เขาหอบหายใจพูดเสียงเบา “เหตุใดจึงไม่อาจรักษาต่อได้?” น้ำเสียงแหบพร่าเฉกเช่นสายลมที่พัดผ่านป่าไผ่ ส่งผลให้หัวใจรู้สึกคันยุบยิบ
หลินชิงเวย “วิธีการใช้พลังจากชีพจรกระจายฤทธิ์ยาในร่างกายของท่าน แต่พลังลมปราณของท่านก็จะถูกถ่ายเทออกมาข้างนอกด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ล้วนตระหนักถึงความสำคัญของพลังลมปราณนี่กระมัง พลังลมปราณของท่านใกล้จะแตกดับแล้ว ย่อมต้องสูญเสียพลังวัตรไปด้วยเช่นกัน”
เซียวเยี่ยนกระจ่างแจ้ง มิน่าเล่าไทเฮาจึงพูดว่ายาชนิดนี้ปรุงมาเพื่อใช้กับผู้ฝึกยุทธ์โดยเฉพาะ ระหว่างสตรีและพลังวัตรของการฝึกยุทธ์ หากไม่ใช่ได้ครอบครองทั้งสองสิ่ง ก็ต้องสูญเสียไปทั้งสองสิ่ง จะมีผู้ใดเล่าที่ยินดีสูญเสียไปทั้งหมด?
เซียวเยี่ยนถาม “ยังมีวิธีการอื่นหรือไม่?”
หลินชิงเวยเงียบขรึมไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านว่าอย่างไรเล่า? ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ข้าปรุงยาถอนพิษออกมาไม่ได้ แม้ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์รุนแรง ทว่าเมื่อดูจากชีพจรของท่านแล้วกลับดูไม่ออกว่ามีส่วนผสมของยาพิษร้ายแรงชนิดใดบ้าง หากเป็นการปรับสมดุลระหว่างหยินและหยางย่อมมีแต่ผลดีไม่มีผลร้ายต่อร่างกายของท่าน”
“เจ้าไปเถิด”
“จะให้ข้าหาหญิงสาวสักคนมาหรือไม่?”
“ไม่ต้อง รีบไป”
ฤทธิ์ยาซัดเข้ามาราวกับมหันตภัยอันร้ายแรง ภาพเบื้องหน้าของเซียวเยี่ยนกลายเป็นดำมืด! ความคิดของเขาเริ่มถูกบิดเบือน ทางหนึ่งคิดจะกระชากนางเข้ามาในอ้อมกอด อีกทางคิดแต่จะให้นางออกไปโดยเร็ว
เซียวเยี่ยนหอบหายใจระรัว ใช้ฝ่ามือค้ำยันกับกำแพงถามว่า “เหตุใดเจ้ายังไม่ไป?”
นางไหนเลยจะหักใจทิ้งเซียวเยี่ยนไปเช่นนี้ได้?
หลินชิงเวยพูดอย่างสงบนิ่ง “ท่านไม่ยินยอมให้ข้าหาหญิงอื่นมาให้ ดูแล้วมีเพียงข้าต้องใช้ตนเองลองดูแล้ว อีกทั้งต่อให้ท่านยินยอมให้หาหญิงอื่นมาข้าก็ไม่อนุญาต ท่านคิดเสียว่าคืนนี้ข้าเป็นคนเลวที่ฉวยโอกาสขณะที่ผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำก็แล้วกัน”
หลินชิงเวยโน้มกายลงมาโอบกอดเขาเบาๆ
ฝ่ามือร้อนราวกับไฟลวกของเซียวเยี่ยนประทับลงบนช่วงเอวของหลินชิงเวย ยิ่งเขาคิดจะผลักนางออกเท่าใดกลับพบว่าตนเองหักใจไม่ได้ยิ่งกว่า เขาจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างสิ้นความอดทนว่า “หลินชิงเวย เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอันใดอยู่?”
