นางพลันกระจ่างแจ้ง เซียวจิ่นมีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ยามนี้เขาทำตัวสบายเช่นนั้นแสดงว่าเขายังได้เตรียมคนคุ้มกันในที่ลับ เขาไม่ได้พาคนมาเพียงแค่ท่อนไม้สี่ท่อนด้านนอกเท่านั้น
เมื่อละครชูโรงกำลังจะเริ่มแสดง หลินชิงเวยเห็นคณะดนตรีกำลังเตรียมตัวบรรเลงแล้ว นางพลันลุกขึ้นกล่าวว่า “คุณชาย ข้าขอตัวสักครู่”
เซียวจิ่น “เป็นอะไรไป? เจิ้นจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
หลินชิงเวยกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา “คนเรามีเรื่องเร่งด่วนสามเรื่อง ท่านแจ่มแจ้งดี”
เซียวจิ่นเข้าใจความหมายจึงหน้าแดงทันที “เช่นนั้นเจ้ารีบไปรีบมา”
หลินชิงเวยเดินออกไปวนอยู่รอบๆ ชั้นสอง นอกจากดวงตาคู่นั้นของเซียวจิ่นแล้ว นางยังรับรู้ได้ว่ายังมีสายตาอีกคู่หนึ่งมองตามตนอยู่
เมื่อนางเดินผ่านโต๊ะลูกค้าคนหนึ่ง เห็นบุรุษผมเผ้าหน้าตามันเยิ้มผู้หนึ่งกำลังโอบซ้ายกอดขวาสตรีเอาไว้ ดูท่าแล้วน่าจะพาอนุในเรือนมาดูละคร หลินชิงเวยบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้น จึงทำทีเหมือนไม่เจตนาเดินสะดุดขาที่บุรุษผู้นั้นยื่นออกมา นางส่งเสียงร้องด้วยความตกใจเกือบจะล้มลงไป
หลินชิงเวยเอามือกุมอกหอบหายใจสองครั้ง
บุรุษผู้นั้นช้อนตาขึ้นมามองว่าเกิดอะไรขึ้นตามความคาดหมาย เดิมทีใบหน้านั้นเต็มไปด้วยโทสะกำลังคิดจะด่าทอผู้คน แต่เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นเห็นรูปโฉมของหลินชิงเวยพลันมีสีหน้าตื่นตะลึงพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง
หลินชิงเวยรีบกล่าวขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยนายท่านท่านนี้ ข้าเดินไม่ทันระวัง…”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” บุรุษผู้นั้นพูดแล้วยื่นมือออกมาหมายจะประคองหลินชิงเวย ดวงตาเป็นประกายวาบ “แม่นางน้อย เจ้าหกล้มหรือไม่?”
หลินชิงเวยก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวด้วยสีหน้าประหม่า ทำให้บุรุษผู้นั้นมองเห็นแล้วยิ่งบังเกิดความกล้าเดินเข้ามาอีกสองก้าว “รีบมาให้ข้าดูหน่อย เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นบอบบางเยี่ยงนี้ล้มลงที่ไหนหรือไม่?”
