หลินชิงเวยตวัดสายตามองเขาพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ยามนี้สนใจแล้วหรือเพคะ”
เซียวจิ่นอึกอัก “เจิ้น เจิ้นเพียงแต่…คิดว่าอย่างไรเรื่องนี้ช้าเร็วต้องได้ใช้ประโยชน์…”
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงนำตำราเกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษาออกมาวางเบื้องหน้าเซียวจิ่น “สิ่งเหล่านี้สอนพระองค์ได้ ขั้นตอนต่างๆ ล้วนเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน ด้วยสติปัญญาอันปราดเปรื่องของฝ่าบาทควรจะศึกษาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกระมัง” อีกทั้งเรื่องพวกนี้แทบจะไม่ต้องเรียนรู้ เป็นความสามารถพื้นฐานของบุรุษและสตรีอยู่เดิมอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาที่ได้ใช้จริงๆ จะพบว่าที่เขียนไว้ในตำราล้วนเป็นความว่างเปล่า ที่ได้ผลคือความสามารถพื้นฐานของบุรุษและสตรีทั้งสองฝ่าย
เซียวจิ่นอ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกราวกับมีเพลิงกองหนึ่งสุมอยู่กลางอก แตกต่างจากความโกรธขึ้งก่อนหน้านี้ และเปลวเพลิงนี้แผดเผาร่างของเขาแทบจะลุกเป็นไฟขึ้นมา เขาจดจำคำพูดของหลินชิงเวยเอาไว้ในใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่อุจาดตาหรืออันใด ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด แต่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นและทุกคนต้องมีประสบการณ์เมื่อถึงวัยอันสมควร เสด็จพ่อเสด็จแม่ในวังหลวงของเขาเป็นเยี่ยงนี้ ชาวบ้านสามัญธรรมดานอกกำแพงวังหลวงเป็นเยี่ยงนี้เช่นกัน เมื่อบุรุษและสตรีมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันย่อมอยู่ร่วมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะมีทายาทสืบสกุลต่อไปได้
กองเพลิงในใจไม่อาจมอดดับ ค่อยๆ ลุกลามไปถึงบริเวณท้องน้อยของเขา เขารู้สึกว้าวุ่นใจในชั่วขณะ รู้สึกว่าอวัยวะบางส่วนตื่นตัวขึ้นในทันใด ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ความรู้สึกนั้นทั้งตื่นเต้นและเจ็บปวด
หลินชิงเวยรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้จึงถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
เซียวจิ่นขบฟันแน่นพยายามข่มกลั้นความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นลงไป แต่เมื่อเงยหน้าเห็นรูปโฉมโนมพรรณของหลินชิงเวย เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของบาง เส้นสายส่วนเว้าโค้งนูนที่เห็นได้ชัด พลันรู้สึกราวกับลำคอแห้งผากสองส่วน
ใบหน้าแดงเรื่อของเขาก้มต่ำ พลันผุดให้เห็นเหงื่อเย็นเม็ดละเอียด เขาละสายตาไปจากหลินชิงเวยไม่ได้ “หรือเตาอุ่นในตำหนักบรรทมวางไว้มากเกินไป ดังนั้นเจิ้นจึงรู้สึกร้อน”
หลินชิงเวยมิใช่ไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเซียวจิ่น นางเห็นแล้วแจ่มแจ้งทันใดไม่ต้องถามให้มากความ ต้องให้เซียวจิ่นสัมผัสด้วยตนเองย่อมต้องได้ผลกว่าที่นางจะพูดปากเปียกปากแฉะ
