นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเอ่ยถึงอันใดและไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ ในเมื่อบรรดานางสนมในตำหนักในล้วนตั้งตารอคอยอยู่ เซียวจิ่นจะสามารถสืบทอดทายาทได้ในวันหน้า ดังนั้นนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญของตำหนักใน ไม่อาจไม่ให้หลินชิงเวยมาตรวจดูชีพจรในยามกลางดึก
แล้วยังได้ยินขันทีวัยชราของตำหนักซวี่หยางเอ่ยกล่าวอ้างถึงอดีตฮ่องเต้ในกาลก่อนว่าแต่งสนมเข้ามา ร่วมหอ และให้กำเนิดทายาทเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลอย่างไร ฮ่องเต้องค์ใดมีสนมในตำหนักมากน้อยแค่ไหนและสงบสุขเพียงใด อย่างไรแตกต่างจากยามนี้ที่ไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว
เมื่อหลินชิงเวยได้ยินแล้วถึงกับมุมปากกระตุก หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
เด็กในยามนี้ต่อให้เป็นผู้ใหญ่เร็วอย่างไร เซียวจิ่นอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ยังคาดหวังให้เขาสืบทอดทายาท? อีกทั้งด้วยเหตุใดเมื่อเซียวจิ่นได้รับตำราวังวสันต์ที่กรมวังส่งไปแล้วเกิดความรู้สึกรังเกียจขยะแขยงและมีปฏิกิริยาต่อต้าน นั่นเป็นเพราะเขายังไม่มีความรู้พื้นฐานอันใดเลย
ก่อนที่กระบี่เยี่ยมยุทธ์จะออกจากฝัก ยังคงต้องผ่านการลับให้คมเสียก่อนกระมัง
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงสะพายล่วมยาตามขันทีของตำหนักซวี่หยางกลางดึก ให้เซียวจิ่นเรียนรู้แต่เนิ่นๆ เมื่อเขาต้องร่วมหอกับนางสนมในตำหนักใน ย่อมทำให้เขาสามารถคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมมารับผิดชอบตำแหน่งประมุขของตำหนักในเร็วขึ้น เช่นนี้แล้วหลินชิงเวยจะได้ทำภารกิจที่ได้ทำความตกลงกับเซียวจิ่นให้เรียบร้อย
ความรู้ทางด้านนี้นับว่าหลินชิงเวยค่อนข้างแตกฉานพอสมควร
หิมะตกหนัก ทันทีที่มาถึงตำหนักซวี่หยางร่างของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยไอเย็น เซียวจิ่นได้ยินว่านางมาแล้วจึงรีบให้นางเข้าไปในตำหนักบรรทม
ภายในตำหนักซวี่หยางมีเตาอุ่นไร้ควันอยู่ทุกมุม แสงสว่างจากโคมไฟผ้าโปร่งทำให้บรรยากาศอบอุ่นอ่อนโยนเป็นพิเศษ เซียวจิ่นเบิกตามองหลินชิงเวย ผิวพรรณของนางถูกความหนาวเย็นทำให้กลายเป็นสีขาวประดุจหิมะ ริมฝีปากแดงประดุจผลท้อ บนร่างของนางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนและคลุมกันลมหนังจิ้งจอกหนึ่งตัวราวกับฝ่าลมหนาวเข้ามา
ภายในตำหนักบรรทมอบอุ่นเสมือนวสันตฤดู เซียวจิ่นสวมเพียงเสื้อแขนยาวบางๆ ตัวเดียว ทว่ากลับไม่รู้สึกหนาวเหน็บ เขาเห็นท่าทางของหลินชิงเวยจึงอดปวดใจไม่ได้ เขายื่นมือขึ้นปัดหิมะบนเส้นผมของนาง ทว่ากลับถูกหลินชิงเวยหลบเลี่ยง เขาไม่คิดมากอันใดเพียงแต่ดึงล่วมยามาจากหลินชิงเวยแล้ววางลงบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อากาศหนาวเช่นนี้ ไฉนเจ้าจึงไม่พักผ่อนอยู่ในตำหนักเล่า?”
