางเดินตามความทรงจำของตนภายใต้แสงของโคมไฟภายในห้อง กลิ่นอายภายในห้องดูเหมือนจะร้อนระอุกว่าด้านนอกถึงสองส่วน ด้วยภายในห้องมีบุรุษที่มีท่าทีราวกับอสูรร้ายตนหนึ่ง
หลินชิงเวยหันกายไปก็เห็นเซียวเยี่ยนทันที เขาเปียกไปครึ่งร่าง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เขาแช่น้ำเย็นมาแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ไอเย็นบนร่างกายของเขาล้วนถูกความร้อนรุ่มภายในกายที่แทบจะลวกคนได้สลายไปเสียสิ้น เส้นผมเปียกชื้นแนบติดไปกับหัวไหล่ หยาดน้ำเป็นหยดๆ ยังคงไหลมาตามกรอบหน้าด้านข้าง
ยามนี้เซียวเยี่ยนกำลังนั่งขัดสมาธิ เขากำลังพยายามขับฤทธิ์ของยาออกจากร่างกายของตนทีละน้อย แต่เขาล้มเหลวทุกครั้ง ลมหายใจของเขาสับสนวุ่นวาย ทว่ากลับยังคงฝืนที่จะทำต่อไป
หลินชิงเวยใจเย็นอย่างยิ่ง “ท่านทำเช่นนี้ต่อไปไม่เพียงถอนพิษไม่ได้ ยังจะทำร้ายตัวท่านเองด้วย” นางสาวเท้าเข้าไปหาเซียวเยี่ยนทีละก้าวๆ
เซียวเยี่ยนหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าบอกแล้ว เจ้าอย่าเข้ามาจะดีที่สุด”
“กลัวว่าข้าจะเห็นท่าทางน่าอเนจอนาถของท่านหรือ” ระหว่างที่พูดนางก้าวมาหยุดเบื้องหน้าเซียวเยี่ยน กลิ่นหอมบริสุทธิ์ไม่เจือปนการปรุงแต่งใดๆ จากเรือนกายสาวน้อยกรุ่นกลิ่นกำจายออกมา ราวกับสายลมในฤดูวสันต์ที่พัดผ่านทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งบนเทือกเขา ให้ความรู้สึกราวกับกิ่งหลิวเขียวชอุ่มที่อยู่ในบ่อน้ำสะอาด ส่งผลให้ไม่อาจละสายตาที่จะเข้าไปดื่มกินอย่างกระหายได้
ราวกับนาทีที่เขาสัมผัสกลิ่นอายจากเรือนกายของนาง เปลวเพลิงในร่างกายยิ่งโหมซัดรุนแรงขึ้นแทบจะแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาให้มอดไหม้
นับตั้งแต่นาทีที่หลินชิงเวยยกมือขึ้นเตรียมผลักประตูเข้ามา ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเซียวเยี่ยนแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนไหวผิดธรรมดา เขารับรู้ได้ถึงเสียงสายลมที่พัดผ่านกระโปรงของนาง เขารับรู้ได้ถึงเสียงสั่นสะท้านขณะมือของนางแตะสัมผัสบานประตู เขายังรับรู้ได้กลิ่นหอมจรุงจางๆ จากเส้นผมของนาง
เขาพยายามที่จะควบคุมอสูรร้ายในใจของตนทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้นางเข้ามาใกล้ชิด เขาเหมือนคนสารเลวผู้หนึ่ง เสแสร้งแกล้งทำท่าทางให้น่าสงสาร รอให้เหยื่อของตนเข้ามาใกล้ๆ
เซียวเยี่ยนไม่อยากเป็นคนเลวเช่นนั้น
เขาหลับตาลงหายใจเข้าลึก และหลับตาลงอีก ไม่ปรารถนาที่จะประสานสายตากับหลินชิงเวย
หลินชิงเวยพูดอย่างสงบ “ท่านเคยเห็นข้าในสภาพน่าอเนจอนาถมาก่อน ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใด” พูดแล้วนางก็ยกชายกระโปรงขึ้นนั่งยองๆ ลงข้างกายเซียวเยี่ยน ขอเพียงเซียวเยี่ยนลืมตาขึ้นก็จะมองเห็นนาง คิ้วตาซุกซนดื้อรั้นและป้องกันตนเองของนางในยามปกติ ยามนี้เต็มไปด้วยความปวดใจ หลินชิงเวยพยายามควบคุมอารมณ์ของตนให้มั่นคง นางยื่นมือออกไปกุมข้อมือของเซียวเยี่ยนเบาๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ให้ข้าดูหน่อย”
วินาทีที่ปลายนิ้วอันอบอุ่นสัมผัสกับข้อมือของเซียวเยี่ยน คนทั้งสองอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ ปลายนิ้วประดุจหยกของหลินชิงเวยสำหรับเซียวเยี่ยนแล้วช่างเป็นความรู้สึกเย็นสบายอย่างที่สุด เขาชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจจับนางซุกเข้ามาในอ้อมกอดแล้วกอดให้แน่นที่สุด ทว่าผิวของเซียวเยี่ยนกลับร้อนลวกผิดสามัญ อุณหภูมินั้นสูงกว่าที่คนปกติควรจะมี
