หลังจากนั้นอีกหลายปีเซียวจิ่นเติบโตเป็นบุรุษเต็มตัวอย่างแท้จริง เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกรงว่าฮ่องเต้ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติจะเป็นเขาแล้วกระมัง ทั้งๆ ที่มีสตรีมากมายแต่เขากลับต้องใช้มือของตนมาแก้ปัญหาเหล่านี้
ต่อมาหลินชิงเวยออกไปแล้ว เซียวจิ่นหันหลังให้ประตูเหงื่อกาฬเต็มหน้า เขาได้แต่คิดถึงภาพวาดในตำราวังวสันต์ อีกทางหนึ่งใช้มือทำตามท่าทางในภาพวาดนั้น สีหน้าของเขาปรากฏให้เห็นความทุกข์ทรมานและเป็นสุข ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยออกมา ส่งผลให้เขาถึงกับถอนหายใจอย่างสบายเนื้อสบายตัว
เรื่องระหว่างชายหญิงล้วนเป็นเรื่องความสุขของทั้งสองฝ่าย เขาเพียงแค่เพิ่งเข้ามาเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เฉกเช่นหนุ่มน้อยไม่ประสาคนหนึ่ง
เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักซวี่หยางในคืนนี้ ตำหนักอื่นๆ อาจไม่ล่วงรู้ ทว่าไทเฮาของตำหนักคุนเหอไม่แน่ว่าจะไม่รู้ แม้นางจะถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักคุนเหอ ทุกวันต้องสวดมนต์ไหว้พระ แต่หมัวมัวสองคนข้างกายของนางกลับช่วยนางสืบข่าวคราวในตำหนักในอย่างเต็มกำลัง ทันทีที่นางคว้าโอกาสได้ย่อมไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด
ยามนี้ภายในห้องพระของตำหนักคุนเหอ หมัวมัวนำข่าวที่สืบมาได้รายงานให้กับสตรีที่คุกเข่าอยู่หน้าองค์พระฟังอย่างละเอียด
สตรีนางนั้นสวมอาภรณ์หรูหราสูงศักดิ์ เส้นผมขาวโพลน ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นสตรีวัยชรานางหนึ่ง มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือน นางคือไทเฮาผู้มีรูปโฉมงดงามของตำหนักใน
เซียวจิ่นมีบัญชาให้นางสวดมนต์ให้กับวิญญาณของผู้ตายทุกวัน นางปฏิบัติตามแล้ว เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้ บัดนี้เมื่อมองเห็นนางแล้วไม่เพียงแต่ท่าทางเปลี่ยนไปมากมาย กลิ่นอายความโหดเหี้ยมบนร่างของนางก็ยังลดน้อยลง ด้วยอยู่กับการสวดมนต์ทุกวัน ส่งผลให้คนทั้งคนดูแล้วสงบขึ้นสองส่วนและไม่ใส่ใจต่อรูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากของตน
ทว่าไม่ได้หมายความว่านางจะยินยอมรับชะตากรรมที่ตนประสบอยู่ในขณะนี้อย่างแท้จริง หาไม่แล้วคงไม่ให้หมัวมัวออกไปสืบข่าวภายในตำหนักในอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากหมัวมัวรายงานเสร็จสิ้น ไทเฮาไม่มีปฏิกิริยาอันใด นางยังคงสวดมนต์และเคาะมู่อวี๋[1]ของนางต่อไป กระทั่งนางสวดมนต์บทนั้นจบจึงหยุดเคาะไม้ในมือของนางแล้วลืมตาขึ้นพูดว่า “เจ้าจะบอกว่าซีเฟยถูกส่งไปปรนนิบัติในตำหนักซวี่หยางแต่ภายหลังถูกส่งกลับมา?”