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงขอตัวออกจากที่นั่น เซียวจิ่นกำลังตกอยู่ในสภาวะประดักประเดิดจึงไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้รั้งตัวนางเอาไว้ เมื่อหลินชิงเวยหยิบเสื้อคลุมกันลมออกจากฉากกันลม สายตาของเขาตกอยู่บนร่างของหลินชิงเวยราวกับสัตว์ตัวน้อยอาลัยรักในตัวมารดาไม่อยากแยกจากกันอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเขาไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้ เรื่องที่ลับของเขาให้หลินชิงเวยล่วงรู้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หลินชิงเวยหันกลับมายิ้มให้เซียวจิ่น “ฝ่าบาทพักผ่อนเถิดเพคะ ค่อยๆ เรียนรู้ด้วยตนเอง หลังจากวันพรุ่งนี้ทรงเรียกนางสนมมาปรนนิบัติได้แล้ว หม่อมฉันกลับไปก่อนเพคะ”
“ได้…”
เมื่อหลินชิงเวยเดินออกจากตำหนักบรรทมยังหันกายกลับมาปิดประตูให้เซียวจิ่น
เซียวจิ่นคาดว่านางคงเดินไปไกลแล้ว ภายในตำหนักบรรทมเหลือเพียงความเงียบสงบ เซียวจิ่นค้ำฝ่ามือลงบนโต๊ะหอบหายใจเล็กน้อย เหงื่อบนหน้าผากผุดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้สึกร้อนเหลือเกิน จึงปลดอาภรณ์เดินไปยังเตียงนอนของตน พยายามที่จะไม่คิดเรื่องราวในค่ำคืนนี้
เซียวจิ่นพยายามข่มจิตใจให้สงบลง ไม่ไปคิดถึงเนื้อหาในตำราวังวสันต์ ไม่รู้นอนหลับไปเมื่อใด
กระทั่งกลางดึกราวกับเขาฝันไปตื่นหนึ่ง ในฝันเขาพบหลินชิงเวย นางสวมกระโปรงสีเขียวอ่อนทั้งชุด ชายกระโปรงถูกลมพัดปลิวพลิ้วขึ้นมา เส้นผมดำขลับที่แผ่คลุมหัวไหล่ ดวงตาเปื้อนยิ้มประดุจเสี้ยวจันทร์ ทุกๆ อิริยาบถล้วนงดงามจับใจ
เซียวจิ่นเดินเข้าไปหานางอย่างไม่อาจต้านทาน โอบนางเข้าสู่อ้อมกอด เขารู้ว่านางมีเรือนกายแบบบาง ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเรือนกายของนางจะนุ่มนิ่มและหอมหวนถึงปานนั้น…
ต่อมาเซียวจิ่นถูกความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้ตื่นขึ้นกะทันหัน เมื่อเขาลืมตาขึ้นได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นตุบๆๆ สะท้อนอยู่ในโพรงอกของตนด้วยยังไม่ได้ตื่นจากความฝันของตน
คืนนี้ภายในตำหนักซวี่หยางประดับประดาโคมไฟผ้าไหมมงคลสีแดงเป็นแถว เปี่ยมไปด้วยความหมายอันเป็นสิริมงคล เป็นการคัดเลือกจากสาวงามนับพันนับหมื่นและได้รับการยินยอมจากเซียวจิ่นเป็นครั้งแรก เลือกเฟ้นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนักมาหนึ่งคนเพื่อเข้าปรนนิบัติในตำหนักซวี่หยางคืนนี้
สตรีนางนี้คือคุณหนูพันชั่งของเสนาบดีจาง จางซีอัน เป็นสตรีรูปโฉมงดงามเพียบพร้อมความสามารถ แตกฉานอักษรและธรรมเนียมมารยาท เป็นคุณหนูผู้มีบุคลิกลักษณะโดดเด่นท่ามกลางคุณหนูที่ถูกคัดเลือกตัวเข้ามาในวัง เสนาบดีจางในยามปกติเมื่ออยู่ในราชสำนักเป็นขุนนางมากความสามารถ เข้มงวดกวดขัน ที่สำคัญเขายังเป็นฝ่ายตรงข้ามของเซี่ยนอ๋องเซียวอี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมช่วยเหลือและสนับสนุนเซียวจิ่นในวันข้างหน้าได้
