หลายวันต่อมา หลินชิงเวยสงบใจลงเช่นกัน นางอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนแทบจะไม่ได้ก้าวออกจากประตูตำหนัก ผิวพรรณของนางบอบบางอ่อนเยาว์ ร่องรอยทั่วเรือนกายของนางต้องใช้เวลาหลายวันจึงนับได้ว่าจางหายไปพอสมควร
ได้ยินว่าตำหนักคุนเหอไม่ใคร่สงบเท่าใดนัก เหล่าหมอหลวงทั้งหมดของสำนักหมอหลวงต้องลำบากตรากตรำทุกวันถูกไทเฮาเรียกตัวไปนับครั้งไม่ถ้วน
แม้ไทเฮาจะมีฐานะสูงศักดิ์และมีอำนาจบารมีล้นเหลือในตำหนักใน ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ และนางยังไม่ได้เข้าสู่วัยชราภาพ ด้วยนางดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แม้ไม่อาจโดดเด่นเท่าบรรดานางสนม แต่ย่อมต้องมีกลิ่นอายเฉกเช่นสตรีที่ผ่านโลกมาแล้ว แต่หลายวันนี้เมื่อไทเฮาตื่นขึ้นในตอนเช้าส่องกระจก สายตาของตนพบว่าตัวนางแก่ลงอย่างรวดเร็ว ผิวพรรณของนางเปลี่ยนเป็นสีเหลืองคล้ำไม่ผุดผ่อง หางตามีรอยยับย่นของตีนกา บนแก้มของนางยังมีกระฝ้า เมื่อนางกำนัลมาสางผมให้นางในยามเช้าถึงกับพบว่าในเส้นผมของนางมีผมหงอกอยู่ไม่น้อย
เป็นไปได้อย่างไรกัน ไทเฮาแทบจะคลุ้มคลั่งในทันที นางเรียกตัวหมอหลวงมาตรวจดูอาการ
เมื่อหมอหลวงจับชีพจรพบว่าพระวรกายของไทเฮาเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย
แต่ไทเฮาไหนเลยจะยอมรับได้ นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลินชิงเวยมอบให้! นางจดจำได้อย่างชัดเจน คืนนั้นหลินชิงเวยใช้เข็มเงินแทงเข้ามาที่ท้องของนางหลายเข็ม จะต้องเป็นการฝังเข็มหลายครั้งนั้นที่ทำให้นางแก่ลงอย่างรวดเร็วเป็นแน่
ไทเฮาให้หมอหลวงตรวจดูชีพจรบริเวณหน้าท้องของนางก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ สุดท้ายไทเฮาได้แต่บันดาลโทสะสั่งโบยหมอหลวงทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในตำหนักในจนหาความสงบสุขไม่ได้
เมื่อไทเฮาอยู่ในตำหนักบรรทม สิ่งของที่ยกขึ้นทุ่มได้นางล้วนทุ่มลงบนพื้นให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นางกำนัลผู้ทำหน้าที่สางผมให้นางในยามเช้าตรู่ถูกนางสั่งให้ลากตัวออกไปโบยจนตาย ทันทีที่นางอารมณ์หงุดหงิดก็เหมือนเปลวไฟที่พ่นออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น แทบจะฉุดรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ใจร้อน หงุดหงิดโมโหง่าย นับเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของนาง
ไทเฮาหอบหายใจด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล นางโน้มกายฟุบลงไปบนโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าแพร เอียงศีรษะมองหน้าตาของตนผ่านกระจกสำริดจากโต๊ะประทินโฉม เส้นผมของนางยุ่งเหยิง ปิ่นปักผมบิดเบี้ยวกระจัดกระจาย รอยกระฝ้าบนใบหน้าชัดเจนเยี่ยงนี้ รูปโฉมของสตรีในกระจกสำริดไยจึงแปลกหน้าเช่นนั้น ไหนเลยจะใช่รูปโฉมอันงดงามของนางก่อนหน้านี้ นางแทบจะจำตนเองไม่ได้อยู่แล้ว นางรู้สึกเพียงว่าสตรีในกระจกสำริดนางนี้เป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์และน่ารังเกียจที่สุด ไทเฮาเอามือปิดใบหน้าของตนเองแล้วร้องตะโกนออกมาด้วยความปวดใจเจียนคลั่ง นางพูดเสียงแหลมว่า “เปิ่นกงต้องการพบคนต่ำช้าผู้นั้น! เปิ่นกงต้องการพบคนต่ำช้าผู้นั้นเดี๋ยวนี้!”
