เสี่ยวฉีไม่ต่อสู้ขัดขืนเช่นกัน เขาได้แต่ยอมรับว่า “นี่เป็นเพราะทำเพื่อเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยยิ่งเดือดดาล คนทั้งหมดล้วนบอกว่าทำเพื่อนาง ทว่ากลับไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่นางปรารถนาหรือไม่ หลินชิงเวยกำหมัดแน่นหมายจะฟาดลงบนหน้าของเสี่ยวฉี เสี่ยวฉีได้แต่หลับตาลงยอมรับชะตากรรม หลินชิงเวยกลับยั้งมือเอาไว้ “ในเมื่อเขาไม่ยินยอมให้ข้าตามไปด้วยเหตุใดเจ้าจึงไปกับเขา?!” เสี่ยวฉีอ้าปากคิดจะตอบกลับถูกหลินชิงเวยขัดขึ้นว่า “ในวังหลวงแห่งนี้ยังจะมีอันตรายอันใดต้องให้เจ้าคุ้มครองพวกเรา เกิดเรื่องแล้วข้าจะไม่มีปัญญาแก้ไขเลยหรือ เจ้ามันสุนัขจิ้งจอกตาขาว เขาให้เจ้าไม่ต้องไป เจ้าก็ไม่ไปจริงๆ หรือ พูดให้กระจ่างแจ้งแล้วเจ้าก็หักใจจากซินหรูไม่ได้กระมัง หืม?”
หลินชิงเวยพูดออกไปแล้ว สีหน้าของเสี่ยวฉีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ท่ามกลางแสงไฟจากโคมไฟทางเดิน สีหน้าของเขาก้ำกึ่งระหว่างการต่อสู้ดิ้นรนและความเจ็บปวด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้านายของออกเดินทางไกลแล้วมิได้ให้เขาติดตามไปด้วย แต่กลับให้เขารั้งอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องคุ้มครองสตรีสองคน เขาไหนเลยจะไม่อยากไปด้วย ทว่านี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องเขาไม่อาจขัดขืน สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋องอย่างดี
หลินชิงเวยเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงค่อยๆ คลายมือออกปล่อยเขา “ข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋องมีเพียงเจ้าเป็นองครักษ์ผู้ติดตามเพียงคนเดียวหรือไม่?”
เสี่ยวฉีตอบเสียงขื่น “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องในคืนนี้ เป็นเจ้าที่คาบข่าวไปบอกใช่หรือไม่?”
ที่จริงแล้วเสี่ยวฉีเองปรารถนาให้หลินชิงเวยออกจากวังอย่างราบรื่นจะแย่ แม้จะช้าไปสองวัน แต่ขอเพียงมุ่งหน้าลงทางใต้ไม่แน่ว่าอาจจะไล่ตามเซ่อเจิ้งอ๋องทัน เขารู้ดีว่าหลินเจาอี๋ที่อยู่เบื้องหน้านี้มิสามัญ หากมีนางอยู่ด้วยย่อมช่วยเหลือเซ่อเจิ้งอ๋องให้ทำงานง่ายขึ้นเท่าตัว เช่นนี้แล้วเขาจะเป็นผู้ไปแจ้งข่าวได้อย่างไร
เสี่ยวฉีตอบ “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
หลินชิงเวยถอยหลังไปสองก้าวแล้วหันกายกลับไป “ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”
เสี่ยวฉีมองเงาร่างด้านหลังของนางและเอ่ยขึ้นขณะที่นางกำลังเดินเข้าในห้อง “ขบวนเงินช่วยเหลือของราชสำนักออกเดินทางวันนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่ท่านอ๋องเสด็จลงทางใต้ เรื่องเงินช่วยเหลือเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เขาออกจากเมืองหลวงตั้งแต่สองวันก่อนเพื่อความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
มือของหลินชิงเวยหยุดชะงัก ต่อมาเสี่ยวฉีได้ยินเสียงปิดประตูดังปัง
หลินชิงเวยไม่มีกะจิตกะใจจะนอนหลับตลอดทั้งคืน ทางหนึ่งนางเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเซียวเยี่ยนในครั้งนี้ อีกทางหนึ่งกำลังไตร่ตรองว่าคืนนี้นางถูกเซียวจิ่นพบได้อย่างไร หากคิดจะเร้นกายออกไปอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องยากแสนยาก เซียวจิ่นคาดเดาได้ว่าคืนนี้นางจะออกจากวัง?