จางซีอันเลยวัยปักปิ่นแล้ว หลังปีใหม่นางจะมีอายุสิบห้าปี อายุมากกว่าเซียวจิ่นหนึ่งปี การพูดการจาล้วนรู้ธรรมเนียมมารยาทและรู้หนักรู้เบา สตรีในแผ่นดินต้าเซี่ย เมื่ออายุครบสิบสามปีสามารถออกเรือนได้ สิบห้าปีร่วมหอได้
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่จางซีอันเป็นผู้ถูกเลือก ก่อนหน้าที่นางจะเข้าสู่ตำหนักซวี่หยาง มีธรรมเนียมในวังมากมาย มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่หลินชิงเวยผู้ซึ่งมาจากยุคสมัยปัจจุบันไม่อาจยอมรับได้ เช่นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของร่างกายแล้วจึงจะอาบน้ำ
และการอาบน้ำนี้มิใช่การอาบน้ำธรรมดาสามัญ ได้ยินมาว่าหมัวมัวหลายคนจับนางเปลือยกายลงไปในน้ำ อาบน้ำให้นางสะอาดทั่วทั้งร่างแทบจะผิวหนังถลอกไปชั้นหนึ่ง แล้วใช้เส้นด้ายในมือดึงขนอ่อนบนร่างกายของนางออกจนเกลี้ยงเกลา…
จางซีอันผู้นี้เป็นคนแรกของเซียวจิ่น ได้รับความสนใจจากสายตาคนในตำหนักใน ย่อมไม่อาจทำเรื่องเลอะเลือนได้ นางจึงเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ยามเช้า กระทั่งยามบ่ายจึงอาบน้ำเสร็จ แล้วทำการดึงขน แล้วค่อยประทินผงแป้งเครื่องหอมลงบนร่างกายของนาง ส่งผลให้ผิวของนางหอมจางและผิวพรรณสว่างใสราวกับสะท้อนแสงได้ งดงามสุดจะเปรียบ
ตัวนางเองรู้สึกรอคอยและวาดหวังอยู่บ้าง คืนนี้หากปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดี ต่อไปย่อมมีลาภยศชื่อเสียงเงินทอง นี่เป็นเรื่องที่บิดากำชับนางก่อนออกเรือนเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟในยามพลบค่ำแล้ว จางซีอันถูกขันทีแบกเข้าไปในตำหนักซวี่หยาง ข้ารับใช้ในตำหนักซวี่หยางเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาด จึงได้แต่หน้าหนามาเชิญหลินชิงเวยถึงตำหนักฉางเหยี่ยน เพียงแต่ถูกหลินชิงเวยปฏิเสธกลับไป
นางไม่เชื่อว่าคืนนั้นยังสอนเซียวจิ่นไม่ได้ ต่อให้นางไม่อธิบายเรื่องราวระหว่างชายหญิงแก่เซียวจิ่น ตัวเซียวจิ่นเองย่อมเรียนรู้เองได้ นางเพียงแต่ให้เขาปล่อยวาง เห็นเรื่องระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเท่านั้น
วันนี้เซียวจิ่นเรียกตัวนางสนมร่วมหอด้วยตนเอง นางไปดูอะไรเล่า? นางไม่เชื่อหรอกว่าเซียวจิ่นจะทำให้เรื่องราวล้มเหลวกลางคัน อย่างมากครั้งแรกอาจจะขลุกขลักหน่อย ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ แต่นี่เกี่ยวอะไรกับนางซึ่งเป็นหมอคนหนึ่งเล่า?
คนของตำหนักซวี่หยางกลับไป หลินชิงเวยกลับเข้าไปในเรือนของตน เข้าไปในห้องเตรียมตัวพักผ่อน ยามนี้นางเพียงแค่รอให้เซียวจิ่นดูแลตำหนักในและเฟ้นหาประมุขของตำหนักในออกมา เช่นนั้นนางก็สามารถถอนตัวออกมาได้แล้ว
หลินชิงเวยเพิ่งจะเอนกายลงไปไม่นานยังไม่ทันเข้าสู่ห้วงนิทรา ซินหรูมาเคาะประตูอย่างร้อนใจอยู่ข้างนอก
หลินชิงเวยเปิดประตูห้อง เห็นซินหรูยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าร้อนรน “พี่สาว คนของตำหนักซวี่หยางมาเจ้าค่ะ บอกว่าเกิดเรื่องแล้ว”