ดังนั้นนางกำนัลทั้งสองจึงจุดโคมไฟใต้ระเบียงทางเดินให้สว่างขึ้นทีละดวงๆ อีกครั้ง แน่นอนว่าพวกนางหาได้รู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องกลับมาตั้งนานแล้ว
เสียงสนทนาด้านนอกประตูค่อยๆ ห่างไกลออกไป ในที่สุดก็ถูกเสียงฝนด้านนอกเข้ามาแทนที่ ลมหนาวอันเย็นเยียบของฤดูสารทเข้าครอบคลุม หลังจากฝนซาลงแล้วเสียงน้ำฝนที่หยดลงในบ่อน้ำจึงดังกังวานขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ
หลินชิงเวยไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับลึกไปตั้งแต่เมื่อใด นางรู้สึกเห็นเพียงด้านนอกขอบหน้าต่างเป็นสีขาว
นางนอนหลับไปนานยิ่ง เปลือกตาของนางหนักอึ้ง กระทั่งไม่อาจลืมขึ้นได้ ความรู้สึกสะลึมสะลือ
เมื่อหลินชิงเวยลืมตาขึ้นในที่สุดยังคิดว่าฟ้ายังไม่สาง ด้วยนางเห็นท้องฟ้านอกหน้าต่างเป็นสีดำสนิท
เป็นเวลาเนิ่นนานหลังจากนั้น นางจึงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วพลันอยากร้องตะโกนออกมาทันที
บนร่างของหลินชิงเวยมีเพียงผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่ง เมื่อลุกขึ้นนั่ง นางรู้สึกว่าเอวของตนเมื่อยล้าแทบหัก
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่ไม่ใช่ห้องของเซียวเยี่ยนในตำหนักอวี้หลิง นี่เป็นห้องของนางและนางกำลังนอนอยู่บนเตียงของตนเอง
หลินชิงเวยประคองหน้าผากของตนนั่งอยู่พักหนึ่ง กระทั่งรับรู้ได้ว่าลมเย็นสัมผัสร่างของตน นางจึงได้สติกลับมา ถูกต้องแล้ว นี่เป็นยามไหนกันแน่?
หลินชิงเวยคลานลงจากเตียง เท้าทั้งคู่ยืนให้มั่นคงอย่างยากลำบาก
กระทั่งนางเดินไปถึงห้องอาบน้ำจึงนึกขึ้นได้ว่า ที่นี่ไม่เหมือนตำหนักอวี้หลิงที่มีบ่อน้ำแร่ธรรมชาติให้แช่กายได้ หากต้องการอาบน้ำยังต้องเรียกให้คนไปเตรียมน้ำล่วงหน้า
ทว่าเมื่อหลินชิงเวยเปิดเปลือกตาขึ้นมองพบว่าในถังอาบน้ำมีน้ำสะอาดอยู่เต็มถัง อีกทั้งยังมีไอร้อนลอยตัวขึ้นมา บนผิวน้ำยังมีกลีบดอกไม้นานาชนิดที่ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี นางยื่นมือไปวัดอุณหภูมิของน้ำ น้ำกำลังร้อนพอดี นางจึงไม่คิดอันใดมากพลิกกายลงไปแช่ในน้ำแล้วค่อยว่ากัน
ผู้ใดกันเข้าอกเข้าใจนางถึงเพียงนี้ ตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้นางอย่างพร้อมสรรพ
สามารถเข้านอกออกในห้องของนางได้ เตรียมกิจวัตรประจำวันของนางได้ คนแรกที่หลินชิงเวยคิดถึงย่อมต้องเป็นซินหรู แต่ซินหรูรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?
ยังมีอีก นางกลับมาได้อย่างไร ตนเองไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย น่าจะเป็นเซียวเยี่ยนอุ้มนางกลับมาในขณะที่นางกำลังหลับใหลกระมัง ย่อมไม่เป็นการดีแน่หากฟ้าสางแล้วนางยังอยู่ในตำหนักอวี้หลิง
หลินชิงเวยแช่อยู่ในถังอาบน้ำ เกียจคร้านกระทั่งขยับเคลื่อนไหว น้ำร้อนห่อหุ้มปกคลุมร่างกายของนาง ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของร่างกายได้ กระทั่งน้ำเกือบจะเย็นแล้วนางจึงหักใจลุกขึ้น
หลินชิงเวยผลักประตูออก กลิ่นอายเย็นสบายชนิดหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา ยามนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นเวลาโพล้เพล้หลังอาทิตย์ตกดิน มิใช่ฟ้าสางก่อนดวงตะวันจะลอยตัวขึ้นมา
นางถึงกับนอนไปหนึ่งวันเต็มๆ เชียวหรือ
อาจเป็นเพราะเมื่อวานฝนตกใหญ่ในยามกลางดึก เดิมทีควรจะเป็นฤดูสารทที่อากาศเย็นสบาย ทว่ากลับกลายเป็นหนาวเหน็บขึ้นมา ทัศนียภาพเบื้องหน้าหลินชิงเวยไม่ว่าจะเป็นพื้นในลานเรือนหรือในสวนสมุนไพรล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความชุ่มชื้น
ฤดูสารทไม่อาจเทียบฤดูคิมหันต์ หลังจากฝนตกผ่านไปไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วได้
หลินชิงเวยนั่งอยู่บนระเบียงทางเดิน มองท้องฟ้ายามโพล้เพล้เนิ่นนาน นางสวมอาภรณ์เนื้อบางเบา รอบกายรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของฤดูสารท กระทั่งท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง นางพบว่าจิตใจของนางสงบนิ่งดุจวารี ไม่เกิดคลื่นกระทบอันใด
แต่จิตใจของนางในยามนี้ไม่ได้ว่างเปล่าวูบโหวงอีกแล้ว มันกลับเป็นสุขและสงบ ด้วยก่อนหน้านี้ตนเองล้วนอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ในใจของนางมีคนอีกคนหนึ่ง และหลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อคืนนี้ บุรุษผู้นั้นได้ฝังรากลึกลงในใจของนางเสียแล้ว
ต่อมามีเงาร่างสายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจากด้านนอกเรือน หลินชิงเวยเห็นแล้วจำได้ทันที นั่นไม่ใช่ซินหรูหรอกหรือ ซินหรูเข้ามาแล้วเงยหน้าเห็นนาง “พี่สาว ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ? กินข้าวแล้วหรือไม่?”