หลินชิงเวย “ขอนายท่านให้เกียรติด้วย”
ยิ่งหลินชิงเวยมีท่าทีน่าเวทนาเท่าใด อีกฝ่ายยิ่งใจกล้าเท่านั้น จึงยื่นไม้ยื่นมือออกมาจะแตะต้องสัมผัสหลินชิงเวย ทว่าเขายังไม่ทันได้แตะต้องหลินชิงเวยพลันมีเงาร่างสีดำร่างหนึ่งพาดผ่านเข้ามาจับมือของบุรุษกักขฬะผู้นั้นไว้ทันใด ดูท่าแล้วไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงอันใด แต่บุรุษผู้นั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
คนชุดดำผู้นี้หลินชิงเวยไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่หลินชิงเวยกลับเชื่อว่าผู้ที่สะกดรอยตามนางมาก็คือหนุ่มน้อยเย็นชาคนนี้
ชายหนุ่มผู้นี้จับมือของบุรุษกักขฬะไว้ไม่ปล่อย ทว่ากลับพูดเสียงต่ำกับหลินชิงเวย “แม่นางไปเถิด”
หลินชิงเวยกลอกดวงตาคู่งามไปมาแล้วยิ้มร้ายกาจพร้อมกับหันกายสะบัดกระโปรง “ไปห้องเวจสักครั้งก็ยังต้องมีคนตามมา ไม่เห็นว่าจะเป็นสิ่งของดีอะไร”
ชายหนุ่มตื่นตะลึงและกระอักกระอ่วนใจยิ่งยวด เขารู้ว่าหลินชิงเวยพบเห็นเขาแล้ว หากเขายังติดตามไปอีกเช่นนั้นก็หน้าหนาเกินไป
เพียงแต่ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของหลินชิงเวย
บุรุษกักขฬะผู้นั้นเห็นหลินชิงเวยกำลังจะจากไป เขาส่งเสียงร้องด้วยความละโมบอีกทั้งยังถูกชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เจ็บปวด จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะ เขาด่าทอเสียงดังออกมาหลายประโยค ชายชุดดำผละออกมา บุรุษกักขฬะผู้นั้นคิดว่าถูกปล่อยตัวแล้วจึงเรียกบ่าวชายมาต่อยตีกับเขา
เมื่อหลินชิงเวยเดินเลี้ยวเข้าไปในมุมหนึ่งจึงลอบหัวเราะที่เห็นบ่าวชายหลายคนพัวพันอยู่กับชายชุดดำ บ่าวชายเหล่านั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต เขาจึงไม่อาจไม้ใช้วิธีการละมุนละม่อมในการจัดการรับมือ จึงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย
รอเมื่อเขาจัดการบ่าวชายเหล่านั้นแล้วจึงพบว่าหลินชิงเวยหลุดรอดสายตาของเขาไปเสียแล้ว
หลินชิงเวยไม่รู้ว่าผู้ที่คอยคุ้มกันอยู่ในที่ลับเป็นคนของเซียวจิ่นหรือเซียวเยี่ยน แต่ในเมื่อเซียวจิ่นไม่ต้องการให้เซียวเยี่ยนรู้เรื่องที่เขาออกจากวัง เช่นนั้นมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนของเซียวเยี่ยน หรือกระทั่งเซียวจิ่นก็ยังไม่รู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่
โรงละครแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ละครบนเวทีเริ่มการแสดงแล้ว หลินชิงเวยเดินวนไปรอบๆ โรงละคร ในที่สุดก็มองหาซินแสท่านหนึ่งพบ ซินแสท่านนั้นมีพู่กันและหมึก นางจึงขอยืมพู่กันและหมึกของเขามาเขียนจดหมายแล้ววิ่งไปที่หน้าต่างใต้หลังคาของชั้นสอง เรียกพิราบสื่อสารมาใส่จดหมายฉบับนั้นลงไปกระบอกจดหมาย ลูบหัวของมันและกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าจะต้องส่งไปที่ใดใช่หรือไม่?”
พิราบสื่อสารกางปีกขึ้นบิน หลินชิงเวยไม่กังวลใจแม้แต่น้อย ด้วยพิราบสื่อสารตัวนั้นเป็นพิราบสื่อสารที่รับรู้ความรู้สึกระหว่างนางและเซียวเยี่ยนได้ ใช้เวลาไม่นานเซียวเยี่ยนย่อมรู้ว่าเซียวจิ่นอยู่ที่ไหน
ที่จริงแล้วนางไม่ใช่ปากเปราะช่างฟ้อง นางเพียงแต่ป้องกันเอาไว้ก่อน
เมื่อเสร็จภารกิจหลินชิงเวยสงบสติอารมณ์แล้วเดินกลับไป ชัดเจนยิ่งนักว่าเมื่อนางกลับไปถึง เซียวจิ่นมีท่าทีร้อนใจกำลังจะออกไปตามหานาง เห็นนางกลับมาแล้วจึงอดที่จะพรูลมหายใจออกมาไม่ได้ เขาลากนางนั่งลง “เหตุใดไปนานเช่นนั้นเล่า? เป็นอย่างไร เมื่อสักครู่ไม่มีใครรังแกเจ้ากระมัง?”