วันรุ่งขึ้นเซียวจิ่นมาเยือนตำหนักฉางเหยี่ยน แม้หลินชิงเวยจะออกมาต้อนรับ แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนขึ้น ทั้งสองต่างมีเรื่องในใจจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมเฉกเช่นกาลก่อนอย่างเห็นได้ชัด
หลินชิงเวยพลันบังเกิดความรู้สึกว่านางไม่อาจปฏิบัติต่อเซียวจิ่นเฉกเช่นปฏิบัติต่อเด็กน้อยคนหนึ่งอีกต่อไป อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานเช่นนี้ตลอดมาในใจนางเห็นเขาในยามที่เขาอยู่ในสภาพอ่อนแอเปราะบางที่สุด หลินชิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นน้องชายคนหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นการกระทำและการพูดจา นอกจากให้ความเกียรติเขาในฐานะฮ่องเต้แล้วยังมีความรักและเอ็นดูประหนึ่งน้องชายอีกสองส่วน
ทว่ายามนี้เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน นับจากร่างกายของเขาหายดีเป็นต้นมาเขามีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ เขากล้าต่อสู้กับไทเฮาเพื่อปกป้องนาง หรือการปกป้องนางอาจเป็นเรื่องรองลงมา เรื่องสำคัญสมควรเป็นเรื่องที่เขาสบโอกาสอันดีที่จะกดข่มไทเฮา เพื่อระบายโทสะที่ต้องข่มกลั้นตลอดหลายปีมานี้ของตน เขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการรั้งนางให้อยู่ที่นี่ต่อไปหรือเป็นเพราะเขาจนปัญญา จึงมอบหน้าที่ดูแลสามพระตำหนักหกหมู่เรือนให้กับนาง และถือเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีความจริงใจและถือสา เขาตระหนักดีว่าหลินชิงเวยไม่อาจขัดราชโองการตามอำเภอใจ และรู้ว่าในใจนางไม่ยินยอม ดังนั้นจึงใช้คฤหาสน์หลังหนึ่งและร้านค้าร้านหนึ่งมาปลอบประโลมจิตใจของนาง บัดนี้เขาคาดการได้ว่าหลินชิงเวยจะลอบออกจากวังในคืนนี้ ดังนั้นจึงได้สั่งให้คนไปรอที่นั่นล่วงหน้าจึงพานางกลับมาได้อย่างราบรื่น
ในเวลาชั่วพริบตาหลินชิงเวยคิดมากเกินไป มีความไม่แน่ใจของเรื่องราวมากมายที่ประดังประเดถาโถมเข้ามาในสมองของนาง ทำให้นางรู้สึกห่างเหินกับเซียวจิ่นหลายส่วน
บางครั้งนางไม่ยินยอมที่จะประเมินจิตใจของคนรอบข้างตัวเอง ไม่ยินดีนำเรื่องดีๆ คิดไปในทางร้าย หากปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยให้ผ่านไป แต่บัดนี้นางไม่อาจไม่คิดแล้ว
ในตำหนักนางกำนัลกำลังยกน้ำชาขึ้นโต๊ะ ควันเป็นสายลอยขึ้นมาจากฝาน้ำชา เซียวจิ่นมองคิ้วตาของหลินชิงเวยผ่านไอควันเป็นสายอย่างสงบนิ่ง นิ้วมือของเขาลูบไปขอบถ้วยน้ำชาและถามเสียงเบา “ชิงเวย เจ้ายังโมโหเจิ้นหรือ”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นทว่ารอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา “ไหนเลยจะกล้าเพคะ ฝ่าบาททรงตรัสอะไรกัน”
เซียวจิ่นพูดเสียงขื่น “เจิ้นรู้ดี แต่ให้โอกาสเจิ้นอีกครั้ง เจิ้นยังคงขัดขวางเจ้าอย่างไม่ลังเล” รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาโดดเดี่ยวและอ่อนโยน “เสด็จอายังคงเข้าใจเจ้า เมื่อเขาจะออกเดินทางได้กำชับเจิ้นให้ดูแลเจ้าให้ดี ไม่ให้เจ้าทำเรื่องหุนหันพลันแล่น”
