หมัวมัวมิอาจตอบคำได้ นางเพียงแต่พูดจาใส่สีตีไข่เท่านั้น
ต่อมาเซียวจิ่นออกคำสั่ง “ใครก็ได้! ลากตัวบ่าวชราสองคนนี้ลงไปรับโทษโบยคนละห้าสิบไม้!”
“ฝ่าบาทโปรดละเว้นชีวิต! ฝ่าบาทโปรดละเว้นชีวิตด้วยเพคะ!”
เกิดเรื่องราวใหญ่โตภายในตำหนักบรรทม ภายในห้องเหลือเพียงหมัวมัวสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไทเฮาได้สติในที่สุดภายใต้การช่วยเหลือของหลินชิงเวย ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนร้องขอละเว้นชีวิตจากโทษโบยของหมัวมัวที่ดังอยู่ด้านนอก
ไทเฮาหันไปมองเซียวจิ่น นัยน์ตาดำและขาวที่แบ่งกันอย่างชัดเจนคู่นั้นของเซียวจิ่นกำลังจดจ้องไทเฮาอยู่เช่นกัน “เสด็จแม่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
หมอหลวงรีบรุดเข้ามาในยามนี้เอง หลังจากตรวจดูอาการอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วกราบทูลว่าพิษงูในร่างกายของไทเฮาได้รับการถอนพิษ ไม่มีอันตรายใดๆ อีก
ไทเฮาถามขึ้นอย่างไม่ยินยอม “บังอาจถามฝ่าบาท เหตุใดจึงลงโทษโบยคนของเปิ่นกง?”
เซียวจิ่นพูดด้วยท่าทีอ่อนโยน “เสด็จแม่ทรงมีเมตตาและใจกว้างกับพวกนางเกินไป ให้อภัยและปกป้องพวกนางจนเกินเหตุจึงทำให้พวกนางมีความประพฤติกำเริบเสิบสานเยี่ยงนี้ พูดจาเลอะเลือนไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เจิ้นกำลังให้บทเรียนพวกนางแทนเสด็จแม่ หาไม่แล้วต่อไปย่อมต้องกระทำการไร้กฎเกณฑ์ออกมาอีก”
ไทเฮาเห็นเซียวจิ่นประทับยืนอยู่ในตำหนักบรรทม น้ำเสียงของเขาเป็นปกติไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าบนร่างของเขากลับแผ่กลิ่นอายแฝงความกดข่มออกมาเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาเห็นเซียวจิ่นยืนอยู่เบื้องหน้าตนอย่างสง่างาม สูงศักดิ์และคมสัน มิอาจดูหมิ่นได้
นางบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีชนิดหนึ่ง เกรงว่านับแต่นี้ต่อไปนางจะมิอาจใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวปิดแผ่นฟ้าเสียแล้ว
ไทเฮา “ฝ่าบาทน่าจะทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วว่าตามร่างกายของหมัวมัวทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด นี่ล้วนเป็นฝีมือของหลินเจาอี๋ทั้งสิ้น หลินเจาอี๋วางแผนลอบสังหารเปิ่นกง พวกนางต่อสู้และป้องกันสุดกำลังความสามารถจึงช่วยชีวิตเปิ่นกงเอาไว้ได้”
หลินชิงเวยยืนอยู่ด้านข้าง เพิ่งจะช่วยให้หญิงชราผู้นี้ได้สติคืนมา ยามนี้นางเริ่มลืมตาพูดโกหกอีกแล้ว
เซียวจิ่นหันไปมองหลินชิงเวย บนร่างของนางมีคราบเลือดดูน่าอเนจอนาถไม่น้อย น้ำเสียงและสีหน้าของเขาอดที่จะอ่อนลงมาไม่ได้ “หลินเจาอี๋ เป็นดังเช่นที่ไทเฮาตรัสหรือไม่?”
