เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย – ตอนที่ 10 ขอร้องล่ะ ออกไปจากหนังสือภาพที

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

***คำเตือน เนื้อหาภายในตอนนี้มีการบรรยายที่เกี่ยวข้องถึงความรุนแรงต่อเด็ก โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***

 

 

「จะว่าไป มีผู้หญิงที่ชอบแล้วรึยังล่ะ?」

「จู่ๆเป็นอะไรเนี่ย」

「เอาน่า บอกมาเถอะ คงไม่บอกว่าชอบผู้ชายมากกว่าหรอกใช่ไหม?」

 

    ขณะที่เดินผ่านป่า พวกเราต่างก็เริ่มคุยกัน

    ไม่ใช่ว่าลดความระวังตัว

    คูซี่ใช้จมูกคอยค้นหาศัตรูอยู่ตลอดเวลา, ซาชิกิวาราชิเองก็จัดการหนูทุกตัวที่เจอ, ผมเองก็จัดเตรียมของเต็มที่ ในมือถือสเปรย์พริกไทย

    เหตุผลที่เปิดปากคุยกันก็เพื่อจะได้ไม่ถูกแรงกดดันเข้าถาโถมจนเกินไป

 

「จะเป็นงั้นได้ยังไงล่ะ เอาจริงๆก็มีอยู่ ถึงจะแค่รักข้างเดียวก็เถอะ」

「เห๋! เป็นคนแบบไหนล่ะ น่ารักรึเปล่า?」

「อืม นับว่าอยู่ในหมู่คนที่น่ารักที่สุดในห้องเรียน ถ้าเป็นระดับประเทศคะแนนหน้าตาคงได้มากกว่า 60 มีนิสัยสุขุม รู้สึกว่าตอนอยู่ในกลุ่มก็ยิ้มอยู่เงียบๆ ไม่เคยเห็นพูดว่าร้ายให้ใคร และเหนือสิ่งอื่นใด…..」

 

    อีกแล้ว…..ผมออกแรงกัดฟันเมื่อเหลือบไปเห็นศพของเด็กที่ปลายสายตา

    เด็กสาวผมบลอนด์ที่น่าจะยังไม่เข้าเรียนชั้นประถมด้วยซ้ำ เสียชีวิตแล้วถูกผ่าตั้งแต่ลำคอลงไปจนถึงสะดือ เครื่องในถูกควักออกจนหมดแล้วนำไปพันไว้กับต้นไม้ กลิ่นเลือดและสิ่งปฏิกูลผสมปนเป โหดร้ายมาก…..

    ผมเผลอคิดเอาตัวเองเข้าไปแทนที่กับฉากนั้นทำให้ต้องรีบเบือนหน้าหนี

    ไม่เป็นไรหรอก ผมจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่ามีสาวนำโชคอยู่ด้วยไง

 

「เหนือสิ่งอื่นใด?」

「ตัวเล็กเพรียวบาง แต่หน้าอกใหญ่มาก บางทีคงจะใหญ่ที่สุดในชั้นปีเลยก็ได้」

「…..สุดท้ายก็เป็นไอ้นั่น ลามกจริง แต่จากที่ฟังดูก็ดีอยู่ไม่น้อยเลยนี่ แล้วนายมีโอกาสรึเปล่า?」

 

    ซาชิกิวาราชิดูอึ้งๆไป แล้วเตะหนูที่แอบเข้ามาตรงเท้าของผมทำให้มันตาย กลิ่นเหม็นราวกับน้ำเน่าถูกต้มลอยคลุ้งทั่วบริเวณ

 

「มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ บอกตามตรงเลย ได้คุยกันแค่ไม่กี่หนเอง」

「เอ๋? แค่นั้นก็ชอบได้แล้ว? นั่นมัน ชอบเพราะแค่หน้าอกล่ะสิท่า…..」

「อา ไม่หรอก…..เดาว่าน่าจะเป็นการชอบที่แตกต่างไป ประมาณว่าใกล้เคียงกับอุดมคติ รู้สึกว่าคงจะดีถ้าได้คบกับผู้หญิงแบบนี้」

「อา อย่างงี้นี่เอง หมายถึงแบบนั้นสินะ」

 

    เด็กผู้ชายถูกถลกหนังออกหมด, เด็กผู้หญิงที่ถูกเอาหัวยัดใส่ท้องตัวเอง, เด็กผู้ชายผอมแห้งที่ตายโดยมีแขนตัวเองยัดลงไปในคอ, เด็กผู้หญิงที่แขนขาถูกดึงยืดยาวกว่า 3 เท่าตัวไปเกี่ยวกับต้นไม้ใกล้ๆ

    การแสดงศพสุดบ้าคลั่ง

    อ๊า บ้าเอ้ย…..

