———- School Caste(ชนชั้นโรงเรียน) คิดว่าคนที่ริเริ่มใช้สิ่งนี้จะต้องหัวดีแน่ๆ
ระบบชนชั้นที่เป็นตัวแทนสถานะทางสังคม กับความสัมพันธ์ในชั้นเรียนนั้นเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
คนที่เริ่มใช้คนแรกคงจะอยู่ตรงช่วงกลางท้ายๆถึงกลางบนๆ
เป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นทั้งด้านบนและด้านล่างได้อย่างชัดเจน
บางทีแทบทุกคนในชั้นเรียน คงจะคิดว่าตัวเองอยู่ตรงไหนซักแห่งตรงกลางในกลุ่ม เพราะแบบนั้นคำว่าชนชั้นโรงเรียนถึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในสาธารณะ
ทว่าในความเป็นจริง ตนเองอยู่ที่ตรงไหนนั้นก็ไม่อาจรู้ได้
แม้จะคิดว่าตนเองอยู่ในกลุ่มตรงกลาง แต่ในความเป็นจริงทุกๆคนอาจจะมองลงมาที่ตัวคุณเอง พอถึงช่วงลุกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนของคุณที่หัวเราะด้วยกันอยู่เมื่อครู่อาจจะว่าร้ายคุณก็เป็นได้ บน SNS อาจจะสร้างกลุ่มขึ้นโดยไม่มีตัวคุณเองอยู่…..
ขณะที่ต่อสู้อยู่กับความกลัวเหล่านี้ ทุกคนต่างก็พยายามรักษาสถานะในชนชั้นโรงเรียนของตัวเองเอาไว้
หรือไม่ก็พยายามอย่างหนักแล้วก้าวไปสู่ชั้นบน เพื่อที่จะไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้
ว่ากันตามตรงแล้วก็ไม่รู้สินะ แต่ทิวทัศน์ที่มองเห็นในชั้นล่างนี้มันดูผ่อนคลายและสบายๆ
แต่ถ้าเกิดได้พยายามไต่ไปอยู่กับพวกชั้นบนแล้วร่วงลงมา…..นั่นมันเป็นหายนะ
ชนชั้นบนโรงเรียนที่คอยพยายามผลักคนอื่นลงไปสู่ชั้นล่าง และคนชั้นล่างที่ไม่ปล่อยคุณไปสู่ชั้นบนแล้วถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
แต่ไหนแต่ไรแล้ว มันก็มีเหตุผลที่ว่าทำไมชนชั้นบนถึงได้อยู่ข้างบนนั้นได้
ทักษะการพูด, หน้าตา, ความถนัดด้านกีฬา, มันสมอง—-กำแพงของพรสวรรค์ภายใน
พวกเราที่ไม่ได้โดดเด่นในด้านไหนเลย ในวันนี้ก็ยังคงพอใจกับการเป็นม็อบอยู่เช่นเคย
ระหว่างคาบเรียน ยิ้มอย่างเป็นกันเองให้กับมุขตลกที่ไม่ค่อยขำจากกลุ่มเรียจู, ส่งสติ๊กเกอร์ตามๆกันไปใน line ของห้อง, กด like บน Twitter
คิดไว้ว่าคงได้ใช้ชีวิตม.ปลาย 3 ปีอยู่แบบนี้
แต่ถ้าหากว่า หนทางที่จะได้พุ่งขึ้นไปสู่ชั้นบนมันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าคุณล่ะ?
ไม่ใช่ทั้งหน้าตา, ความสามารถทางกีฬา, หรือว่าอารมณ์ขัน ถ้าพยายามตอนนี้ก็คงทันเวลา….. หนทางสู่ชั้นบนแบบใหม่
หลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นาน….. ผมก็ตัดสินใจ
มีอันตรายถึงชีวิต ต้องใช้เงิน แล้วยังอาจต้องสูญเสียช่วงเวลาวัยรุ่นอันมีค่าไปอีก
และถึงแม้จะพยายามอย่างมาก มันก็อาจจะเสียเปล่าก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็—-
ตอนเช้า ขณะเปิดประตูเข้าชั้นเรียน รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตัวเอง แต่ก็เป็นแค่ชั่วขณะ สายตาเหล่านั้นก็ละออกไปอย่างรวดเร็ว
「อรุณสวัสดิ์」
ไม่ได้มีการตอบรับแบบเจาะจงอะไรจากคำกล่าวทักทาย มีแค่คน 2-3 คนที่สบตาด้วยที่ยกมือให้
