นางกำนัลและขันทีที่รออยู่ในโถงหน้าของตำหนักซวี่หยางต่างเดินไปเดินมาอย่างร้อนรนราวกับมดที่เหยียบบนฝาหม้อร้อนๆ เมื่อเห็นหลินชิงเวยปรากฏตัวขึ้น จึงมีท่าทีราวกับเห็นพระมาโปรดมาก็ไม่ปาน รีบก้าวเข้ามารายงานเสียงเบา “เจาอี๋เหนียงเหนียงในที่สุดท่านก็มาแล้ว ท่านรีบเข้าไปกับบ่าวเถิด ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระองค์…”
หลินชิงเวยถาม “ฝ่าบาทเป็นอย่างไร?”
ขันทีผู้นั้นถอนหายใจ “บ่าวก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างล้วนดำเนินไปด้วยดีพระองค์กลับทรงพิโรธขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดล้วนเกลี้ยกล่อมไม่ได้ บ่าวรับใช้อยู่ในตำหนักซวี่หยางมาเนิ่นนานเช่นนี้ยังไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงกริ้วถึงเพียงนี้มาก่อน!”
หลินชิงเวยนวดคลึงหว่างคิ้วของตนเอง “ไปเถิด ไปดูสักหน่อย” นางเดินอยู่ข้างหน้า ซินหรูติดตามมาข้างหลังอย่างระมัดระวัง หลินชิงเวยหันไปมองนางแล้วเลิกคิ้วไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
ซินหรูเอ่ยขึ้น “ข้าไปพร้อมกับพี่สาวนะเจ้าคะ”
หลินชิงเวย “ข้างนอกอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เจ้าจะไปทำอันใดกัน? ไปเดินเล่นหรือ กลับไปนอนที่ห้อง”
ซินหรู “…เช่นนั้นข้าจะทิ้งโคมไฟไว้ พี่สาวรีบกลับมานะเจ้าคะ”
“รู้แล้ว” หลินชิงเวยรับคำโดยไม่หันกลับมาและเดินไปข้างหน้าพร้อมกระชับเสื้อคลุมกันลมในมือ
คนของตำหนักซวี่หยางได้เตรียมเสลี่ยงมาด้วย ดังนั้นหลินชิงเวยจึงก้าวขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง ผู้ทำหน้าที่แบกเสลี่ยงนั้นเป็นคนร่างกายกำยำแข็งแรง เมื่อออกเดินด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึง
บรรยากาศภายในตำหนักซวี่หยางแตกต่างจากที่ผ่านมา แม้โคมไฟภายในตำหนักจะสว่างไสว แต่ปราศจากกลิ่นอายมงคลก่อนหน้านี้ กลับดูแล้วให้ความรู้สึกอ้างว้างเย็นเยียบ
หลินชิงเวยเดินไปถึงหน้าประตูตำหนักบรรทมพลันมีเสียงคำรามของเซียวจิ่นดังออกมาจากข้างในว่า “ไสหัวไป–”
ต่อมาเป็นเสียงร่ำไห้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ตรมของสตรี ขันทีในตำหนักต่างพากันหดหัว ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่กล้าก้าวเข้าไปไต่ถาม
หากเข้าไปแล้วเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า ฝ่าบาททรงพิโรธขึ้นมา พวกเขาอาจจะรักษาศีรษะเอาไว้ไม่ได้
หลินชิงเวยยืนอยู่หน้าประตู นางเอ่ยปากพูดจาก่อนที่จะก้าวเข้าไป “หลินชิงเวยถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
“ชิงเวย…ชิงเวย!” ข้างในเกิดเสียงโกลาหลขึ้นอีกครั้ง เพียงอึดใจเดียวเซียวจิ่นละทิ้งความว้าวุ่นใจ วิ่งมาถึงหน้าประตูแล้วเปิดประตูออก
หลินชิงเวยสวมเสื้อคลุมกันลมยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู ลมหนาวและหิมะพัดหวีดหวิวอยู่เบื้องหลังนาง ราวกับความเหน็บหนาวเบื้องนอกขับให้สตรีเบื้องหน้างดงามราวกับหยกสลักจากน้ำแข็งก็ไม่ปาน ส่งผลให้เซียวจิ่นไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