“ข้าย่อมรู้ดี” หลินชิงเวยถามเขา
เขาเงียบขรึมไม่พูดจา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาปรารถนาทำทีราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น ทำเช่นนั้นย่อมดีต่อทั้งสองฝ่าย ทว่าบนโลกใบนี้ยังไม่มีสตรีเฉกเช่นหลินชิงเวย กล้าทำกล้าพูด ดื้อรั้นไม่เลิกรา เขาคิดว่าต่อมานางไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพราะนางปล่อยวางได้แล้ว ทว่าเรื่องนั้นกลับตกผลึกอยู่ในจิตใจของคนทั้งสอง ไฉนเลยจะปล่อยวางได้เล่า นางทำไม่ได้ เขาเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ที่เขาปฏิเสธไม่ยอมรับทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงแค่การหลอกตัวเองเท่านั้น
หลินชิงเวย… เขาควรปฏิบัติต่อนางอย่างไรดี? ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด…หลังจากทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมง่ายดายที่จะทำผิดเป็นครั้งที่สอง ด้วยเขาได้ลิ้มลองรสชาติและสัมผัสแล้วว่ามันงดงามอย่างที่สุด
“หลินชิงเวย…”
ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้ยังมีสตรีเช่นนางเป็นคนที่สองอีกหรือไม่ ที่โจมตีสติสัมปชัญญะของเซียวเยี่ยนให้พังครืนลงอย่างง่ายดาย
…….
ต่อมา ไม่รู้เป็นยามใด ท้องฟ้ามืดครึ้มเริ่มส่งเสียงคำราม เกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าแลบหลายครั้ง ไม่นานหลังจากนั้นสายฝนในฤดูสารทก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก สายฝนไหลลงมาตามชายคาเรือนเป็นสาย ส่งผ่านความชุ่มชื้นกระจายตัวผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ให้ความรู้สึกหนาวเย็นอย่างยิ่ง
โคมไฟแต่ละดวงใต้ชายคาเรือนไหวเอนไปมา โคมไฟถูกลมพัดจนมอดดับลงทีละดวงๆ
เซียวเยี่ยนพลันยกมือขึ้น พลังลมปราณสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาส่งผ่านไปยังโคมไฟในเรือนอย่างแม่นยำ โคมไฟภายในห้องดับลงทันที
ภายในห้องเหลือเพียงความมืดดำในชั่วอึดใจหนึ่ง หลินชิงเวยมองไปยังขอบหน้าต่างเห็นฟ้าผ่าเป็นพักๆ สายฟ้าแลบเป็นสาย ทำให้เกิดแสงสว่างในชั่วพริบตา นางมองใบหน้าด้านข้างและดวงตานิ่งลึกของเซียวเยี่ยน
หลินชิงเวยรู้ว่าเหตุใดเซียวเยี่ยนจึงดับโคมไฟ ด้วยอีกไม่นานจะมีนางกำนัลสองนางถือร่มมุ่งหน้ามาที่นี่ พวกนางสนทนากันเสียงเบาอยู่หน้าประตู
“เกิดฝนตกใหญ่กะทันหันเช่นนี้ โคมไฟใต้ชายคาเรือนล้วนถูกลมพัดดับหมด”
“พวกเรารีบจุดโคมเถิด หาไม่แล้วอีกประเดี๋ยวเซ่อเจิ้งอ๋องกลับมามองไม่เห็นทางจะทำอย่างไรเล่า?”
“คิกๆ เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นใครกัน ไฉนจึงมองไม่เห็นทาง โคมไฟเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นเอง”
“แต่พวกเราเป็นนางกำนัลผู้ทำหน้าที่จุดโคมไฟนี่นา หากถูกจับได้ว่าละเลยหน้าที่จะต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ไอหยา อย่าเสียเวลาอยู่เลย ฝนครานี้ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ ย่อมต้องหนาวเย็นแน่ๆ”