ในวันนี้เอง ฉากที่คุ้นเคยเช่นนี้ก็ยังตราตึงอยู่ในสายตา
นี่ก็คือ ตัวผมในตอนนี้….. จุดยืนในชั้นเรียนของคิทากาว่า・อุทามาโร่
ไม่ได้ถูกชอบหรือว่าถูกเกลียด….. จะอยู่หรือว่าไม่อยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ
หลังยืนยันสิ่งนี้อีกครั้งอย่างสงบอยู่ในใจได้แล้ว ผมก็มุ่งไปยังที่นั่งของผมที่ริมหน้าต่าง
ที่ตรงนั้นมีเพื่อนของผมฮิกาชิโนะกับนิชิดะอยู่ก่อนแล้ว กำลังคุยกันตรงข้ามกับที่นั่งของผม
ฮิกาชิโนะเป็นคนรูปร่างค่อนข้างเตี้ยและไว้ผมยาว ส่วนนิชิดะนอกจากแว่นสายตาหนาเตอะแล่วก็มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาๆไม่โดดเด่น …..สั้นๆคือ อยู่ระดับเดียวกันกับตัวผม
「’รุณ’หวัด」
「อรุณสวัสดิ์」
ขณะที่นั่งลงพวกเราก็แลกเปลี่ยนคำทักทายกัน แล้วนิชิดะก็เริ่มพูดกับผมมาทันที
「เน่มาโร่ ฟังชั้นหน่อยสิ」
มาโร่คือชื่อเล่นของผม โดยปกติแล้วพวกเราจะเรียกกันด้วยชื่อท้าย แต่เพราะว่าชื่ออุทามาโร่มันออกจะพิเศษอยู่หน่อยก็เลยได้ชื่อเล่นมา
「มีไรละ」
「ก็เมื่อวานน่ะสิ ฮิกาชิโนะให้ชั้นยืมวิดีโอมอนโคโล ฉบับสาวมอนสเตอร์อย่างเดียวที่เต็มไปด้วยฉากเซ็กซี่ ไอ้ชั้นก็ตั้งตาตั้งตารอก่อนที่จะถึงบ้านด้วยซ้ำ แล้วพอถึงบ้านก็ถอดกางเกงแล้วเล่นทันทีเลย」
「นี่จะมารำลึกฉากถอดกางเกงแกเรอะ? ขอเหอะฉันยังไม่อยากรู้สึกไม่ดีตอนช่วงเช้านะ」
เผลอนึกตามไปแว่บนึง ผมเลยทำหน้าเหยเก
「โทดทีโทดที ก็แบบว่าน้า จริงอยู่ที่มันเป็นสาวมอนเตอร์ทั้งหมดใช่ม่ะ? แล้วก็เต็มไปฉากเซ็กซี่ แต่ว่าน้า….. 」
นิชิดะแสดงความผิดหวังออกมาตรงจุดนั้น
「มีแต่ป้าๆหมดเลยนี่สิ…..」
「อา…..」
อย่างงั้นี่เอง แบบนั้นมันก็นะ…..
「อย่ามาพูดว่าร้ายให้คนอื่นนะโว้ย เป็นป้าซะที่ไหน ทั้งหมดเป็นพี่สาวในช่วงอายุ 20 เท่านั้นเอง!」
ฮิกาชิโนะพูดอย่างไม่พอใจ
「งั้นเหรอ」
「เออ ถึงจะเป็นป่าทึบ แต่ก็เป็นของดีที่ได้รีวิว 5 ดาวเชียวนะ แล้วเดี๋ยวจะให้มาโร่ยืมต่อนะ มีแบบนมโตอยู่เยอะด้วยนะเออ」
「จริงดิ! ฝากด้วยละกัน」
นี่สิถึงต้องมีเพื่อนเอาไว้
ขณะที่ผมกำลังยิ้มอยู่นั้น นิชิดะที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็พูดขัด
「ไม่ไม่ไม่ไม่ รอประเดี๋ยวนะ พออยู่ในช่วงอายุ 20 นี่ก็เป็นป้าแก่แล้ว ผ่านช่วงวัยรุ่นมาตั้งกี่ปีแล้วนั่น」
「ยังไม่ได้ผ่านไปซักหน่อย ในความจริงนี่เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะกินเลย คุณพี่สาวอายุมากกว่าเนี่ยสุดยอดแล้ว ความฝันของชั้นคืออยากจะเสียซิงในแบบโอเนxโชตะซักวันนึงเลย」
「เป็นไปไม่ได้ พอเกิน 12 ก็เป็นได้แค่ป้าแล้ว ถ้าจะเสียซิงให้ป้าแก่แล้วล่ะก็สู้อยู่เป็นจอมเวทซะดีกว่า」
「ไปตายซะ ไอ้โลลิค่อน」
「แล้วโอเนโชตะนี่อะไร จะบอกไว้เลยว่าแกมันไม่ใช่โชตะแล้วเว้ย」
「แกกก!」
น่าน่า! ผมรีบเข้าไปห้ามระหว่างทั้ง 2 คน
「จะมาทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม เช้าๆมานี่ถือว่าขอเถอะ」
พอผมพูดพลางถอนหายใจ ทั้ง 2 คนก็มองมาทางผมด้วยสายตาว่างเปล่า
「มาโร่เนี่ยดีน้า สไตรทโซนออกจะกว้าง ขอแค่นมโตแล้วอายุเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง จะโลลิหรือคุณพี่สาวก็ได้หมดใช่ม่ะ?」