แต่นางมาเยือนในเวลานี้เซียวจิ่นยังคงรู้สึกเบิกบานใจอย่างยิ่ง
หลินชิงเวย “ได้ยินว่าฝ่าบาททรงประชวร หม่อมฉันจึงมาดูสักหน่อยเพคะ”
เซียวจิ่นนึกอะไรขึ้นได้ จึงพูดขึ้นด้วยท่าทีรังเกียจ “เจิ้นไม่ได้ป่วย เจิ้นดูแล้วคนที่ป่วยคือพวกเขา!” เขาหันมามองหลินชิงเวยอีกครั้ง สายตานั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “เจ้ารีบปลดเสื้อคลุมกันลมเถิด สะบัดหิมะข้างบนออกไป”
หลินชิงเวยปลดเสื้อคลุมกันลมออก สะบัดสองครั้ง แล้วนำไปวางไว้บนฉากกันลมข้างๆ เตาอุ่นเพื่อผึ่งให้อบอุ่น ชุดกระโปรงบนร่างของนางไม่นับว่าเนื้อบางเท่ากับอาภรณ์ในฤดูร้อน แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางเอาไว้ได้
เซียวจิ่นไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดเมื่อเขาเห็นเรือนร่างแบบบางของหลินชิงเวยแล้วพลันกระหวัดถึงภาพในตำราวังวสันต์ที่เขามองผ่านตาและติดอยู่ในสมองของเขา ทำให้เขาหน้าแดงและจิตใจร้อนรุ่มขึ้นมาจึงรีบหันหลังให้ เดินไปนั่งบนตั่งดื่มน้ำชาไปสองคำ
หลินชิงเวยเดินเข้ามา ร่างของนางมีกลิ่นหอมจางๆ คล้ายมีคล้ายไม่มี นางนั่งลงโดยมีโต๊ะน้ำชาคั่นกลางระหว่างนางและเซียวจิ่นแล้วหยิบหมอนรองแขนออกมา “เชิญฝ่าบาทยื่นพระหัตถ์ออกมาเพคะ”
เซียวจิ่นกลับไม่ยอมยื่นมือออกมาท่าเดียว เขาได้แต่มองหลินชิงเวยด้วยสายตารุ่มร้อน “ชิงเวย กระทั่งเจ้าก็ยังคิดว่าเจิ้น…คิดว่าเจิ้นป่วย?”
หลินชิงเวยหัวเราะ “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงตื่นเต้นเช่นนี้เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่มาตรวจดูชีพจรของฝ่าบาทเท่านั้น ดูว่าพลานามัยของฝ่าบาทแข็งแรงดีหรือไม่”
เซียวจิ่นได้ยินเช่นนั้นจึงลดปราการการป้องกันตัวลง “ก็ได้ เจิ้นเชื่อเจ้า” พูดแล้วก็ยื่นมือออกมาพร้อมกับเลิกชายแขนเสื้อ
หลินชิงเวยฟังชีพจรของเขาครู่หนึ่ง “ฝ่าบาททรงมีพลานามัยแข็งแรงดีเพคะ เปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงพละกำลัง แต่ชีพจรไม่ค่อยมั่นคงนัก คิดดูแล้วน่าจะเป็นเพราะธาตุไฟในตับกำเริบจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ดื่มน้ำชาสงบใจสักสองกาก็ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”
เซียวจิ่นได้ยินเช่นนั้นจึงพรูลมหายใจโล่งอก “หลายวันมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เจิ้นจะไม่มีน้ำโหได้อย่างไร” พูดแล้วก็ตบโต๊ะปัง “กรมวังช่างดีนัก สุนัขรับใช้พวกนี้ถึงกับกล้าไปร้องเรียนถึงตำหนักของเจ้า”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาทอย่าได้กล่าวโทษพวกเขาเพคะ หม่อมฉันดูแล้วเป็นเพราะพวกเขาเป็นห่วงฝ่าบาท” หยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดเสียงเบาอีกว่า “รายชื่อใหม่ที่กรมวังส่งขึ้นมา ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังไม่มีประสบการณ์ ก็ควรจะเรียนรู้สักหน่อยเพคะ”
เซียวจิ่นได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาพลันแดงเถือก เขาแทบจะไม่กล้ามองหน้าหลินชิงเวย “เรื่องสกปรกเหล่านั้น เจิ้นไม่เรียนรู้! เจิ้นคิดไม่ถึงว่าภายในวังหลวงจะมีของอุจาดตาเหล่านั้นอยู่ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เจิ้นจะเผาตำราประเภทนั้นทั้งหมดในวังให้สิ้นซาก!”