 

「หุบปาก! ใครกันที่มันหัวเราะอยู่!」

 

    ตั้งแต่เมื่อกี้ เสียง-กั่กกั่กกั่กกั่ก- มันดังอยู่ในหู! เชี่ยเชี่ยเชี่ยเชี่ยเชี่ยเชี่ยเชี่ยเชี่ย…..!!!

 

「น-นายท่าน…..?」

 

    ด้วยเสียงสับสนของคูซี่ ทำให้สติถูกดึงกลับมา

    ซาชิกิวาราชิกำลังมองมาอยู่อย่างสงบ ไม่มีใครหัวเราะทั้งนั้น แต่ว่า ได้ยินมัน เสียงหัวเราะของเด็กๆนับไม่ถ้วน…..

    หลอนไป?…..ไม่ใช่ ผมยังปกติอยู่ ถ้างั้นนี่ก็เป็นกลไกของเขาวงกตแห่งนี้ ถ้าการที่พวกซาชิกิวาราชิไม่ได้ยิน แสดงว่าคงจะเป็นกับดักที่มีผลเฉพาะมาสเตอร์ บางที คงจะใช้วิญญาณของพวกเด็กที่ถูกจับไว้

    …..ดีล่ะ ยังทำใจสงบใช้ความคิดได้ ผมยังฉลาด ยังเจ๋งอยู่

 

「อา คุยกันถึงไหนแล้วนะ …..ใช่ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลยสินะ? การมาเป็นนักผจญภัยนี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ขอบอกเอาไว้ก่อน อยากจะท้าทายดูซักครั้งตอนคริสมาสต์」

「เห อย่างงี้นี่เอง พยายามเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายเพื่อแสดงความเป็นชายออกมางั้นสินะ นายเองก็ทำได้ไม่เลวนี่ แต่ก็นะ ถ้ามาตายก่อนคริสมาสต์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนอยู่ดี」

「นั่นมัน ไม่ใช่เรื่องจะมาหัวเราะในสถานการณ์แบบนี้ใช่ไหม? ให้ตายสิ」

「ล้อเล่นหรอกน่า มีชั้นอยู่ด้วยแล้วไม่มีทางตายหรอก」

 

    ในพื้นที่ที่รู้สึกว่าจะกลายเป็นบ้า การโต้ตอบกับซาชิกิวาราชิแบบเป็นกันเองเป็นตัวช่วยให้จิตใจของผมสงบ

    ด้วยการละสายตาออกจากศพและพูดคุยเรื่องไร้สาระ เกิดเป็นภาพลวงตาว่ากำลังคุยอยู่กับเพื่อนในห้องเรียน

    รู้ดีว่ามันเป็นการหลีกหนีความจริงอย่างหนึ่ง

    ในหนังหรือมังงะเอง เหล่าตัวละครมีการเล่นมุขใส่กันแม้ว่าจะเป็นสถานการณ์คับขัน ตัวผมที่ได้เห็นก็คิดตามว่ามันจะเป็นไปได้เหรอที่จะพูดเรื่องดีๆออกมาในสถานการณ์เช่นนั้นได้? ต่อให้เป็นการแสดง มันจะขาดความสมจริงไปหน่อยรึเปล่า แต่ว่า ในตอนนี้เข้าใจแล้ว

    ถ้าไม่เล่นมุขอะไรมาซักอย่างแล้วรู้สึกว่าจะกลายเป็นบ้าได้

    ผู้กำกับและคนเขียนบทเองก็ไม่ได้โง่ บางทีคงจะไปสัมภาษณ์ทหารหรือนักข่าวในสนามรบถึงตอนที่พวกเขารู้สึกอันตรายถึงชีวิต