“ถูกต้องแล้วเพคะ”
หลังจากคืนนั้นหลินชิงเวยเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ก้าวออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนแม้แต่ก้าวเดียว นางจนปัญญาเช่นกัน นางปรารถนาเพียงรอการกลับมาของเซียวเยี่ยนอย่างสงบ สำหรับเซียวจิ่น หากไม่พบหน้าได้ก็ไม่พบ ตัวเขาเองไม่ยอมลืมเลือนย่อมไม่ใช่เรื่องดีอันใด
เพียงแต่หลังจากที่เซียวจิ่นประสบกับเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้ว เขาเปลี่ยนเป็นคนเจ้าอารมณ์และหงุดหงิด อีกทั้งไม่ได้เรียกตัวนางสนมคนใดมาปรนนิบัติอีกเลย
ทว่าตัวเขาเองรู้ดีว่าเขานับว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งและไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความอีกต่อไปแล้วกรมวังทำงานอย่างรู้หน้าที่เต็มกำลัง ทุกวันจะส่งคนมาถามครั้งหนึ่งว่าคืนนี้เซียวจิ่นจะเรียกตัวผู้ใดมาปรนนิบัติ
เซียวจิ่นหงุดหงิดใจเป็นที่สุด ในที่สุดจึงด่าคนกลับไป
วันนี้หมัวมัวของตำหนักคุนเหอขอเข้าเฝ้า บอกว่านำบทสวดมนต์ที่ไทเฮาคัดเสร็จในหลายวันนี้มาส่ง เซียวจิ่นย่อมต้องให้พบ หมัวมัวเข้าเฝ้าแล้วจึงมอบบทสวดมนต์ของไทเฮาให้เซียวจิ่นผ่านตา “ไทเฮาสวดมนต์อยู่ในห้องพระทุกวันเพคะ เก็บเนื้อเก็บตัวสวดมนต์ภาวนาให้กับวิญญาณของผู้ตาย ไม่เคยหยุดคัดคัมภีร์เหล่านี้ด้วยความตั้งใจจริง ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ”
เซียวจิ่นเหลือบมองคัมภีร์เหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา “เจิ้นรู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
ไหนเลยจะคิดว่าหมัวมัวกลับคุกเข่าลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาท แม้ไทเฮาจะได้ทำเรื่องผิดพลาดแต่อย่างไรก็เป็นเสด็จแม่ของฝ่าบาท บ่าวนำพระกระแสรับสั่งมาจากไทเฮา เชิญฝ่าบาทเสด็จไปตำหนักคุนเหอสักหนเพคะ!” เซียวจิ่นขมวดคิ้ว สีหน้าเอือมระอานั้นใกล้สิ้นความอดทน เพียงแต่หมัวมัวไม่รอให้เขาเอ่ยปากกลับพูดขึ้นอีกว่า “ทูลฝ่าบาท เมื่อคืนกลางดึกไทเฮาพลันตกใจตื่นขึ้น น้ำตาไหลนองหน้ากระทั่งฟ้าสาง ไทเฮาตรัสว่า นางทรงสุบินถึงอดีตฮ่องเต้เพคะ วิญญาณของฮ่องเต้บนสรวงสวรรค์เห็นไทเฮามีความจริงใจเช่นนี้ ได้อภัยต่อความผิดของไทเฮาเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งอดีตฮ่องเต้ยังมีคำพูดฝากฝังมากับไทเฮาถึงฝ่าบาทด้วยเพคะ ไทเฮาทรงเป็นห่วงเป็นใยจึงทรงกันแสงอยู่ค่อนคืน ยามเช้าจึงต้องลมเย็น ขอฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมไทเฮาด้วยเพคะ!”
เซียวจิ่นวางงานในมือลง ช้อนตาขึ้นมองหมัวมัวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนไม่อาจพูดจาได้ แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย “ไทเฮาต้องลมเย็น เชิญหมอหลวงแล้วหรือยัง?”
หมัวมัวส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ไทเฮาทรงอาเจียนอย่างหนักเพคะ ดื่มโอสถที่หมอหลวงสั่งไว้แล้วก็อาเจียนออกมาหมด ไทเฮายืนกรานหนักแน่น นางบอกว่านางรอเพียงนำความจากอดีตฮ่องเต้แก่ฝ่าบาทเพคะ! หาไม่แล้วไทเฮาไม่อาจนอนตายตาหลับได้!”