หลินชิงเวยหันไปมองพระพักตร์ซีดเผือดของไทเฮาแวบหนึ่ง “หากหม่อมฉันมีใจจะลอบสังหารไทเฮา เมื่อสักครู่ไทเฮาถูกงูพิษกัดเหตุใดหม่อมฉันต้องช่วยชีวิตไทเฮาด้วยเพคะ? มิสู้ปล่อยให้สิ้นพระชนม์สิ้นเรื่องสิ้นราว ทูลฝ่าบาท ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นไทเฮาที่เรียกตัวหม่อมฉันมาตำหนักคุนเหอ ไทเฮาบีบบังคับถามหม่อมฉันเรื่องวิธีการชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ตลอดกาล หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ เพคะ ทว่าไทเฮาไม่ทรงเชื่อ ทรงตรัสว่าหม่อมฉันสามารถถวายการรักษาอาการประชวรของฝ่าบาทได้ ย่อมต้องทำให้ไทเฮากลับมาอ่อนเยาว์ดังเดิมได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสั่งให้คนเข้ามาจับกุมตัวหม่อมฉันเพื่อจะใช้ทัณฑ์ทรมาน หม่อมฉันทำลงไปเพราะต้องการปกป้องตนเองจึงไม่อาจไม่ลงมือตอบโต้ได้ อีกทั้งหม่อมฉันมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางที่มีคนมากมายเช่นนี้ได้ หากฝ่าบาทเสด็จมาช้าอีกก้าวหนึ่ง อาจจะไม่ได้พบหม่อมฉันแล้วก็เป็นได้เพคะ”
เซียวจิ่นหรี่ตาลงทอดถอนใจและพูดเสียงเบา “ที่แท้เป็นเช่นนี้”
ไทเฮาตวาดเสียงแหลมด้วยความโกรธขึ้งทันที “หลินเจาอี๋! เจ้าเจตนาบิดเบือนเรื่องราว สร้างความร้าวฉานระหว่างเปิ่นกงและฝ่าบาท เจ้ามีแผนการอะไรในใจกันแน่?!”
หลินชิงเวย “หม่อมฉันไม่ได้บิดเบือนเรื่องราวให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเพคะ ฝ่าบาททอดพระเนตรก็จะรู้ได้เองเพคะ” นางพูดแล้วก็เดินไปที่ชั้นวางหนังสือเมื่อสักครู่ หันกลับมาเห็นไทเฮาที่หน้าซีดขาวในชั่วพริบตา นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้ไทเฮา ต่อมานางบิดปุ่มค่ายกลตามที่เห็นหมัวมัวทำก่อนหน้านี้ ชั้นวางหนังสือเปิดออกจากตรงกลาง ประตูหินของห้องลับปรากฏอยู่เบื้องหน้า นางหันมาพูดกับเซียวจิ่น “เมื่อสักครู่ฝ่าบาทยังไม่ทรงเสด็จมา ไทเฮากำลังคิดจะจับตัวหม่อมฉันไปขังไว้ในห้องลับนี้เพคะ เพื่อไม่ให้ใครตามหาหม่อมฉันพบ”
“หลินเจาอี๋ เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
หลินชิงเวยมองไทเฮาอย่างไม่เกรงกลัว “หากหม่อมฉันพูดจาเหลวไหล ไทเฮาจะให้หม่อมฉันรู้ว่ายังมีห้องลับนี้หรือไม่?” นางเห็นความหวาดกลัวพาดผ่านใบหน้าของไทเฮาอย่างชัดเจน เป็นสีหน้าของคนที่ยังมีเรื่องราวซุกซ่อนเอาไว้อีก ดูเหมือนไม่เพียงถูกพบว่ามีการวางแผนชั่วร้ายในครั้งนี้ ยังมีเรื่องอื่นที่ปิดบังไม่ให้ทุกคนล่วงรู้
หากภายในห้องลับไม่มีความลับอื่นอีก ไทเฮาย่อมพูดได้ว่าห้องลับนี้เป็นสถานที่ที่นางเอาไว้เก็บสิ่งของล้ำค่าของนาง นางย่อมไม่มีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเมื่อถูกพบเห็นเข้า ทว่ายามนี้นางกลับหาข้ออ้างสักข้อมากล่าวอ้างไม่ได้
สีหน้าของหลินชิงเวยเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นมา นางหรี่ตาลงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อย่างไรเพคะ ภายในห้องลับยังมีอันใดอีกหรือไม่?”
ม่านตาของไทเฮาขยายขึ้น ยังไม่ทันรอให้นางเอ่ยวาจา หลินชิงเวยพูดขึ้นอีกว่า “ฝ่าบาท ไม่สู้ให้คนเข้าไปตรวจดูในห้องลับ ดูจากสีหน้าท่าทางของไทเฮาแล้วข้างในควรจะมีสิ่งของอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกเพคะ”
ไทเฮาอ้าปาก ทว่ากลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว นางได้แต่ถลึงตามองหลินชิงเวยอย่างเคียดแค้น
เซียวจิ่นเรียกองครักษ์เข้ามาหลายนาย ภายในห้องลับมืดสนิทด้วยไม่มีแสงสว่าง องครักษ์ถือคบไฟเดินเข้าไปด้านใน ภายในถูกปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ดูเหมือนจะแยกออกจากโลกภายนอก เสียงที่ดังขึ้นภายในห้องลับไม่อาจเล็ดลอดออกมาให้คนข้างนอกได้ยินได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ องครักษ์ที่เข้าไปข้างในค่อยๆ ทยอยกันออกมา สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
เซียวจิ่นถาม “พวกเจ้าพบเห็นสิ่งใดด้านล่างบ้าง?”