หลินชิงเวยขมวดคิ้วทั้งคู่ ปลายนิ้วของนางแตะลงบนจุดชีพของเซียวเยี่ยน รับรู้ได้ว่าลมปราณของเขาเต้นเร็วราวกับทะเลคลั่ง
ยากที่นางจะวิเคราะห์ว่าเซียวเยี่ยนถูกไทเฮาวางยาชนิดใดในระยะเวลาอันสั้น แต่เมื่อดูจากสภาพของเซียวเยี่ยนแล้วย่อมต้องมิใช่ยาธรรมดาสามัญเป็นแน่ คิดจะหายาถอนพิษออกมาย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร ทว่าเซียวเยี่ยนรอไม่ได้แล้ว
“ท่านอย่าใช้กำลังภายในไปต่อสู้กับชีพจร”
เซียวเยี่ยนหลับตาทั้งคู่แน่นราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหลินชิงเวย เขาอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของตน ฝืนใช้พลังลมปราณของตนต่อสู้กับกระแสเลือดในชีพจร คิดจะขับฤทธิ์ของยาออกมา
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยที่แตะลงบนจุดชีพจรของเซียวเยี่ยนราวกับถูกแผ่นเหล็กร้อนที่เผาไฟลวกจนแดงอย่างไรอย่างนั้น ถูกพลังลมปราณของเขาผลักออกจนรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบาดแหลมที่ส่งผ่านปลายนิ้วนั้น
หลินชิงเวยลองดูอีกหลายครั้ง ล้วนไม่อาจสัมผัสเขาได้ นางพูดอย่างโกรธขึ้ง “ข้าบอกว่าอย่าฝืนกำลังต่อสู้อย่างไรเล่า! ท่านอยากให้ลมปราณแตกซ่านจนตายหรือไร?!”
เซียวเยี่ยนแทบจะฟังไม่เข้าหู หลินชิงเวยไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น นางกัดฟันแน่นแล้วโถมกายเข้าไปกอดเซียวเยี่ยนเอาไว้ พลังลมปราณที่พุ่งสูงทั่วกายของเขาดับมอดลงราวกับเปลวไฟที่ถูกสาดด้วยน้ำเย็นโครมใหญ่
หลินชิงเวยพูดอยู่ข้างหูเขา “ข้าช่วยท่านได้ ข้าใช้เข็มเงินขับพิษในร่างกายของท่านได้ ดังนั้นท่านสงบใจลงสักหน่อยได้หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนพูดเสียงต่ำ “รบกวนเจ้าแล้ว เร็วหน่อย”
หลินชิงเวยเห็นเขาสงบจิตสงบใจลงแล้วจึงประคองเชิงเทียนเข้ามาแล้วทำการฆ่าเชื้อเข็มเงินด้วยเปลวไฟ นางฝังเข็มลงบนจุดชีพจรใหญ่สองจุดบนร่างกายของเซียวเยี่ยน จนใจที่นางมีเข็มเงินติดกายเพียงสองเล่มเท่านั้น เช่นนี้แม้จะทำให้ขั้นตอนช้าลง ทว่า…
ในสมองของหลินชิงเวยสับสนวุ่นวาย นางเพิ่งจะตระหนักได้เช่นนี้ไหนเลยจะคิดว่าเข็มเงินที่นางเพิ่งจะฝังลงบนร่างกายของเซียวเยี่ยนกลับถูกพลังลมปราณที่มิอาจควบคุมได้ของเขาดีดตัวให้ถอยออกมาทีละชุ่น นางมองสีหน้าของเซียวเยี่ยนอีกครั้ง เขามีสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด ขณะที่เข็มเงินกระเด็นออกจากร่างกายของเขา พลังลมปราณสายหนึ่งก็ไหลออกมาจากจุดชีพจรของเขาเช่นกัน
หยดเหงื่อร้อนระอุไหลลงตามสันจมูกสูงโด่งของเซียวเยี่ยน
หัวใจของหลินชิงเวยเต้นโครมคราม ไทเฮาผู้นั้นใช้ยาฤทธิ์แรงชนิดใดกันแน่ จึงบีบให้เซียวเยี่ยนมีสภาพเยี่ยงนี้? นางคิดจะทำลายเขาใช่หรือไม่?
ราวกับพลังลมปราณที่ถ่ายเทออกมาทำให้เขารู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น เขาจึงพรูลมหายออกมาครั้งหนึ่ง เขาเห็นหลินชิงเวยไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ เนิ่นนาน จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เหตุใดไม่ลงมือต่อเล่า?”
หลินชิงเวยได้ยินเสียงของตนลอยออกมาจากลำคอ “ไม่สามารถทำต่อได้อีกแล้ว”
เงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนค้อมลงเล็กน้อย ราวกับความอดทนของเขาดำเนินมาถึงขีดสุด เปลวไฟกองนั้นเริ่มจะถาโถมโรมรันอยู่ในร่างกายของเขาอีกครั้ง รอเพียงที่จะประเดประดังเข้าใส่ร่างกายของเขาให้ยอมรับความพ่ายแพ้