หลินชิงเวยอยู่ในตำหนักของตน แม้ว่านางจะสวมอาภรณ์เพิ่มขึ้นอีกชั้นด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปแล้ว ทว่ายังคงจามเป็นพักๆ อยู่นั่นเอง รับรู้ได้ว่าอากาศรอบกายล้วนกลายเป็นลมหนาวยะเยือก นางนวดคลึงจมูกของตนขณะกำลังเก็บน้ำค้างยามเช้าที่เกาะตัวอยู่บนใบไม้ในแปลงสมุนไพร
ซินหรูเห็นนางจามก็อดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ “สองวันก่อนฝ่าบาทเพิ่งจะประทานอาภรณ์มา รูปแบบตัดตามอาภรณ์ที่พี่สาวสวมนี่นา สีสันล้วนเป็นสีสันที่พี่สาวชมชอบ อาภรณ์นั้นหนากว่าอาภรณ์ที่อยู่บนร่างพี่สาวถึงสองส่วน ไยพี่สาวจึงวางเอาไว้ไม่นำมาสวมใส่เจ้าคะ ยังสวมอาภรณ์เนื้อบางเช่นนี้ หากต้องลมเย็นจะทำอย่างไรเล่า?”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองแปลงสมุนไพรเขียวชอุ่ม อารมณ์เบิกบานยิ่ง นางยิ้มตายิบหยีพร้อมกับงอนิ้วดีดหน้าผากของซินหรูครั้งหนึ่ง “เจ้าเข้าใจคำว่า ‘กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิครอบคลุม ฤดูใบไม้ร่วงหนาวเหน็บ’ หรือไม่ เช่นยามนี้สภาพอากาศยังไม่นับว่าหนาวมาก”
ซินหรูกุมหน้าผากของตน “ซินหรูรู้เพียงแค่ว่าล้มป่วยต้องกินยาเจ้าค่ะ!”
หลินชิงเวยหัวเราะแต่ไม่เอ่ยอันใด
ยามนี้เอง มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งมุ่งหน้าเข้ามาในลานเรือนด้วยความรีบเร่งแล้วรายงานว่า “เหนียงเหนียงเพคะ ไทเฮาเหนียงมีรับสั่งให้เหนียงเหนียงเข้าเฝ้าเพคะ ยามนี้ผู้มาบอกความรออยู่ห้องโถงหน้าเพคะ”
หลินชิงเวยยังคงเก็บน้ำค้างยามเช้าเข้าไปในขวดกระเบื้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยดแล้วหยดเล่า ท่าทางเอื่อยเฉื่อย ผ่านไปชั่วอึดใจจึงเอ่ยขึ้นว่า “รู้แล้ว เจ้าไปบอกว่าอีกประเดี๋ยวเปิ่นกงจะไปที่นั่น”
นางกำนัลพูดเบาๆ ว่า “คนของตำหนักคุนเหอบอกว่าจะรอเหนียงเหนียงไปพร้อมกับพวกเขาเพคะ”
หลินชิงเวยลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรง ชายกระโปรงชื้นไปด้วยน้ำค้างยามรุ่งอรุณและเศษดินเล็กๆ น้อยๆ นางหัวร่อเบาๆ “เช่นนั้นก็ให้พวกเขารอไป”
หลินชิงเวยเข้าไปในห้องผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ทั้งชุดด้วยจิตใจและอารมณ์อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปี หลินชิงเวยใช้แป้งผัดหน้าน้อยมาก ในยามปกติล้วนใช้ชาดที่นางทำมาจากดอกไม้แต้มริมฝีปากเช้าค่ำ สิ่งที่ใช้ลูบไล้ใบหน้าล้วนเป็นสิ่งของที่ทำมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้มีสีสันงดงามเหมือนผงชาดของวังหลวง แต่ความแตกต่างระหว่างความเข้มข้นและบางเบาเมื่ออยู่บนกายนางแล้วแทบจะไม่ต่างอะไรกันแม้แต่น้อย นางดูแลผิวพรรณของตนเองได้ดีกว่าเหนียงเหนียงของตำหนักอื่นมากกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า เหล่าแม่นางทั้งหลายล้วนนิยมชมชอบที่จะใช้ผงชาดแต่งหน้าประทินโฉม ทว่ากลับหลงลืมไปว่าความเรียบลื่นผ่องใสฉ่ำน้ำที่สะท้อนออกมาจากผิวพรรณของตนเองนั้นจึงจะงดงามยิ่งกว่า
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลินชิงเวยจึงเดินออกประตูมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อน ซินหรูรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง “พี่สาว ได้ยินว่าหลายวันมานี้ตำหนักคุนเหอเกิดเรื่องเล็กน้อย ไทเฮาอารมณ์ดุร้าย เรียกตัวพี่สาวไปครั้งนี้ต้องไม่มีเรื่องดีแน่เจ้าค่ะ”
หลินชิงเวย “ใช่สิ ไม่มีเรื่องดีแน่นอน คาดว่ายามนี้นางคงเคียดแค้นชิงชังที่ไม่อาจถลกหนังข้าได้” นางยิ้มแล้วมองซินหรู “ดังนั้นเจ้ารู้แล้วหรือไม่ว่าควรทำอย่างไร?”