「พอกลับถึงบ้านก็มีคุณน้องสาวป.5 รออยู่ ไอจังน่ารักจังน้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นน้องสาวมาโร่ นี่ได้อาบน้ำด้วยกันเปล่าวะ?」
「ฮิกาชิโนะก็อย่างนึงแต่ว่านิชิดะ! เอ็ง ถ้าทำอะไรไอล่ะก็เดี๋ยวได้จับฆ่าทิ้งซะ!」
ผมส่งคลื่นสังหารรุนแรงไปทางหมูน่ารังเกียจที่มีแววจะเป็นอาชญากรคุกคามทางเพศ
มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลย ที่ชวนมันมาบ้านตอนที่ยังไม่รู้ถึงรสนิยมทางเพศของมัน
ครั้งหนึ่งตอนอยู่ร้านหนังสือ พอได้เห็นมังงะโลลิค่อนบนชั้นวางแล้วพูดออกมาว่า 「Comic L〇 คือพระคัมภีร์」 เป็นอะไรที่ผมไม่มีวันลืมเลย
「อา อยากได้การ์ดมอนสเตอร์จังเลยน้า~ ผู้หญิงจริงพออายุมากขึ้นก็กลายเป็นป้า แต่มอนสเตอร์ไม่มีแก่ลง เป็นโลลิตลอดกาลของแท้เลย」
「นั่นสินะ ชั้นเองก็อยากจะได้มอนสเตอร์คุณพี่สาวที่ตามใจไปซะทุกเรื่องเลย ต่อให้ชั้นแก่เป็นตาลุงก็ยังเป็นคุณพี่สาวที่ตามใจเด็กหนุ่มอยู่เสมอ….. สุดยอดเลยละ」
หวังสูงซะจริงไอ้พวกนี้
แต่ถึงจะพูดก็เถอะ นอกเหนือไปจากรสนิยมทางเพศของพวกมัน 2 ตัวแล้ว คำพูดนั้นถือได้ว่าเป็นคำพูดของเหล่าผู้ชายทุกคนทั้งประเทศเลยก็ว่าได้
เรื่องการมีสาวมอนสเตอร์เป็นของตัวเอง มันคือความใฝ่ฝันของผู้ชายทั่วโลก
「ถ้างั้นแล้ว ไม่ไปเป็นนักผจญภัยซะละ? แบบนั้นแล้วไม่แน่ซักวันหนึ่งอาจจะได้มาก็ได้นิ?」
「มันไกลแค่ไหนกันเชียวนั่น แค่จะเป็นได้ก็ต้องใช้เงินไปเป็นล้านแล้ว」
「แล้วต่อให้เป็นได้ สาวมอนสเตอร์ถ้าเทียบในแรงค์เดียวกันแล้วอยู่สูงสุดๆ ราคาก็ยิ่งต่างกันหลายเท่าตัว」
รูปแบบประจำของพวกขี้แพ้
ขณะที่คุยเรื่องไร้สาระ หัวข้อก็ถูกเปลี่ยนเป็นสาวมอนสเตอร์แล้วก็นักผจญภัย แล้วลงท้ายด้วยการพูดยอมแพ้ไป
บทสนทนาไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง ก็แค่สิ่งกระตุ้นที่เพื่อไม่ให้ต้องอยู่ในห้องเรียนอันเป็นโลกแคบๆ โดยไร้บทสนทนา
ในจังหวะนั้นเอง ประตูห้องเรียนก็เปิดขึ้น
「อรุณสวัสดิ์!」
คำทักทายที่เปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉงและความมั่นใจ
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเด็กหนุ่มส่วนสูงกลางๆ ไว้ผมสั้นแต่งทรงเล็กน้อย ในหน้าก็….. จัดอยู่ตรงระหว่างกลางล่างไปถึงกลางบน มีสิวกระจายอยู่ทั่ว จมูกที่บานขึ้นทำให้ค่าตัวเลขของใบหน้าลดลงไปได้ 10 แต้ม
แค่แว่บแรกก็ดูเป็นสายม็อบเช่นเดียวกับพวกเรา….. ทว่าปฏิกิริยาของเพื่อร่วมห้องกลับต่างออกไป
「โอ้ อรุณสวัสดิ์!」
「มินามิยาม่าคุง วันนี้มาสายนะ」
ทั้งชายทั้งหญิงต่างส่งยิ้มและคำทักทายไปทางมินามิยาม่า
มินามิยาม่าเองก็ 「ว่าไง!」「แหม แค่พลาดรถไฟไปเที่ยวนึงเอง」ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้น สายตาพวกเราก็สบกัน
「อรุณสวัสดิ์」
「…..โอ้」
พอทักไปตามมารยาท ก็ตอบกลับมาสั้นๆแล้วละสายตาไปทันที ทำท่าทางราวกับไม่ใส่ใจ
แล้วจากนั้นมินามิยาม่าก็ตรงไปทางกลุ่มที่จับจองโต๊ะตรงกลางชั้นเรียนแล้วนั่งลง