หลังจากนั้นเนิ่นนาน เซียวจิ่นจึงสั่งการเสียงเย็น “เตรียมขบวนไปตำหนักคุนเหอ”
หมัวมัวผู้นั้นร่ำไห้ด้วยความยินดี
แสงแดดด้านนอกไม่นับว่าเจิดจ้านัก เมื่อสาดส่องลงบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ทำให้บาดตาอยู่หลายส่วน ยามนี้ราชรถของเซียวจิ่นกำลังมุ่งหน้าสู่ตำหนักคุนเหอ
ภายในตำหนักคุนเหอ ก่อนหน้านี้ยังเงียบเหงาวังเวง องครักษ์ผู้เฝ้าประตูตำหนักมีมากขึ้นเท่าตัวหนึ่งของเมื่อก่อน ข้ารับใช้ภายในมีเพียงไม่กี่คน ตลอดทางที่เดินมาข้ารับใช้ล้วนแอบเกียจคร้านไม่กวาดหิมะบนลานเรือน ไหนเลยจะคิดว่าฮ่องเต้จะเสด็จตำหนักคุนเหออย่างกะทันหันแต่ละคนจึงมีท่าทีหวาดกลัว
เซียวจิ่นเห็นหิมะสีขาวปกคลุมบนพื้นหนาเต็มทางเดิน จึงทำหน้าเคร่งด้วยไม่รู้จะก้าวลงมาอย่างไร หัวหน้าขันทีข้างกายจึงตวาดลั่น “ยังโง่งมอะไรกันอยู่อีก ยังไม่รีบกวาดหิมะ”
ข้ารับใช้ของตำหนักคุนเหอรีบหยิบไม้กวาดมากวาดหิมะบนพื้นอย่างรวดเร็ว
เซียวจิ่นเห็นพวกเขาแต่ละคนแล้วจึงกล่าวว่า “ไทเฮาเก็บตัวไม่ค่อยออกไปข้างนอก ข้ารับใช้ในตำหนักคุนเหอก็ละเลยหน้าที่หรือไร อีกประเดี๋ยวกวาดหิมะแล้วไปรับโทษโบยยี่สิบไม้”
ฟังแล้วดูเหมือนทำเพื่อไทเฮา แต่ที่จริงแล้วกลับเอาคนของตำหนักคุนเหอมาลงโทษ หมัวมัวได้แต่ระมัดระวังไม่กล้าพูดจา
หลังจากกวาดหิมะออกแล้ว หมัวมัวพาเซียวจิ่นไปยังตำหนักบรรทมของไทเฮา ไหนจะรู้ว่าเมื่อถามออกไปไทเฮากลับไม่ได้อยู่ในตำหนักบรรทม แต่ไปห้องพระทั้งที่ล้มป่วย
ดังนั้นหมัวมัวจึงนำเซียวจิ่นไปยังห้องพระที่สร้างขึ้นในตำหนักคุนเหอ
วันนี้ไทเฮาผลัดอาภรณ์เป็นชุดผ้าแพรสีพื้นธรรมดา กำลังคุกเข่าอยู่อย่างสงบ มือหนึ่งถือลูกประคำอีกมือหนึ่งเคาะมู่อวี๋ ใบหน้าชราภาพนั้นเป็นทุกข์ ปากกำลังขมุบขมิบสวดมนต์งึมงำ
หมัวมัวพูดด้วยความปวดใจและระมัดระวัง “ไทเฮาเหนียงเหนียง บัดนี้ท่านทรงประชวรเหตุใดยังมาห้องพระเล่าเจ้าคะ?”
[1] คือ “ปลาไม้” เป็นเครื่องดนตรีทางสงฆ์ชนิดหนึ่งทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปปลา เป็นเครื่องมือใช้ที่พระสงฆ์ใช้ระหว่างสวดมนต์ ทำวัตร และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยจะมีไม้อีกอันหนึ่งคอยเคาะบนตัวมู่อวี๋ เป็นจังหวะตามบทสวดมนต์