หนึ่งในองครักษ์ตอบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบโครงกระดูกของมนุษย์อยู่ในห้องลับพ่ะย่ะค่ะ”
เพ้ยๆๆ ดูท่าแล้วได้พบกับความลับใหญ่โตของหญิงชราผู้นี้เสียแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินหญิงชราพูดว่าจะจับกุมหลินชิงเวยเข้าไปทรมานในห้องลับ ดูแล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องเยี่ยงนี้ คาดว่าก่อนหน้าหลินชิงเวยยังมีผู้โชคร้ายที่ตกมาอยู่ในเงื้อมมืออำมหิตของนาง
ไม่รู้ว่าเมื่อครั้งยังสาว เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้วไทเฮาได้ทำเรื่องไร้มโนธรรมมามากน้อยเพียงใด
เซียวจิ่นหันไปมองไทเฮา ร่างของไทเฮาสั่นสะท้านพร้อมกับเอนเอียงไปด้านหลัง เซียวจิ่นรีบออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งของเจิ้น ให้ขนย้ายสิ่งของทั้งหมดในห้องลับออกมาให้หมด”
ท่าทีอวดเบ่งอำนาจบารมีของไทเฮาดูเหมือนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้กระทั่งหมัวมัวข้างกายนางหลายคนต่างสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
คนทั้งหมดเคลื่อนย้ายมาด้านนอกตำหนักบรรทม องครักษ์เข้าออกไม่หยุดหย่อนเพื่อขนย้ายสิ่งของภายในห้องลับออกมา
สิ่งที่ถูกนำออกมาเป็นอย่างแรกก็คือเครื่องมือสำหรับทัณฑ์ทรมานที่เต็มไปด้วยสนิมเขรอะด้วยผ่านมาเป็นเวลาหลายปี เสียงโซ่ตรวนกระทบกันดังเปรื่องๆ เสียงนั้นดังก้องสะท้อนอยู่ในชั้นบรรยากาศช่างบาดหูยิ่งนัก มันปนเปมากับกลิ่นอันเข้มข้นของเหล็กจนแทบแยกแยะไม่ออกว่าคราบเหล่านั้นเป็นโลหิตสดๆ ในยามนั้นหรือเป็นคราบของสนิมกันแน่
ไทเฮาถูกประคับประคองโดยหมัวมัวข้างกายอย่างอ่อนแรง
ต่อมาองครักษ์นำโครงกระดูกออกมาจากห้องลับทีละร่าง วางลงบนพื้นใต้แสงแดดสว่างไสว มีโครงกระดูกสามศพที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่บนโครงกระดูกล้วนทิ้งร่องรอยบาดแผลทั้งลึกและตื้นเอาไว้มากมาย คิดดูแล้วก่อนตาย ผู้ตายคงได้รับทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัส ยังมีโครงกระดูกอีกร่างหนึ่งกระดูกกะโหลกศีรษะแตกร้าวไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์
หลินชิงเวยเห็นเส้นเอ็นทุกเส้นของโครงกระดูกร่างนั้นถูกตัดขาดด้วยวิธีการอันโหดร้ายทารุณก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดว่าก่อนหน้าที่จะตายผู้ตายได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง
เพียงแต่ที่นี่เหลือเพียงแค่โครงกระดูกเท่านั้น หลินชิงเวยแยกแยะเพศของพวกนางได้จากลักษณะของโครงกระดูก ล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น ทว่าไม่มีหลักฐานใดๆ เชื่อมโยงถึงฐานะของพวกนางได้
การต่อสู้ชิงดีชิงเด่นระหว่างสตรีภายในตำหนักใน ผู้ตายล้วนเป็นสตรี
เซียวจิ่นมองโครงกระดูกเหล่านั้นไม่พูดจาเนิ่นนาน ต่อมาเขาช้อนตาขึ้น นัยน์ตาดำขลับทั้งคู่นิ่งลึกยากหยั่งถึงนั้นจับจ้องไทเฮา “ไทเฮา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ไทเฮาพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะ พร้อมกับถอยหลังสองก้าว “เปิ่นกงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน”
คำโกหกคำโตนี้ออกจะไร้เหตุผลเกินไป หลินชิงเวยมองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่ง นางไม่เชื่อว่าเซียวจิ่นจะมองไม่ออก ห้องลับถูกสร้างขึ้นภายในตำหนักบรรทมของไทเฮา ภายในห้องลับมีเครื่องทรมานและโครงกระดูก ไทเฮากลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
ไปหลอกเด็กสามขวบเถอะ