「อุ้ส!」
「โอ้ มินามิยาม่า มาสายนะ」
「เน่เน่ ในมุมมองของมินามิยาม่าแล้ว มอนโคโรเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง」
กลุ่มคนที่ทักทายมินามิยาม่าด้วยรอยยิ้มอยู่ก็คือชนชั้นบนของห้องนี้
ทีมเบสบอสของโรงเรียนเราเป็นที่รู้จักกันว่าเก่งกาจ—-แล้วเอสก็คือทาคาฮาชิ
หญิงร่างอวบผู้มีเซ้นส์อารมณ์ขันมากที่สุด โอโน่
นักเรียนตัวอย่างที่เป็นสาวสวยที่สุดในชั้นปี ชิโนมิย่ะซัง
แล้วก็….. เพื่อสนิทของชิโนมิย่ะซัง ผู้มีหน้าอกแม่ตัวอย่าง อุชิคุระซัง
มินามิยาม่าที่ดูจะส่องประกาย เข้าร่วมอย่างไม่ลังเลแล้วเริ่มพูดด้วยความมั่นใจ
「มอนโคโลเมื่อวานสินะ ใช่เคนเทารอสกับดูลาฮานรึเปล่า? อืม ถ้าเอาตามตรงในมุมมองชั้นนะ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงดูลาฮานจะชนะก็จริง แต่ก็น่าผิดหวังเพราะเป็นแค่การใช้กำลังเข้าปะทะ ถ้าแบบนี้ต่อให้ชั้นใช้เองผลลัพธ์มันก็ไม่เปลี่ยน ในอีกด้านหนึ่ง เคนเทารอสที่รับมือได้อย่างดีดูน่าประทับใจกว่า ถึงผู้บรรยายจะพูดชมดูลาฮาน แต่อานะคนนั้นไม่ได้เป็นนักผจญภัยมาก่อน เพราะงั้นเลยเดาว่าคงเป็นอะไรที่ถ้าไม่เคยเป็นมาก่อนคงไม่เข้าใจล่ะนะ」
「เห~ รู้สึกแบบนั้นจริงด้วยสินะ จากที่ชั้นเห็นก็คิดได้แค่มอนสเตอร์นี่สุดยอดแค่นั้นเอง」
ชิโนมิยะซังกล่าวชื่นชมมินามิยาม่าที่พูดอธิบายด้วยความรวดเร็ว
「ชั้นเองก็ด้วย รู้แค่ว่าดูลาฮานแข็งแกร่งเอามากๆ」
「มินามิยาม่าคุงเนี่ยหยั่งกะนักผจญภัยตัวจริงเลยนะ」
「หมายความว่าไงละนั่น」
「อะฮะฮะฮะ」
ฮิกาชิโนะที่มองดูความครึกครื้นนั้นอยู่ ก็พึมพำขึ้นมา
「มินามิยาม่า….. เปลี่ยนไปแล้วสินะ」
「อา…..รู้สึกได้เลยว่าเข้าร่วมกลุ่มเรียจูไปเรียบร้อยแล้ว」
รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ร่วงลงของทั้ง 2….. ไม่สิ พอได้ยินที่พูดพึมพำมา ผมเองก็ค่อยๆหลับตาลง
มินามิยาม่าที่รู้กันว่าอยู่ชนชั้นท็อปในวันนี้ เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ยังคงเป็นชาวม็อบที่เที่ยวเล่นด้วยกันกับพวกเราอยู่เลย
ในตอนที่เริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยม ได้จับกลุ่มกันเพราะที่นั่งอยู่ใกล้กัน ไม่ได้มีคลับไหนที่อยากเข้าร่วมเป็นพิเศษ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ
บางครั้งก็มีคนเอามังงะมาแล้วก็คุยกันสนุกๆ ไปที่เกมเซ็นเตอร์แล้วก็จัดแข่งเกมต่อสู้กันเอง มอนโคโล—-มอนสเตอร์โคลอสเซียมที่อัพอยู่บนเน็ต ก็ยังเคยมีจัดปาร์ตี้เพื่อดูกันด้วย…..
วัยรุ่น….. แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่เลย แต่มันก็เป็นชิวิตประจำวันที่สนุก
ทั้งหมดนั้นได้เปลี่ยนไป เมื่อจู่ๆมินามิยาม่าโพล่งออกมาว่า
———-ชั้น จริงๆแล้วเป็นนักผจญภัยมาได้พักนึงแล้วนะ
ด้วยคำพูดนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล
สำหรับนักเรียนแล้ว ฉายาส่งผลต่อสถานะอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น เอสของชมรมอย่างกัปตัน, นักเรียนตัวอย่าง, ลูกของคนดัง, ประธานสภานักเรียน, ที่ 1 ของชั้นปี…..