แก้มของเขาแดงเรื่อ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ถูกทำให้มอดดับไปอย่างนั้นเอง
หลินชิงเวยก้าวข้ามธรณีประตูจึงเห็นสตรีที่อยู่ในตำหนักบรรทม เป็นจางซีอัน นางกำลังขดกายอยู่บนพื้นร่ำไห้กระซิกเสียงเบา เรือนกายขาวประดุจหิมะของนางเปลือยเปล่าอยู่ที่นั่น จับตาจับใจผู้คนยิ่งนัก
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาจับจ้องจากด้านนอกประตู ทำให้จางซีอันรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ร่างของนางจึงสั่นสะท้านขึ้นอีกสองส่วน
หลินชิงเวยลอบขมวดคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
เซียวจิ่นตวัดสายตาหันไปมองจางซีอันด้วยแววตารังเกียจแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเย็น “คืนนี้เจิ้นไม่ต้องการให้ผู้ใดมาปรนนิบัติ เจ้ากลับไปเถิด”
ทว่าจางซีอันถูกห่อตัวด้วยผ้าห่มแล้วแบกเข้ามาในตำหนักซวี่หยาง นางที่อยู่ในผ้าห่มผืนนั้นไม่ได้สวมอาภรณ์สักชิ้น ยามนี้ต่อให้นางต้องการจะออกไปจากที่นี่แล้วนางจะไปที่ใดได้?
หลินชิงเวยหันไปสั่งนางกำนัล “ยังไม่รีบไปหยิบอาภรณ์มาชุดหนึ่งอีก”
นางกำนัลได้ยินเช่นนั้นจึงกระวีกระวาดไปหยิบอาภรณ์มาชุดหนึ่ง หลินชิงเวยเข้าไปด้วยตนเองและประคองจางซีอันขึ้นมา พานางไปแต่งตัวให้เรียบร้อยข้างหลังฉากกันลม เห็นนางร่ำไห้อย่างน่าเวทนา หลินชิงเวยปลดเสื้อคลุมกันลมบนร่างของตนที่มีไออุ่นของตนอยู่คลุมลงบนร่างของจางซีอัน
ร่างของจางซีอันสั่นสะท้าน นางยอบกายพูดกับหลินชิงเวย “ซีอันขอบพระทัยหลินเจาอี๋ที่เมตตาเสื้อคลุมเพคะ” ก่อนหน้าที่จางซีอันจะเข้ามาถวายตัวปรนนิบัติ นางได้รับแต่งตั้งเป็นพระสนมขั้นเฟยแล้ว หากว่ากันตามศักดิ์ฐานะแล้วตำแหน่งของนางสูงกว่าหลินชิงเวยขั้นหนึ่ง เพียงแต่ยามนี้ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องเหล่านี้
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “คืนนี้เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
จางซีอันพยักหน้า เดินออกมาจากฉากกันลมทั้งน้ำตาคลอเบ้า นางเดินเหินบอบบางราวกับกิ่งหลิวต้องลม อรชรแช่มช้อย ท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ หลินชิงเวยมองแล้วกลับไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดเซียวจิ่นจึงได้โมโหโกรธาเยี่ยงนี้
นางหันกลับมามองเซียวจิ่นอีกครั้ง เห็นเซียวจิ่นสวมเสื้อสีขาวทั้งชุด ปกคอเสื้อดูยับย่น เขามองจางซีอันเดินออกไปด้วยแววตาเย็นเยียบ นางกำนัลและขันทีด้านนอกรีบปิดประตูตำหนักบรรทม
หลินชิงเวย “ฝ่าบาททรงเป็นอะไรเพคะ? นางทำให้พระองค์ทรงกริ้วหรือ”
เซียวจิ่นจะแสดงความในใจออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินชิงเวยเท่านั้น ยามนี้ท่าทางของเขาดูแล้วเต็มไปด้วยความหงุดหงิด หน้าอกกระเพื่อมไหวขึ้นลง “เจิ้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้นทำตามที่เจ้าสอนเจิ้นในคืนนั้นทุกอย่าง…”
“นางทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือเพคะ?”