    ตัวหนังจะต้องสร้างโดยค้นคว้าการเคลื่อนไหวทางจิตวิทยาของผู้คนในช่วงเวลานั้น

    …..อา ความคิดมันเริ่มจะเอนไปทิศแปลกๆอีกแล้ว การหลีกหนีความจริงรุนแรงขึ้นงั้นเหรอ? มันเป็นหนึ่งในอะไรซักอย่างที่ช่วยให้วิเคราะห์สิ่งต่างๆได้อย่างใจเย็นรึเปล่า? มันเรียกของแบบนี้ว่าอะไรนะ?  เหมือนจะเคยได้เห็นอยู่ในหนัง อา จำได้ละ ความลำเอียงปกติ อื้ม ใช่แล้วล่ะ

 

「น-น,น-นายท่าน!」

 

    ด้วยเสียงร้องของคูซี่ทำให้สติผมกลับมา

 

「ม-มีอะไร!?」

「ข-เข้าใกล้ที่ที่จ้าวอยู่แล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงแล้วฮะ」

「งั้น, เหรอ…..」

 

    -ซึบ- รู้สึกได้ว่าท้องไส้หนักขึ้น, ขาที่สั่นอยู่ก็รู้สึกอ่อนแรงยิ่งกว่าเดิม พื้นดินที่น่าจะรู้สึกแข็งกลับรู้สึกหยวบยาบ

 

「น-นายท่าน ขอโทษด้วยฮะ!」

 

    จู่ๆ คูซี่ก็เอาหัวกระแทกพื้น ลงไปหมอบคลาน ร้องขอความเมตตา

 

「ห-ให้ผมกลับไปด้วยเถอะฮะ! ผมน่ะ เป็นกำลังรบไม่ได้หรอกฮะ!」

「………………..」

「ข-ขามันไม่ยอมเดินไปข้างหน้าแล้ว! ร-รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องสู้…..! แต่ถึงจะรู้อยู่แล้ว หากพอไปอยู่ต่อหน้าศัตรู ผมคงไม่สามารถต่อสู้ได้แน่…..! เรื่องนั้น ผมเข้าใจตัวเองดีฮะ!」

 

    ขนทั้งตัวลุกตั้งชัน หางม้วนลง และร้องไห้….. ผมลูบหลังให้กับคูซี่ที่เป็นแบบนั้น ตัวของหมอนี่มีกลิ่นเหมือนแสงอาทิตย์ กลิ่นที่ช่วยให้ผ่อนคลาย

 

「นายท่าน…..?」

 

    ในตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของหมอนี่ได้จริงๆ

    อันที่จริง ตอนที่ผมเห็นว่าหมอนี่ไม่สามารถต่อสู้ได้ ก็คิดอยู่ว่าไร้ประโยชน์ ที่ไม่เป็นไรเพราะว่ามีกูล่าและซาชิกิวาราชิอยู่ แต่ถ้ามีแค่หมอนี่อยู่แทบไม่อยากจะคิดเลย….. แบบนั้นล่ะ

    เคยบอกซาชิกิวาราชิอยู่ว่าจะเลี้ยงให้เป็นหน่วยสอดแนม แต่ก็คิดกับตัวเองว่าถ้ามีเงินแล้วก็คงจะหาเปลี่ยนตัว

    แต่พอชีวิตตัวเองมาตกอยู่ในอันตราย ในที่สุดก็สามารถเข้าใจที่หมอนี่รู้สึกได้

    ความตายนั่น น่ากลัว จะมนุษย์หรือว่ามอนสเตอร์เองก็เหมือนกัน

    การที่ไม่เข้าใจอะไรที่มันเห็นชัดแบบนี้ ผมที่พยายามให้หมอนี่ไปสู้

 

「ที่อุตส่าห์ทนกลัวและนำทางมาจนถึงตรงนี้ได้ ทำได้ดีมาก กลับมาได้แล้วล่ะ」

「อุ!!!」

 

    เมื่อได้ยินคำพูดของผม คูซี่ตะกุยอกตัวเอง, เอาหัวลงไปถูกับพื้น ร้องโหยหวนออกมาจากท้อง