ตัวนักเรียนนั้น ว่ากับตามปกติแล้วก็คือกลุ่มคนที่ไม่ได้มีอะไรอยู่ เพราะแบบนั้นขอแค่ได้เด่นขึ้นมาหน่อยก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจแล้ว พอเห็นแว่บแรกก็ได้เป็นที่จับตามอง
พอเป็นแบบนั้น ทำอะไรออกมาได้นิดหน่อยก็ได้อยู่ในชั้นบนของห้องแล้ว
มินามิยาม่าเองก็เป็นพวกนั้นที่เด่นกว่าคนอื่นนิดเดียว
ฉายาที่หมอนั่นเตรียมเอาไว้ก็คือ นักผจญภัยที่ยังคงสถานะอยู่
ในทุกวันนี้ที่ว่ากันว่าเป็นการบูมของนักผจญภัย การเป็นนักผจญภัยนั้นง่ายดาย ขึ้นอยู่กับเงินที่มี ซึ่งสำหรับนักเรียนมัธยมแล้วเงินนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องยากเอาการ
ค่าลงทะเบียน 1แสนเยน, การ์ดแรงค์ D 1 ใบ ทั้ง 2 สิ่งนี้คือคุณสมบัติที่ต้องมีเพื่อเป็นนักผจญภัย
ถึงจะเป็นการ์ดแรงค์ D ก็ตาม แต่ช่วงราคามันก็กว้าง ตั้งแต่ 1 – 10 ล้านเยน
แม้แต่การ์ดที่ถูกที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็กนักเรียนมัธยมจะจับต้องได้
ไม่ว่าใครก็อยากจะเป็นดูซักครั้ง….. แต่ก็ไม่มีเงินที่จะใช้ท้าทายมัน เพราะแบบนั้น นักผจญภัยจึงเป็นสิ่งที่เด็กมัธยมในปัจจุบันใฝ่ฝันถึง
ต่อให้มันเป็น….. สิ่งที่เกิดจากการให้พ่อแม่ออกเงินให้อย่างมินามิยาม่าก็ตามที
มินามิยาม่าที่กลายมาเป็นนักผจญภัย แค่พริบตาเดียวก็ได้ไปอยู่ในกลุ่มเรียจู
เมื่อกี้เองก็ทำเป็นราวกับว่าไม่เคยสุงสิงกับพวกเรา…..
อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
อันที่จริง ถ้ามีแค่กลุ่มพวกเราก็มักจะบ่นไม่พอใจกับมินามิยาม่ากันเองอยู่เสมอ
แต่มันก็แค่นั้นแหละ ไม่ได้มีความกล้ามากพอจะไปพูดต่อหน้า
เพราะว่าหมอนั่นเป็นนักผจญภัย อยู่ด้านบนของชนชั้นโรงเรียน
ต่อให้เอาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรามาเขวี้ยงทิ้งราวกระป๋องน้ำผลไม้ ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
มันช่วยไม่ได้ มันช่วยไม่ได้ที่จะบอกตัวเองแบบนั้น ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมแพ้ไป
「แต่ว่า มันก็ถึงแค่วันนี้แหละ」
ขณะที่ห้องเรียนเริ่มจะวุ่นวายจากการมาถึงของคุณครูประจำชั้น ผมก็กระซิบกับตัวเอง
———-ผมในวันนี้ จะกลายเป็นนักผจญภัยล่ะ
ปี 1999, เดือน 7 ขณะที่ทั่วโลกกำลังวุ่นวายอยู่กับคำทำนายครั้งใหญ่ของนอสตราดามุส จู่ๆ มันก็ปรากฏขึ้น
เขาวงกตปรากฏขึ้นทั่วไปทั้งโลก ทะเล, ภูเขา, ทะเลทราย, กลางถนน, บนหลังคาตึก, ภายในบ้านพักส่วนตัว, ในห้องน้ำของร้านสะดวกซื้อ….. พวกมันปรากฏขึ้นเป็นแบบสุ่ม แล้วภายในก็มีขนาดที่แตกต่างไปจากที่เห็นได้จากภายนอก—- อธิบายได้แค่ว่ามันอยู่ในที่ที่แตกต่างออกไป
เพื่อตอบสนองต่อการปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน หลายประเทศทั่วโลกต่างส่งกองกำลังออกมาทันที แล้วก็ค้นพบว่าเขาวงกตเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่ราวกับว่าหลุดมาจากเกมหรือนิยายแฟนตาซี….. แล้วยังเต็มไปด้วยแร่หายากทั้งยังมีแร่ที่ไม่รู้จักอยู่อย่างมากมาย—-แล้วยังค้นพบเครื่องมือลึกลับที่เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์
โลกต่างยินดีกับสิ่งนี้
ภายในเขาวงกตมีสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์อยู่จำนวนมาก แต่ด้วยบางเหตุผล พวกมันไม่ออกมาจากเขาวงกต และส่วนใหญ่ก็หมดพิษสงเมื่อมาอยู่ต่อหน้าอาวุธสมัยใหม่อย่างปืน
เขาวงกตจะถูกแบ่งออกเป็นชั้นๆ ยิ่งไปสู่ชั้นลึกๆก็จะยิ่งเจออุปกรณ์เวทมนตร์และแร่ต่างๆได้ง่าย นานาประเทศจึงต่างพากันสำรวจเขาวงกต
ของหลายอย่างที่ได้จากเขาวงกตมีการใช้งานที่เป็นปริศนา อย่างการ์ดที่มีภาพของมอนสเตอร์ แต่ของบางอย่างที่รู้ถึงการใช้งานแล้วก็เห็นถึงประโยชน์ได้อย่างชัดเจน
ยาที่ฟื้นฟูชิ้นส่วนร่างกายที่สูญเสียหรือสามารถรักษาโรคร้ายที่แม้แต่ยาในปัจจุบันยังทำได้ยาก คริสตัลที่ฉายให้เห็นสิ่งที่น่าจะเป็นอนาคต เครื่องรางที่ช่วยปกป้องภัยพิบัติอะไรก็ได้หนึ่งครั้ง เครื่องสำอางที่ทำให้คุณได้กลายเป็นตัวตนที่คุณอยากจะเป็น หรือแม้แต่อาหารที่ทำให้อายุยืน เป็นหนุ่มเป็นสาวไปตลอดกาล…..
อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ราวกับว่าหลุดออกมาจากเทพนิยายได้ดึงดูดผู้คน อีกทั้งจากการวิจัยยังค้นพบว่าแร่ที่ตกจากมอนสเตอร์ที่เรียกกันในชื่อหินเวท สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาลอย่างเช่นเป็นเชื้อเพลิงหรือว่าเป็นปุ๋ย โลกได้เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู
ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความต้องการของผู้คน กองกำลังทหารก็ยิ่งมุ่งหน้าไปลึกมากขึ้น ลึกมากขึ้น—-แล้วราวกับว่าเป็นราคาที่ต้องจ่าย เกิดความสูญเสียอย่างเกินคณานับ
สิ่งที่สามารถทำลายกองทัพที่มีอาวุธล้ำสมัยครบมือ ก็คือมอนสเตอร์ที่ในภายหลักถูกเรียกว่าเป็นประเภทวิญญาณคนตาย
กระสุนปืนที่จัดเป็นการโจมตีทางกายภาพไม่มีผลใดๆต่อมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณอย่างภูติผี ทำให้กองทัพหมดสภาพ ว่ากันว่าอเมริกาต้องสูญเสียกองกำลังไป 10% จากที่มีอยู่ทั้งหมด
ญี่ปุ่นยังพอโชคดีที่ยังไปไม่ถึงในชั้นที่มีมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณปรากฏ—- สืบเนื่องมาจากการประท้วงของกลุ่มประชาชนต่อการกระทำของกองกำลังป้องกันตัวเอง ถือได้ว่าเป็นโชคช่วยที่การดำเนินไปของการพิชิตเขาวงกตช้ากว่าต่างประเทศอยู่ก้าวหนึ่ง—- ผลจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอเมริกา พวกเขาจึงถอนกองกำลังออกจากเขาวงกต แล้วการพิชิตเขาวงกตก็ถูกหยุดลงชั่วคราว
ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆก็ทำตาม แล้วซักพักกระแสฟีเว่อต่อเขาวงกตก็ดูจะสงบลง ทว่า 6 เดือนหลังจากที่ปิดผนึกเขาวงกต….. โศกนาฏกรรมที่ในภายหลังจากเป็นที่เรียกกันว่า【แองโกลมัวร์ครั้งที่ 1】 ก็อุบัติขึ้น
มอนสเตอร์ที่คิดกันว่าจะไม่ออกมาจากเขาวงกต ได้ทะลักออกมาแล้วเริ่มทำร้ายผู้คน
โชคยังดีที่มีการสร้างฐานของกองทัพอย่างง่ายๆ อยู่รายล้อมเขาวงกต ความเสียหายจึงมีเพียงเล็กน้อย ทว่าผู้คนก็ต้องหวาดผวาให้กับมอนสเตอร์ที่สามารถผ่านแนวรับของกองทัพแล้วเข้าทำร้ายผู้คน
ณ ช่วงเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน ความเสียหายที่เกิดมากที่สุดมาจากมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณ ว่ากันว่ากองทัพที่ไม่มีหนทางจะทำอะไรมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณได้ไม่มีทางเลือกนอกเหนือแต่ปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นไป
แต่ก็ยังพอมีความหวังที่มอนสเตอร์ประเภทวิญญาณแพ้แสงอาทิตย์
พอพระอาทิตย์ขึ้น มอนสเตอร์ประเภทวิญญาณก็ค่อยๆหายไปเอง แม้แต่พวกที่ไปหลบตามใต้ดินก็จัดการด้วยการถล่มอาคารทิ้งไปทั้งหมด
หลังจากแต่ละประเทศสามารถจัดการมอนสเตอร์ได้ทั้งหมดก็พากันวิเคราะห์สาเหตุทันที
ในไม่ช้าก็เป็นที่แน่ชัดว่า ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นแค่ในประเทศที่ปิดผนึกเขาวงกตของพวกเขา ในที่ซึ่งแองโกลมัวร์ไม่เกิดขึ้นอย่างจีนหรือรัสเซีย หรือประเทศด้อยพัฒนาที่ยังคงล่ามอนสเตอร์อยู่ต่อไปแม้จะเกิดความเสียหายจากภูติผี….. นั่นคือสิ่งที่ค้นพบ