หลินชิงเวยตกตะลึง เป็นเซียวเยี่ยนกำชับเขาเอาไว้? เซียวเยี่ยนเป็นคนมีแผนการเช่นนี้จริงๆ
เซียวจิ่นพูดอีกว่า “เรื่องที่เสด็จอาคาดเดาเอาไว้มักจะถูกต้องเสมอ หากเจิ้นประมาทเลินเล่ออีกสักนิด ย่อมต้องถูกเจ้าวางกับดักเสียแล้ว”
เขาทอดถอนใจ “ต่อให้วังหลวงแห่งนี้จะไม่ดีอย่างไร เจ้าจะไม่ชอบอย่างไร ก็ต้องอดทนอดกลั้นรอเขากลับมา”
หลินชิงเวยหลุบตาลงไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
“ชิงเวย แม้เจ้าจะเคยออกไปนอกวังสองหน แต่เจ้าถือกำเนิดมาเป็นบุตรสาวสายตรงของจวนมหาเสนาบดี เป็นคุณหนูพันชั่ง เจ้าเคยออกนอกเมืองหลวงหรือไม่? เจิ้นรู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเขา ทันทีที่เจ้าออกจากเมืองหลวงแล้วรู้หรือไม่ว่าจะเดินทางอย่างไร? เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียว คำพูดของคนแปลกหน้าไม่ควรไว้เนื้อเชื่อใจ และไม่มีสถานที่ปลอดภัยให้เจ้าได้พักพิง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเจ้าจะไล่ตามเสด็จอาไม่ทัน อีกทั้งยังตกอยู่ในสถานที่อันตราย ถึงเวลาเจ้าจะทำอย่างไร?”
เซียวจิ่นสะบัดชายแขนเสื้อพูดเสียงอ่อน “ดังนั้นเจ้าจะโทษเจิ้นก็ไม่เป็นไร เจิ้นไม่อาจปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายได้”
เมื่อหลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเขา นางเห็นเพียงความจริงใจและความว้าวุ่นใจในดวงตาของเขา ในที่สุดนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่พวกท่านทุกคนปรารถนา เช่นนั้นก็ให้พวกท่านสมปรารถนาก็แล้วกัน”
ต่อมานางรั้งอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างสงบเสงี่ยมจริงๆ จังๆ
หลายวันมานี้ข้างนอกหิมะกำลังตก บนพื้นถูกหิมะที่ตกลงมาครอบคลุมเป็นชั้นสีขาว ไม่ว่าบรรดาขันทีและนางกำนัลจะกวาดหิมะทุกวัน ทว่าในลานเรือน ใบไม้ที่กวาดไปไม่ถึงล้วนถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวจนต้นไม้ต้องโน้มกิ่งลงมา
กรมวังกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องนางสนมที่จะเข้าปรนนิบัติรับใช้เซียวจิ่น ก่อนหน้านี้เซียวจิ่นไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดสตรีคนใดมาก่อน อีกทั้งเขาไม่แจ่มแจ้งเรื่องความรักระหว่างชายหญิงสักเท่าใดนัก
ขันทีของกรมวังไปเยือนตำหนักซวี่หยางเพื่อมอบสมุดและภาพวาดประกอบต่างๆ หมายจะให้เซียวจิ่นได้รับความรู้จากตำรานั้น เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร
ไหนเลยจะคิดว่า เซียวจิ่นเป็นหนุ่มน้อยบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดไปในทางนั้น ทันทีที่เขาเปิดสมุดภาพเหล่านั้นพลันได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ถึงกับบันดาลโทสะ กล่าวโทษกรมวังที่ส่งสิ่งของสกปรกเหล่านี้มาให้เขาเป็นการเฉพาะ คนของกรมวังทั้งหมดล้วนต้องได้รับโทษ ซ้ำเซียวจิ่นไม่ยินยอมรับสิ่งของเหล่านี้อีกต่อไป
ขันทีของกรมวังได้รับความทุกข์ยาก ระหว่างที่หาทางออกไม่ได้ นางกำนัลและขันทีของตำหนักซวี่หยางได้แต่มาขอร้องหลินชิงเวยเป็นการส่วนตัว อยากจะเชิญหลินชิงเวยไปตรวจดูว่าฝ่าบาทมีโรคบางอย่าง….ที่ซ่อนอยู่หรือไม่