 

「ผ-ผมมัน….. สมเพชตัวเองที่สุด!! ความกล้า…..อยากจะมีบ้าง!」

 

    การคร่ำครวญของเธอ เหมือนผมได้มองเห็นตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง

    เหตุผลที่ผมสามารถดูถูกคูซี่ที่ขี้ขลาดได้ก็เพราะถูกคุ้มครองอย่างปลอดภัยโดยบาเรีย และให้การ์ดที่เก่งๆออกไปต่อสู้แทน

    ตอนมองผ่านจอ TV ก็ดูแคลนตัวละครที่โดนสัตว์ประหลาดโจมตีแล้วรู้สึกหวาดกลัว

    กับตัวเองที่ได้รับประกันความปลอดภัย แล้วไปล้อเลียนผู้ที่ต้องเผชิญหน้าความกลัวด้วยร่างกายตนเองลำพัง

    ทว่า พอกลับต้องมาเผชิญหน้ากับความตายเป็นครั้งแรก ผิวหนังปลอมๆของผมก็ถูกลอกออก

    และแล้วที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช้นักผจญภัยหน้าใหม่ แต่เป็นแค่เด็กน้อยที่กลัวจนอ้วกแตก

    อยากจะได้ความกล้า ความกล้าที่มาพร้อมจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อยืนหยัดต่อภัยอันตราย

 

    —-เพราะแบบนั้นแหละคูซี่ มากล้าหาญไปทีละเล็กละน้อยด้วยกันเถอะ

 

    ผมพูดกับตัวเองแล้วเรียกเธอกลับสู่การ์ด

 

「ใจดีเหลือเกินนะ」

 

    ได้ยินเสียงหัวเราะของซาชิกิวาราชิมาจากทางด้านหลัง

 

「จะแกล้งทำตัวเป็นมาสเตอร์ผู้แสนใจดีที่ใส่ใจการ์ดงั้นเหรอ? เปลี่ยนไปใช้การ์ดที่ใช้งานง่ายๆและแข็งแกร่งกว่า มันจะดีกว่ามาเสียเวลาและความพยายามแบบนี้ไหม?」

 

    ตรงข้ามกับที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอแสนจะอ่อนโยน

    ผมหันกลับไปแล้วพูด

 

「ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ผมจะใช้หมอนี่ไปตลอด, เสริมแกร่งให้, แรงค์อัพให้ จากนี้และตลอดไป」

 

    แน่นอนว่าเธอก็ด้วย เป็นสิ่งที่ไม่ได้พูดออกไป

    ไม่มีความจำเป็นต้องพูดหรอก

 

 

    ขณะเข้าใกล้ศัตรูเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงทำนองร่าเริงของขลุ่ย

    ตัวตนของจ้าวถูกคาดเดาได้แล้ว มีหนูเป็นลูกน้อง, ศพของเด็กชายและหญิง, เสียงขลุ่ย….. ไม่ผิดแน่ ตัวจริงของศัตรูก็คือ 【ชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน】

    ไม่ได้เป็นหนึ่งในอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์ที่ขึ้นชื่อที่สุด อาจจะเพราะว่าไม่ใด้สร้างความเสียหายมากนักในช่วงแองโกลมัวร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นพวกกระจอก อันที่จริงการที่มันมีชื่อน้อยทำให้ยิ่งต้องระวังเพราะว่ามีข้อมูลน้อย

    แต่หากศัตรูคือ【ชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน】แล้วล่ะก็ พอจะคาดเดาสกิลได้คร่าวๆ ถือว่าดีกว่าไม่ได้เตรียมรับมืออะไรเลย ลงมือเตรียมพร้อมอะไรบางอย่าง

    สูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าความกลัวถูกสลัดทิ้งไป ความคิดมันค่อยๆสงบลงเรื่อยๆ

 

「ไปกันเถอะ」

 

    บอกกับเหล่าการ์ดสั้นแล้วมุ่งไปทางต้นตอของเสียง

    วาชิกิวาราชิหายตัวไปแล้ว หลังจากปรึกษากันไปมาก็ตัดสินใจกันว่าให้ตัวเธอเคลื่อนไหวอย่างอิสระเหมือนอย่างเคย ในขณะที่ผมจดจ่ออยู่กับการออกคำสั่งกูล่าไป