หลินชิงเวยมองดูท่าทางของเซียวจิ่นแล้ว รู้สึกว่าเขาไม่ประสาเรื่องพรรค์นั้นจนน่ารักน่าเอ็นดูอยู่บ้าง
หลินชิงเวยกล่าวอย่างเห็นขัน “ฝ่าบาทอย่าได้ทำเช่นนั้นเพคะ เรื่องพรรค์นั้นไม่เพียงแต่ฝ่าบาทที่ต้องทรงเรียนรู้ บรรดานางสนมของตำหนักในล้วนต้องเรียนรู้ว่าจะต้องปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทอย่างไร คุณหนูพันชั่งเหล่านั้นเพิ่งจะเข้าวังมาไม่มีความรู้เกี่ยวเรื่องพรรค์นั้นเฉกเช่นเดียวกับฝ่าบาท แต่อย่างไรล้วนต้องผ่านประสบการณ์ในขั้นตอนนี้มิใช่หรือเพคะ?”
เซียวจิ่นมองหลินชิงเวยด้วยสายตาของผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม “แต่เหตุใดตำหนักในไยต้องการสตรีมากมายเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้ต้องมีสามพระตำหนักหกหมู่เรือน? เรื่องพรรค์นั้น…เจิ้น เจิ้น…ลำพังแค่คิดก็รู้สึกว่าสกปรกเหลือเกิน”
“นั่นเป็นเพราะฝ่าบาทยังไม่เข้าใจเรื่องราวระหว่างชายหญิงเพคะ” หลินชิงเวยพูดแล้วก็หยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดพลิกไปมาด้วยสีหน้านิ่งสนิท เริ่มแรกเซียวจิ่นยังหันหน้าไปทางอื่น แต่ในใจคิดถึงหลินชิงเวย จึงค่อยๆ ลอบหันกลับมามองทีละน้อยๆ กระทั่งมองเห็นใบหน้าของนาง
เหตุใดนางจึงมีท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น? เมื่อแรกที่เขาเริ่มอ่านตำราเหล่านี้เขารู้สึกโกรธขึ้งยากจะรับได้ แต่หลินชิงเวยเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งกลับทำเหมือนใจเย็นและยอมรับได้
เซียวจิ่นได้แต่ลอบมองใบหน้าหลินชิงเวยอีกหลายครั้ง
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ภาพเหล่านี้นับว่าวาดได้อย่างวิจิตรบรรจงเพคะ หน้าตาของบุรุษและสตรีล้วนงดงาม ด้านข้างยังมีตัวอักษรประกอบอีกด้วย ที่สำคัญคือมีสีสัน ไหนเลยจะไม่น่าดูเพคะ?”
เซียวจิ่นประเดี๋ยวหน้าแดงประเดี๋ยวหน้าขาว “…เจ้า เจ้าช่างรู้จักชื่นชมนัก”
“นี่เป็นเรื่องระหว่างชายหญิง เรื่องธรรมดาของมนุษย์…” หลินชิงเวยทางหนึ่งพลิกเปิดตำรา อีกทางหนึ่งอธิบายให้เซียวจิ่นฟังอย่างละเอียด ลำดับแรกคือความแตกต่างระหว่างร่างกายของบุรุษและสตรี นางอธิบายตามภาพประกอบ พูดถึงหลักเหตุผลและความเป็นไปได้ นิ้วมือของนางชี้ไปที่ภาพบุรุษสตรีกับพัวพันกัน ราวกับเมื่อออกมาจากปากนางแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องถูกต้องทำนองคลองธรรมขึ้นมา แรกเริ่มเซียวจิ่นมิได้ตั้งใจฟังนัก แต่เห็นหลินชิงเวยอธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจและเข้มงวดเขาจึงตั้งใจฟัง
ลำดับถัดมาหลินชิงเวยวิเคราะห์ความคิดของบุรุษและสตรีที่แตกต่างกัน รวมไปถึงเรื่องราวที่บุรุษและสตรีต่างต้องเผชิญหน้าในสถานการณ์ต่างๆ
ใบหน้าของเซียวจิ่นปรากฏให้เห็นสีแดงเรื่อ ราวกับอากาศร้อนขึ้นสองส่วน ทำให้เขาหายใจไม่ใคร่จะทั่วท้องนัก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย
ยามนี้เมื่อเขาเปิดตำราวังวสันต์ออกอ่านอีกครั้ง รู้สึกว่าไม่น่ารังเกียจเพียงนั้นแล้วที่เพิ่มขึ้นมาคือความขัดเขิน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน มีหลินชิงเวยอยู่เป็นเพื่อนข้างกายต่อให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ยังถามออกไปทั้งที่หน้าตาแดงก่ำและอยากกัดลิ้นตัวเองนัก “เช่นนั้น…เช่นนั้นเจิ้นต้องทำอย่างไรบ้าง?”