หลินชิงเวยหัวเราะแล้วส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบให้คนตามข้าไปห้องเวจ ดังนั้นจึงเดินอ้อมอีกรอบหนึ่ง”
สีหน้าของเซียวจิ่นเกร็งค้าง ไม่พูดอันใดอีก เขาเอ่ยเพียงว่า “รีบดูเถิดละครเริ่มแล้ว”
ที่จริงแล้วหลินชิงเวยไม่ชอบดูละครของคณะเทียนสุ่ยหยวนนัก อาจเป็นเพราะความรู้ทางด้านวัฒนธรรมของนางน้อยเกินไป ได้ยินเสียงร้องรำอีอาอีอาเท่านั้น ทว่าชั้นล่างมักจะมีเสียงปรบมือดังสนั่นและเสียงชมเชยว่าดี กระทั่งเซียวจิ่นก็ดูละครจนอย่างมีอรรถรสแทบจะไม่กะพริบตา
รอเมื่อละครจบแล้วทุกคนต่างยังคงติดอยู่ในโลกของละคร
ต่อมาคณะละครได้ส่งตัวละครมีชื่อออกมาร้องเดี่ยว แต่สุดท้ายยังคงต้องจากลาทั้งไม่พึงพอใจ ทุกคนต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของคณะละครเทียนสุ่ยหยวน หาไม่แล้วจะส่งผลให้ผู้ชมทั้งหลายไม่ปฏิบัติตาม
ลูกค้าชั้นล่างเริ่มแยกย้าย ต่อมาลูกค้าชั้นสองเริ่มแยกย้ายเช่นกัน
เซียวจิ่นหันมาทอดถอนใจกับหลินชิงเวย “ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริงๆ ช่างมีสีสันยิ่งนัก!”
“คุณชาย…” ผู้ติดตามด้านนอกเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
“อะไรเล่า?” เซียวจิ่นหันกลับไป เขาตวัดสายตาไปเพียงครั้งเดียวก็แข็งค้างไปทั้งร่าง
ด้วยหลินชิงเวยมองเห็นแล้วเช่นกัน ด้านนอกผ้าม่านมีพระองค์ใหญ่ยืนอยู่คนหนึ่ง
หลินชิงเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพรูลมหายใจโล่งอกหรือสูดลมหายใจเข้าปอดดี
เซียวเยี่ยนอยู่ด้านนอกผ้าม่าน สีหน้าของเขาไม่ชัดเจน เขาพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “มีสีสัน?”
ยามนั้นเซียวจิ่นพูดอะไรไม่ออก เขาหันมามองหลินชิงเวย หลินชิงเวยได้แต่แสดงสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาจึงกุมมือหลินชิงเวยเพื่อปลอบใจ
ออกมาจากคณะละครเทียนสุ่ยหยวน เดิมทีมีกันสองคนยามนี้เปลี่ยนเป็นสามคน เพียงแต่บรรยากาศภายในรถม้าออกจะประหลาดสักหน่อย ไม่มีใครเอ่ยปากพูดจาแม้แต่คนเดียว
เซียวจิ่นยังคงกริ่งเกรงเซียวเยี่ยนอยู่บ้าง “เสด็จอา ท่านอย่าได้กล่าวโทษชิงเวย เป็นเจิ้นยืนกรานที่จะออกมา”
เซียวเยี่ยนมองหลินชิงเวยนิ่งๆ แวบหนึ่ง “ข้ารู้ว่านางยังไม่มีความกล้าหาญถึงเพียงนี้”
เซียวจิ่นอ้าปากพูดอีกว่า “เจิ้นคิดจะออกตรวจราชการแผ่นดิน ในใจคิดเพียงแต่จะออกมาพบปะกับชาวบ้าน อย่างไรก็มีผลดี…”
เซียวเยี่ยน “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ฝ่าบาทสมควรออกมาจากวังมาดูภายนอกบ้าง หาไม่แล้วย่อมต้องถูกบรรดาขุนนางในราชสำนักปิดหูปิดตา” เซียวจิ่นได้ยินแล้วตะลึงงัน เขาคิดว่าเซียวเยี่ยนไม่มีทางอนุญาตให้เขาออกจากวัง เขาได้ยินน้ำเสียงของเซียวเยี่ยนเข้มงวดขึ้น “เพียงแต่ฝ่าบาทออกมาอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ เป็นการประมาทเกินไป หากระหว่างทางเกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้นควรทำอย่างไรดีเล่า? ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ไหนควรจะบอกกับข้าสักคำ”