ผลก็คือ ข้อสมมติฐานได้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าไม่จัดการมอนสเตอร์อยู่เป็นประจำ มอนสเตอร์จะทะลักออกจากเขาวงกต
ยังมีอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญซึ่งถูกค้นพบใน 【แองโกลมัวร์ครั้งที่ 1】
เหล่ามอนสเตอร์ที่ในโอกาศหายากเอามากๆจะทิ้งการ์ดของตัวเองไว้….. วิธีการใช้พวกมัน
การ์ดพวกนี้ที่ภายหลังถูกเรียกว่า【มอนสเตอร์การ์ด】 ถึงแม้ในช่วงแรกๆ จะมีการวิจัยกับอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ไม่พบถึงวิธีการใช้งานพวกมัน บางส่วนจึงถูกปล่อยออกสู่ตลาดด้วยการเป็นของที่มาจากเขาวงกต
บางคนที่บังเอิญซื้อมันมา ค้นพบวิธีการใช้งานมันขณะที่ถูกมอนสเตอร์โจมตี
วิธีการนั้นก็คือ หยดเลือดของคุณลงไปบนตัวการ์ด แล้วคิดในใจอย่างแรงกล้าว่าต้องการจะใช้มัน
พอทำแบบนั้นแล้ว มอนสเตอร์บนการ์ดจะปรากฏออกมาแล้วเชื่อฟังสิ่งที่คุณพูด
การที่นักวิจัยไม่ตระหนักถึงเงื่อนไขง่ายๆแบบนี้ก็เพราะ นอกเหนือจากกรณีพิเศษอย่าง【แองโกลมัวร์】แล้ว ตัวการ์ดไม่สามารถใช้นอกอาณาเขตเขาวงกตได้
การวิจัยไม่ได้ถูกทำภายในเขาวงกตที่อันตราย แต่อยู่ในห้องทดลองเฉพาะ
ผลลัพธ์ของมันทำให้ตัวตนของไอเทมที่สามารถใช้ได้เฉพาะในเขาวงกตถูกจัดหมวดหมู่ขึ้น มันทำให้การวิจัยไอเทมก้าวหน้าไปอย่างมากราวกับเป็นการเยาะเย้ย
การค้นพบวิธีการใช้งานการ์ดนับได้ว่าเป็นทางออกของปัญหา แล้วการพิชิตเขาวงกตก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
นั่นก็เพราะด้วยการใช้งานมอนสเตอร์ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ วิธีการรับมือกับมอนสเตอร์วิญญาณจึงถือกำเนิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การ์ดยังมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง การ์ดยังมีฟังก์ชั่นบาเรียให้กับมาสเตอร์(เจ้าของ)ด้วย
มาสเตอร์จะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขณะที่มอนสเตอร์ถูกเรียกออกมา และมอนสเตอร์จะรับเอาความเสียหายทั้งหมดแทน
ด้วยเหตุนี้ การพิชิตเขาวงกตจึงปลอดภัยขึ้นมาก
อันที่จริง ทางกองทัพเองก็มาอยู่ในจุดที่ถึงขีดจำกัดในการสำรวจเขาวงกตไปแล้ว เพราะยิ่งมุ่งไปลึกมากเท่าใด อาวุธปืนก็ยิ่งไร้ประโยชน์กับมอนสเตอร์เท่านั้น
ในส่วนลึกของเขาวงกตนั้นมีทั้งมอนสเตอร์ประเภทวิญญาณที่ทนทานต่อกายภาพ, ที่รวดเร็วกว่าที่จะยิงโดน, ที่ทนทานมากชนิดที่ต้องระดมสาดกระสุนทั้งวันถึงจะจัดการได้, ศัตรูที่เก่งกาจเริ่มปรากฏออกมา
แล้วยังระบบเลเวลอัพที่มีอยู่ในเกมทั่วไป หากไม่มีมันการพิชิตเขาวงกตก็คงมาถึงทางตัน
อย่างไรเสีย ปัญหานั้นก้ถูกแก้ได้ด้วยการใช้การ์ด
จริงอยู่ที่มนุษย์ไม่สามารถเลเวลอัพได้ ทว่ามอนสเตอร์สามารถเลเวลอัพได้
เป็นผลให้เกิดการเลี้ยงมอนสเตอร์, จัดการมอนสเตอร์เก่งๆ, ได้การ์ดมาพัฒนา, จัดการมอนสเตอร์ที่เก่งขึ้นไปอีก—- กลายเป็นวงจรขึ้นมา
และแล้ว ก็เกิดเป็นข้อสรุปขึ้นมาอยู่หนึ่งอย่าง