 

「…..อุ」

 

    ตรงนั้นที่ชายขอบป่า ที่ริมฝั่งของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ชายสวมชุดสีสันฉูดฉาดผ้าลายทางแนวตั้ง กำลังเล่นขลุ่ยอย่างตั้งอกตั้งใจ มีก้อนเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วยกระจายอยู่รอบๆและเหล่าหนูที่กำลังกัดกิน

    กับภาพที่ราวกับนรกทำให้ต้องกลั้นหายใจไปชั่วครู่ แต่ก็ทำใจให้สงบอย่างรวดเร็วแล้วออกคำสั่งแก่กูล่า

 

「ยิงเลย กูล่า!」

「เยส, มาสเตอร์」

 

    กูล่ายิงหนังสติ๊กที่ง้างไว้ไปที่ชายเป่าขลุ่ย มองตามกระสุนไม่ทันเพราะมันพุ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่รับรู้ได้ว่ามันถูกป้องกันไว้ด้วยอะไรซักอย่าง พลาดซะแล้ว แต่ว่า แน่ใจว่าเห็นมัน เพียงชั่วพริบตามีอะไรบางอย่างคล้ายกับบาเรียที่ทำขึ้นมาจากโน้ตดนตรีโผล่ออกมาตรงหน้าชายคนนั้น

    ก่อนอื่นจะต้องเอามันออกไปก่อน

    เป็นบาเรียป้องกันทางกายภาพรึเปล่า? หรือว่าป้องกันดาเมจที่ต่ำกว่าจนถึงจุดหนึ่ง? โน้ตดนตรีคงไม่ใช่แค่ดีไซน์ เสียง…..ขลุ่ยรึ?

 

「แหมแหม ช่างเป็นคุณลูกค้าที่ใจร้อนเสียจริง! แต่ว่าจะต้องรอให้การแสดงจบลงเสียก่อนถึงค่อยจ่ายค่ารับชมนะครับ!」

「!?」

 

    ถึงจะแค่เล็กน้อยแต่ผมก็เตรียมตัวไม่ให้ตกใจอยู่บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงถึงกับชะงัก

    นั่นไม่ใช่เพราะศัตรูเริ่มพูดกลับมา ถ้าเป็นเรื่องการพูดแล้ว แม้แต่การ์ดของทางเราก็พูดได้ เป็นเรื่องปกติที่มอนสเตอร์สามารถพูดได้ ศัตรูเองก็ไม่ต่างกัน

    ที่ผมตกใจก็คือรูปร่างของศัตรู ตอนที่หลับตาเล่นขลุ่ยอยู่นั้นไม่ได้รู้ตัว แต่ว่าใบหน้าของเขาน่าสยดสยองมากจนอธิบายได้ว่าเป็นของสัตว์ประหลาด

    เบ้าตาที่จัดอยู่ในแนวตั้งแทนที่จะเป็นแนวนอน และภายในนั้นมีดวงตาเล็กๆหลายดวงอัดแน่นอยู่ ปากที่ดูเผินๆครั้งแรกเหมือนจะปกติ แต่พอเปิดปากออกมาก็เห็นทั้งริมฝีปากและฟันมี 2 ชุด

    กลิ่นเองก็แย่มาก ตอนแรกนึกว่าเป็นกลิ่นของศพที่ถูกทิ้ง—- แต่ในความจริงคือกลิ่นของสิ่งปฏิกูลและเลือดจากอวัยวะที่กระจายอยู่ทั่ว—- ตัวกลิ่นนั้นราวกับจะโชยออกมาจากร่างของมันเอง และเข้มข้นมากยิ่งกว่าท่อน้ำทิ้งหลายเท่า

    เพราะแบบนี้จึงใส่แว่นตานิรภัยแบบครอบปากมา ถ้าถอดมันออกคงไม่สามารถใช้ความคิดได้เป็นปกติแน่

 

    ชายเป่าขลุ่ยกางแขนออกด้วยท่าทางเกินจริง กำลังจะทำอะไรบางอย่างแล้ว! คิดได้เช่นนั้นผมจึงสั่งให้กูล่าทำการยิงหนังสติ๊กไปเรื่อยๆ แต่ความพยายามก็ถูกกำแพงตัวโน้ตที่ปรากฏตรงหน้าชายเป่าขลุ่ยป้องกันเอาไว้

    …..หมายความว่าไม่ใช่บาเรียที่จะปรากฏแค่ตอนเล่นขลุ่ยงั้นรึ?