เซียวจิ่นก้มหน้าลงมองมือของตนเอง เมื่อสักครู่มือคู่นี้ประคองโอบกอดหยกหอมเนื้ออุ่น เขาพูดงึมงำ “ถูกต้อง กับผู้ใดเจิ้นล้วนไม่พึงพอใจทั้งสิ้น เมื่อสักครู่…เมื่อสักครู่เจิ้นคิดว่าเจิ้นกำลังกอดชิงเวย…กอดเจ้าอยู่”
หลินชิงเวยลอบขมวดคิ้ว
เซียวจิ่นหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นราวกับมีน้ำบางๆฉาบอยู่ชั้นหนึ่ง กระจ่างใสอย่างที่สุด เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจริงๆ “เจิ้น ด้วยเหตุนี้…เจิ้นจึงมีความรู้สึก แต่นางไม่ใช่เจ้านี่นาชิงเวย เมื่อเจิ้นกอดนางและมองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน กลับพบว่าคนในอ้อมกอดเปลี่ยนเป็นอีกใบหน้าหนึ่ง เปลี่ยนเป็นสตรีแปลกหน้าซึ่งเจิ้นไม่รู้จักมาก่อนเลย…ขอโทษด้วยชิงเวย ขอโทษ…เจิ้นรับไม่ได้ที่จะทำเรื่องพรรค์กับสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง…”
แต่เขายังคงมีความรู้สึกไม่ใช่หรือ?
ผู้เป็นฮ่องเต้ ไหนเลยจะกระทำตามใจตนได้ทุกอย่างกัน ซ้ำยังเป็นสตรีของตำหนักใน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตนชมชอบจริงๆ หรือไม่ ขอเพียงเข้ามาในตำหนักในแล้วย่อมต้องเป็นสนมของเขา ในบรรดาสนมเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าก่อนหน้าที่จะร่วมหอเขาล้วนไม่เคยพบหน้ามาก่อน
แต่จิตใจของเขา ความคิดคำนึงของล้วนเป็นหลินชิงเวย ในนาทีนั้นกลับพบว่าคนข้างกายของเขามิใช่หลินชิงเวย ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้ได้
หลินชิงเวยแจ่มแจ้งดีว่านาทีนี้เซียวจิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ นางเพียงแต่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ฟังคำพูดที่เซียวจิ่นระบายออกมา มองดูท่าทางเป็นทุกข์น่าสงสารของเขา แต่มิได้ก้าวเข้าไปปลอบโยนด้วยเกรงว่าหากนางเข้าไปปลอบโยนเขาอาจทำให้ผลลัพธ์ยิ่งย่ำแย่
หลินชิงเวยพูดกับเขาว่า “พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ต่อไปจะมีสาวงามสามพันกว่านางในสามพระตำหนักหกหมู่เรือนนับไม่ถ้วน ไฉนจึงต้องมาหมกมุ่นอยู่กับหลินชิงเวยเพียงคนเดียว? มีเรื่องราวมากมายมิใช่ฝ่าบาทคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นได้ คืนนี้พระองค์ปฏิบัติต่อจางซีอันไม่ดี พรุ่งนี้ฝ่าบาทอาจต้องสูญเสียเสนาบดีจางไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้เนื้อก็เป็นได้ หรือนั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาเพคะ”
เซียวจิ่นเงียบขรึมเนิ่นนาน “เจิ้นรู้ เรื่องเหล่านี้เจิ้นรู้ทั้งสิ้น…แต่เจิ้นจนใจจริงๆ”
“ฝ่าบาทมิได้จนใจเพคะ เพียงแต่ยังไม่ได้เตรียมตัวให้ดี เชื่อว่ารอให้ฝ่าบาทเตรียมตัวดีแล้วย่อมไม่เกิดเหตุการณ์เช่นคืนนี้อีก ไม่เป็นไรเพคะ เรื่องเหล่านี้ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป” หลินชิงเวยพูดอีก “วันนี้ฝ่าบาทพักผ่อนเถิดเพคะ”