นั่นก็คือ ต่อให้ไม่ต้องเป็นคนของกองทัพก็สามารถสำรวจเขาวงกตเองได้
ประเทศแรกที่ริเริ่มเลยก็คือ ดินแดนแห่งเสรีอย่างอเมริกา
ประชาชนใช้การ์ดเข้าพิชิตเขาวงกต
สาเหตุจาก【แองโกลมัวร์】 การจัดการมอนสเตอร์ภายในเขาวงกตจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุด ทว่ามันก้เป็นมีปัญหาที่เขาวงกตจำนวนนับไม่ถ้วนมันมากเกินกว่าที่กองทัพอย่างเดียวจะจัดการเองไหว
ในตอนนั้นเองอเมริกา ภายหลัง【แองโกลมัวร์ครั้งที่ 1】 เกิดเสียงเรียกร้องให้ประชาชนทั่วไปสามารถที่จะปกป้องตัวเองจาก 【แองโกลมัวร์】 ได้โดยอาศัยมอนสเตอร์การ์ด
แต่เดิมที ในประเทศที่มีการกราดยิงในโรงเรียน 「ถ้าหากว่าอาจารย์มีปืนอยู่ล่ะก็ โศกนาฏกรรมเช่นนี้คงไม่เกิด」ก็มีบางคนพูดกันแบบนี้อยู่ พอมาตอน 【แองโกลมัวร์】 เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพูดว่าถ้ามีการ์ดอยู่คงช่วยได้ไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง อเมริกาจึงเปิดเขาวงกตส่วนหนึ่งแก่สาธารณะ ยิ่งไปกว่านั้นยังก่อตั้งที่คอยควบคุมดูแลและช่วยเหลือประชาชนในการสำรวจเขาวงกตอย่าง 【Adventurers Guild of USA】ก่อตั้งกิลล์นักผจญภัยขึ้นมา
มันเป็นผลสำเร็จหรือว่าล้มเหลว มันก็ดูได้จากที่ว่าระบบนักผจญภัยได้แพร่หลายไปทั่วโลกอยู่ทุกวันนี้
หลังจากเขาวงกตได้ปรากฏขึ้นก็ผ่านมาแล้ว 12 ปี ทุกวันนี้อาชีพนักผจญภัยได้กลายเป็นอาชีพที่เป็นที่หมายปอง
【Tip】เขาวงกต
ช่องว่างอันแตกต่างออกไปที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้น ณ จุดๆหนึ่ง ในขณะที่มีมอนสเตอร์อันตรายเพ่นพ่านอยู่ภายใน ก็ยังมีสิ่งตอบแทนอย่างอุปกรณ์เวทมนตร์และแร่ปริศนาอยู่ ขนาดแตกต่างกันไปตามเขาวงกตแต่ละแห่ง ทว่ายิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใด มอนสเตอร์ที่เก่งกาจก็ยิ่งปรากฏขึ้นมากเท่านั้น ทั้งยังมีตัวตนที่เรียกได้ว่าเป็นจ้าวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดอีก หากว่าจัดการลงได้ก็จะได้รับสิ่งตอบแทนตามระดับความยาก
จำนวนของเขาวงกตเพิ่มมากขึ้นทุกปีและยังไม่มีหนทางที่จะทำให้มันหายไป จนมีทฤษฏีวันสิ้นโลกออกมาว่า ในท้ายที่สุดแล้วโลกจะถูกเติมเต็มไปด้วยเขาวงกตหมด
จากผู้แปล
สวัสดีครับ ผม Dhaos
ห่างหายจากการแปลไปนานกว่า 5 ปี เนื่องด้วยโควิดและอะไรหลายๆอย่าง(เพราะเจ็บใจที่งานแปลไม่ทันจบแล้วโดนลิขสิทธิดองหายทุกเรื่อง) จึงเพิ่งได้มีเวลากลับมาแปลอีกครั้ง
ส่วนใหญ่ผมจะไปประจำการที่บอร์ดของทางเว็ปนายท่าน ซึ่งก็เป็นที่รวมของนักแปลไร้สังกัดอยู่หลายท่าน
(งานแปลของผมจะไปลงไว้ที่นั่นก่อนซักระยะ แล้วจึงค่อยมาลงที่เว็ปนี้ภายหลัง)
หากท่านใดสนใจก็สามารถเข้าไปสมัครใช้งานได้ฟรีตาม URL ด้านล่างเลยครับ
https://goshujin.tk/index.php
หากท่านใดต้องการสนันสนุนหรือเป็นกำลังใจให้
สามารถโอนเงินมายังทางบัญชีกสิกรไทย 612-2-06308-7
ชื่อบัญชี นายชินวัฒน์ ฉัตรวิริยะเจริญ
หรือสแกนผ่าน QR code ด้านล่างได้ครับ
ขอขอบคุณทุกกำลังใจของทุกท่านที่สนับสนุนมา ณ ที่นี้ครับ