“นั่นก็ยังไม่สมควรเป็นหม่อมฉันเพคะ” หลินชิงเวยยืนกราน
เซียวจิ่น “ชิงเวย เจิ้นเพียงคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการชั่วคราว ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกว่าเจ้าเป็นการชั่วคราว รอให้เจิ้นคุ้นเคยกับตำหนักในแล้วยังต้องรบกวนให้ชิงเวยคัดเลือกผู้ดูเข้าทีออกมาหลายคน ถึงยามนั้นเจิ้นค่อยมอบอำนาจหน้าที่ดูแลควบคุมตำหนักในให้กับพวกนางดีหรือไม่?”
หลินชิงเวยถาม “ฝ่าบาทคิดจะให้หม่อมฉันคัดเลือกสนมให้ฝ่าบาท?”
เซียวจิ่นชะงักไป “ชิงเวยคิดว่าหมายความอย่างนี้ก็ตามนี้เถิด” อย่างไรเขาย่อมต้องคัดเลือกสนมเข้ามาอยู่แล้ว
ไยหลินชิงเวยจะไม่กระจ่างแจ้ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในตำหนักในได้ชื่อว่าเป็นสนมแล้ว เมื่อแรกล้วนแต่งเข้ามาเพื่อเป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับเซียวจิ่น ไม่รู้ผ่อนหนักเบา แม้โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ทว่ากลับเป็นบุตรสาวสายรองหรือไม่ก็เป็นบุตรสาวสายตรงที่มิอาจออกหน้าออกตาได้สักเท่าใดนัก ครั้งนั้นเซียวจิ่นล้มป่วยนอนเป็นผักทุกสามวันห้าวัน บรรดาขุนนางใหญ่เหล่านั้นไหนเลยจะคิดว่าเซียวจิ่นจะหายดีแล้วกลับมายืนได้อีกครั้ง
ในตำหนักในย่อมไม่มีใครสักคนที่เข้าตา ในตำหนักในแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นฐานะบุตรสาวสายตรงของจวนมหาเสนาบดีหลิน หรือความสามารถของหลินชิงเวย นางล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีของเซียวจิ่นชนิดหาคนที่สองออกมาไม่ได้จริงๆ
คิดดูแล้วอีกไม่นานบรรดาขุนนางในราชสำนักย่อมต้องดีดลูกคิดรางแก้วให้บุตรสาวของตนแต่งเข้ามาในวัง เพื่อดึงพวกเขามาเปลี่ยนข้างมาสนับสนุนตน เซียวจิ่นย่อมต้องแต่งสนมเข้ามาอีกจำนวนไม่น้อย ยามนี้แม้เซียวจิ่นจะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อถึงเวลาคัดเลือกประมุขของฝ่ายในอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ต้องคุ้นเคยกับเรื่องราวในตำหนักใน อีกทั้งยังต้องควบคุมดูแลสนมชายาอื่นๆ เอาไว้ได้ด้วย ไหนเลยจะกระทำการเลอะเลือนได้
ที่จริงแล้วหากว่ากันตามข้อตกลงแต่แรก ขอเพียงนางรักษาขาของเซียวจิ่นให้หายดี หากหลินชิงเวยมีความประสงค์จะจากไป พรุ่งนี้นางก็ออกไปจากที่นี่ได้
หลินชิงเวยเงียบขรึม
เซียวจิ่นหันไปมองเซียวเยี่ยน “เสด็จอา ไทเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักคุนเหอ ตำหนักในไร้ประมุข เจิ้นให้ชิงเวยทำหน้าที่ดูแลตำหนักใน ท่านคิดว่าภายในตำหนักในจะหาบุคคลที่สองที่เหมาะสมกว่านางได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยหายใจเข้าลึก หากนางต้องเป็นบุคคลผู้มีความเหมาะสมที่สุด ต่อไปนางย่อมได้ชื่อว่าเป็นสตรีของฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ
เซียวจิ่นรอคำตอบของเขา หลินชิงเวยเองก็รอคำตอบของเขาเช่นกัน
คำตอบของเขาสำหรับหลินชิงเวยแล้วสำคัญยิ่งกว่า ไม่ว่าในใจจะรู้คำตอบตั้งแต่แรกแล้ว แต่นางยังคงวาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปจากปากของเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนหลุบตาลงต่ำทำให้มองไม่เห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเขา เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกว่านางอีกแล้ว”