หลินชิงเวยครุ่นคิด ไม่รู้ว่าซินหรูรู้อะไรมากน้อยเพียงใด สำหรับนางที่ยังอยู่ในวัยเด็กสาวการรู้มากเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี
หลินชิงเวยถาม “เจ้าไปไหนมาเล่า?”
ซินหรู “ข้าไปตำหนักซวี่หยางเจ้าค่ะ วันนี้ถูกเสี่ยวฉีเรียกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อข้าออกไปเห็นพี่สาวนอนหลับยังไม่ตื่นจึงไม่ได้รบกวนพี่สาวเจ้าค่ะ ข้าหงุดหงิดจะแย่แล้ว วันนี้ไปตำหนักซวี่หยางก็ไม่มีเรื่องอันใดให้ทำ แต่เสี่ยวฉีเหมือนคนคลุ้มคลั่งคอยแต่จะหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยให้ข้าทำอยู่เรื่อยเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงทำให้เสียเวลาจนฟ้ามืดถึงกลับมา เขาคงจงใจกระมัง จงใจที่จะไม่ให้ข้ามีเวลาว่างกลับมาอยู่กับพี่สาวเจ้าค่ะ”
…เขาจงใจนั่นแหละ
หลินชิงเวยรู้อยู่แก่ใจ น่าจะเป็นคำสั่งของเซียวเยี่ยนที่ให้เสี่ยวฉีทำเช่นนั้น หากซินหรูรั้งอยู่ในเรือนย่อมต้องพบว่านางผิดปกติเป็นแน่
หลินชิงเวยคิดแล้วหัวใจอ่อนยวบยาบไปหมด เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนจัดเตรียมน้ำร้อนสำหรับอาบ? คนในตำหนักฉางเหยี่ยนไม่รู้ว่านางกลับมาเมื่อใดและจะตื่นขึ้นเมื่อใด เป็นเซียวเยี่ยนแอบเข้ามาตระเตรียมไว้หรือ เขาคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่านางจะตื่นขึ้นมาในเวลานี้?
ซินหรูก้าวเข้ามา “พี่สาว เมื่อคืนฝนตกหนักเจ้าค่ะ อากาศเย็นลงแล้ว ท่านไฉนจึงสวมเสื้อผ้าน้อยเช่นนี้เล่า ระวังต้องลมเย็นนะเจ้าคะ”
หลินชิงเวยทนซินหรูที่บ่นกระปอดกระแปดไม่ได้จึงลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านแล้วเดินเข้าไปในเรือนสวมอาภรณ์เพิ่มอีกตัวหนึ่ง ซินหรูเห็นนางหยิบเสื้อมาสวมอีกตัวหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก จังหวะที่นางสะบัดผมถูกสายตาอันแหลมคมของซินหรูสังเกตเห็นร่องรอยบนลำคอของนาง ซินหรูจึงอดที่จะถามขึ้นอย่างแปลกใจและเปรียบเทียบกับลำคอของตนว่า “พี่สาว คอของท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ไฉนจึงแดงเล่าเจ้าคะ”
หลินชิงเวยหน้าตาย “….อาจเป็นเพราะกลางคืนไม่ทันระวัง ไปชนอะไรถูกกระมัง”
ซินหรูกระทืบเท้า “ไยท่านจึงไม่ระวังเช่นนี้ ข้าจะไปหยิบโอสถให้พี่สาวเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวย “ไม่ต้องแล้ว นวดคลึงก็หายแล้ว เจ้ากินข้าวมาแล้วหรือไม่ พวกเราสั่งตั้งโต๊ะอาหารค่ำมากินด้วยกันดีหรือไม่? ข้าหิวแล้ว”
‘ข้าหิวแล้ว’ สามคำนี้เบี่ยงเบนความสนใจของซินหรูสำเร็จ “หา ฝ่าบาทรั้งข้าให้กินข้าวที่นั่น ข้าจะไปสั่งให้พวกเขาตั้งโต๊ะเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยมองซินหรูที่วิ่งออกไปราวกับสายลม ความอบอุ่นชนิดหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นกลางใจ