ซินหรูได้รับกำลังใจจึงผงกศีรษะแรงๆ หันหน้าแล้วออกวิ่งไปข้างหน้าทันที “ข้าจะไปตำหนักซวี่หยางเชิญฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
“นี่ กลับมา” หลินชิงเวยยื่นมือไปคว้าปกคอเสื้อด้านหลังของซินหรู หิ้วตัวนางกลับมาพร้อมกล่าวอย่างเห็นขันว่า “เจ้าไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ หากนางปีศาจเฒ่าเช่นไทเฮาวางแผนป้องกันเอาไว้แต่แรก ย่อมต้องส่งคนไปดักรอเจ้าระหว่างทางไปตำหนักซวี่หยางเป็นแน่ เจ้าต้องการโยนตัวเองลงไปในแหหรือ”
ซินหรู “ไอหยา เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเดินอยู่ข้างหน้าพูดเรียบๆ ว่า “อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าออกไปแล้ว ให้ส่งคนไปหลายๆ กลุ่ม แยกออกไปตามเส้นทางต่างๆ นางขวางทางข้างหน้าได้ แต่มิอาจขวางทางข้างหลังได้”
ซินหรูรับคำหนักแน่น “ข้าจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อหลินชิงเวยเดินไปถึงห้องโถงหน้า นางกำนัลหลายคนของตำหนักคุนเหอเกือบจะรอไม่ไหวแล้ว หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าขันทีของตำหนักคุนเหอ มีเขาออกหน้านำพระราชเสาวนีย์ของไทเฮามาด้วยตนเอง หากหลินชิงเวยไม่ทำตาม เช่นนั้นย่อมทำให้ไทเฮาหาเหตุผลในการสร้างความลำบากใจให้กับตนเองแล้ว
เห็นหลินชิงเวยออกมา หัวหน้าขันทีผู้นั้นลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “เหนียงเหนียงออกมาได้เสียที ไทเฮาเหนียงเหนียงมีรับสั่งให้เหนียงเหนียงเข้าเฝ้า เหนียงเหนียงกลับให้ไทเฮาเหนียงเหนียงรอนานเยี่ยงนี้ ไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้ไทเฮาทรงพิโรธหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยหยักยิ้มมุมปาก “กงกงพูดจาอันใดกัน กงกงเองมิใช่สตรี ย่อมไม่รู้ว่าการที่สตรีจะออกจากเรือนนั้นยุ่งยากปากใด ลำดับแรกต้องเลือกอาภรณ์ที่พึงใจหลายชุด อีกทั้งยังต้องสางผมประทินโฉม ไทเฮาของเจ้าใช้เวลาเตรียมตัวในเรื่องเหล่านี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามในทุกๆ เช้ากระมัง ข้าใช้เวลาไปเพียงครึ่งชั่วยาม นี่มิใช่ด้วยคำนึงถึงว่าไม่ปรารถนาให้ไทเฮาทรงต้องรอนานหรอกหรือ” สีหน้าของหัวหน้าขันทีไม่น่าดูอยู่บ้าง หลินชิงเวยพูดอีกว่า “ส่วนเรื่องไทเฮาทรงพิโรธ ตรองดูแล้วต่อให้ข้าไปถึงเร็วขึ้น นางก็ยังคงพิโรธอยู่ดี ระยะนี้ภายในตำหนักในรู้กันทั่ว ตำหนักคุนเหอพายุฝนฟ้าคะนองแทบทุกวันนี่นา”
กงกงไม่อาจพูดอันใดได้อีก จึงได้แต่พูดว่า “เชิญเหนียงเหนียงเถิด”
หลังจากหลินชิงเวยออกไปกับคนของตำหนักคุนเหอ ทางด้านซินหรูได้จัดแจงคนสามกลุ่มมุ่งหน้าไปยังตำหนักซวี่หยาง ข้ารับใช้ในตำหนักฉางเหยี่ยนล้วนให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง หากหลินชิงเวยถูกไทเฮาเอารัดเอาเปรียบที่นั่น พวกเขาซึ่งเป็นบ่าวย่อมไม่อาจมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน ปรากฏว่าหลินชิงเวยคาดเอาไว้ไม่ผิด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่าบาทมาช่วยนาง ไทเฮาถึงกับส่งคนมาขัดขวางคนที่ต้องการนำความไปบอกระหว่างทาง
ภายใต้การคุ้มครองของขันทีตำหนักฉางเหยี่ยน ซินหรูวิ่งไปถึงตำหนักซวี่หยางสำเร็จ นางเพิ่งจะวิ่งไปถึงลานเรือนด้านนอกตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นก็ร้องตะโกนลั่นว่า “แย่แล้วฝ่าบาท พี่สาวถูกไทเฮาจับตัวไปแล้วเพคะ!”