เซียวจิ่นหันไปมองหลินชิงเวยอย่างคาดหวัง “ชิงเวย เจ้าช่วยเจิ้นได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยหลุบตาลงต่ำ พูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อกระทั่งเสด็จอายังตรัสเช่นนี้ หม่อมฉันยังจะมีอะไรให้พูดได้เพคะ? เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทคัดเลือกสาวงาม โดยคัดเลือกเหล่าสาวงามในเมืองหลวงเข้าวังมาก่อนเพคะ”
แสงตาของเซียวจิ่นหม่นลง ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่ “เจิ้นเพิ่งจะรับช่วงต่องานจากเสด็จอามาไม่น้อย เกรงว่าจะปลีกตัวไม่ได้”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาทอายุไม่น้อยแล้ว ฝ่าบาทไม่มีเวลาไม่เป็นไรเพคะ รอให้คัดเลือกเข้าวังมาแล้ว หม่อมฉันรับผิดชอบการคัดเลือกสาวงาม รับรองจะไม่ให้ฝ่าบาทผิดหวังเพคะ”
เซียวจิ่นใคร่ครวญ อย่างไรเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น “เช่นนั้นมอบให้ชิงเวยไปจัดการเถิด”
หลินชิงเวยกลับไปตำหนักฉางเหยี่ยน ภายในวังหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเป็นสิริมงคล
หลินชิงเวยกลับไปถึงเรือนของตนเอง ปิดประตูห้องแล้วมิได้ออกมาอีก แม้ซินหรูจะเป็นคนขี้ลืม แต่บางครั้งยังคงเป็นคนจิตใจละเอียดอ่อนอย่างที่สุด นางดูออกว่าหลินชิงเวยไม่เบิกบานใจแม้แต่น้อย
ซินหรูไปเคาะประตูห้องและพูดอยู่ข้างนอก “พี่สาวจะออกมากินมื้อเที่ยงหรือไม่เจ้าคะ? ท่าน...ไม่เบิกบานใจใช่หรือไม่?”
ครู่หนึ่ง เสียงของหลินชิงเวยดังออกมาจากข้างใน “อ่านตำราหมดแล้วหรือ อ่านยังไม่หมดก็อย่ามาก่อกวน”
ซินหรูได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ เมื่อนางหันกายจากมาเสียงของหลินชิงเวยดังขึ้นอีก “อาหารเที่ยงเจ้ากินเองเถิด ไม่ต้องเรียกข้า” น้ำเสียงดีขึ้นไม่น้อย
“อ้อ” ซินหรูรับคำแล้วไม่ไปรบกวนนางอีก
หลินชิงเวยนอนอยู่ในห้องทั้งวันกระทั่งมืดค่ำ เมื่อเซียวจิ่นว่างลงจึงมาเยือนตำหนักฉางเหยี่ยนอีกครั้ง
เมื่อเซียวจิ่นรออยู่ในโถงหน้า ข้ารับใช้ในตำหนักฉางเหยี่ยนกำลังจัดเตรียมพระกระยาหารมื้อค่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวจิ่นจะประทับอยู่ที่นี่เพื่อเสวยมื้อเย็นกับหลินชิงเวย
ซินหรูเดินเป็นวงกลมอย่างร้อนใจอยู่นอกห้องของหลินชิงเวย จะให้ฝ่าบาทรอนานไม่ได้ แต่หลินชิงเวยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย รอให้นางนอนอิ่มแล้วค่อยเปิดประตูออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสะลึมสะลือ หัวคิ้วนั้นกลับขมวดมุ่น
นางไปยังห้องรับประทานอาหาร ล้างมือแล้วนั่งลง
เซียวจิ่นเห็นซินหรูยืนอยู่ด้านข้างจึงพูดว่า “ซินหรู เจ้าเข้ามานั่งกินด้วยกันเถิด”
เมื่ออยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน ซินหรูกินอาหารร่วมกับหลินชิงเวยตลอด นางก้าวเข้ามานั่งอย่างไม่เห็นเป็นอื่นเช่นกัน
หลินชิงเวยพูดอย่างเกียจคร้าน “ฝ่าบาทไฉนจึงมีเวลาว่างมาตำหนักฉางเหยี่ยนของหม่อมฉันได้?”
บัดนี้เปลี่ยนเป็นเซียวจิ่นคีบกับข้าวให้หลินชิงเวยเสียแล้ว เขาคีบเนื้อปลาสดให้นางชิ้นหนึ่งและทำเหมือนหลินชิงเวยเมื่อแรก เลาะก้างปลาออกให้นางแล้ววางลงบนถ้วยของหลินชิงเวย เขามองสีหน้าของหลินชิงเวยพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ชิงเวย เจ้าคงไม่ได้โมโหเจิ้นอยู่หรอกนะ”
นอนหลับไปตื่นหนึ่ง หลินชิงเวยแจ่มใสขึ้นมากและจิตใจสงบลงมากเช่นกัน เมื่อกลางวันนางโมโหอยู่สองส่วนจริงๆ ยามนี้เมื่อคิดดูแล้วไม่มีอะไรให้ต้องโมโห หากนางเป็นเซียวจิ่น ย่อมต้องทำเช่นที่เซียวจิ่นทำเช่นกัน อีกทั้งปรารถนาว่าจะได้รับการสนับสนุนจากตน
เซียวจิ่นเห็นนางไม่พูดจาจึงพูดอีกว่า “เรื่องนี้เจิ้นไม่ได้ปรึกษาหารือกับเจ้าก่อน เจิ้นขอโทษเจ้าได้หรือไม่?”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมาเซียวจิ่นด้วยสายตาสงบนิ่ง “เรื่องนี้ฝ่าบาทลำบากใจมากจริงๆ แต่ที่ข้าอยากรู้ก็คือ ฝ่าบาทคงไม่ได้ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อรั้งให้ข้าอยู่ที่นี่กระมัง หากเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทไม่ต้องเสียเวลาอีกแล้ว”
เซียวจิ่นตื่นตะลึงแล้วหัวเราะเสียงขื่น “ชิงเวยเจ้าว่องไวปราดเปรียว ไม่ว่าอะไรก็ปิดบังเจ้าไม่ได้ เจิ้นเคยคิดเช่นนี้จริงๆ หากรั้งเจ้าให้อยู่ที่นี่ได้ เจิ้นย่อมยินดี แต่เมื่อคิดว่าหากทำเช่นนี้ เจ้าคงไม่มีความสุข เช่นนั้นแล้วต่อให้เจิ้นยินดีเพียงใดแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า”
หลินชิงเวยพูดอย่างไม่สบายใจ “ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา ฝ่าบาทไฉนยังทำเช่นนี้”
เซียวจิ่นวางตะเกียบลง “ดังนั้นเมื่อเจิ้นตัดสินใจเช่นนี้ย่อมไตร่ตรองอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว คำสัญญาที่เจิ้นให้กับเจ้าไม่มีทางกลับคำ เพียงแต่สถานการณ์ในเวลานี้นอกจากเจ้าแล้วเจิ้นไม่มีใครที่จะไว้ใจได้ เจิ้นเชื่อใจเพียงเจ้า เจิ้นรู้เช่นกันว่าเจ้าไม่มีทางรับปากอย่างยินดี ไม่สู้ให้คิดเสียว่านี่เป็นการทำการค้าระหว่างเจิ้นกับเจ้าก็แล้วกัน”
หลินชิงเวยหันไปมองเขา
เขายิ้มอ่อนโยนแล้วพูดอีกว่า “เจิ้นให้เจ้ารั้งอยู่เพื่อสะสางเรื่องราวภายในตำหนักใน ย่อมต้องแสดงน้ำใจบ้างมิใช่หรือ?” พูดแล้วเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งวางลงเบื้องหน้าหลินชิงเวย “ชิงเวย เจ้าเปิดดูสิ”
หลินชิงเวยเปิดออกดู เห็นเพียงโฉนดที่ดินสองแผ่น “คฤหาสน์หลังหนึ่งในตงเฉิง ยังมีร้านสมุนไพรติดถนนในทำเลทองอีกแห่งหนึ่ง?”