    ราวกับพวกเราอยู่ที่อื่น ชายเป่าขลุ่ยเริ่มพูดด้วยเสียงอันดัง

 

「อันเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนั้น คือเรื่องโศกศัลย์อันบังเกิดแก่เมืองหนึ่ง! กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีปรากฏชายหนุ่มผู้หิวโซ ความหิวโหยนี้มิอาจสนองได้ด้วยหนทางธรรมดา ด้วยความคิดชายหนุ่มจึงได้แผนการแสนแยบยล คือใช้เหล่าหนูที่ตนฝึกฝนมุ่งรุกจู่โจมเมือง แล้วจึงแสร้งแกล้งขับไล่ จนได้มาซึ่งรางวัลดั่งใจหมาย เช่นนั้นแล้วขอเชิญรับฟัง【คาร์นิวัลของเหล่าหนู】」

 

    ทันทีที่พูดจบ ชายเป่าขลุ่ยก็ใช้ท่วงท่าสง่างาม ประทับปากไปที่ขลุ่ย

    แล้วหนูทั้งหมดทั่วบริเวณก็แยกเขี้ยวเข้าใส่อย่างพร้อมเพรียงกัน ขณะเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงของหนูดังจากในป่าไปทั่ว ราวกับเป็นการประสานเสียงสุดแสนน่ารังเกียจ

    เหล่าหนูโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นซึนามิเล็กๆ กูล่ายกตัวผมขึ้นนั่งบนไหล่เพื่อหนี ผมที่อยู่ที่สูงกว่า ใช้สเปรย์พริกไทยในมือฉีดไปทั่วบริเวณ

    พวกหนูที่เจอเข้ากับสารที่สามารถไล่หมีได้ ส่งเสียงร้องแสบแก้วหูแล้วชักดิ้นชักงอ เยี่ยม ได้ผล!

    แต่พวกหนูยังพากันออกมาจากในป่าอย่างต่อเนื่อง ผมฉีดสเปรย์ต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต

 

「เหล่าหนูที่ปรากฏ กัดกินอาหารภายในเมืองและแพร่โรคร้าย ชาวเมืองต่างพากันวางกับดักมากมายพร้อมใช้อาวุธหลากหลายเพื่อไล่หนู แต่ดูแล้วเหล่าหนูไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เมื่อทุกคนกำลังเข้าตาจน ชายหนุ่มก็พลันปรากฏแล้วเอ่ยว่า

『อันตัวข้ากับเหล่าหนูรู้วิธีจะจัดการ หากว่าจัดรางวัลสมคุณค่า ตัวข้าจะกำจัดหนูให้สิ้นไม่มีเว้น』

    นายกเมืองพอเห็นเรื่องรางวัล ก็พลันนึกระวังและกังวล แต่เพราะทางอับจนจึงต้องจ่ายจ้างชายนั้น

『อย่างนั้นก็ดีงั้นจงมาลองแก้ หากแต่เหลือรอดแม้เพียงหนึ่ง แม้เพียงสลึงก็อย่าคิดจะได้ไป』

     เช่นนั้นแล้วขอเชิญรับฟัง【การเดินขบวนของเลมมิ่ง】」

 

    ด้วยเพลงนั้น ทัพเสริมของเหล่าหนูจู่ๆก็หยุด ไม่เพียงแค่นั้น หนูที่ไม่ได้โดนสเปรย์ต่างพากันกลับเข้าป่าราวกับน้ำไหลกลับ ทำไมกัน? ทำไมถึงถอนกำลังออกจากแนวรบ? …..หรือว่าบางที สามารถโจมตีได้แค่ตามเนื้อเรื่อง?

 

「พลันเมื่อขลุ่ยถูกชายหนุ่มเล่น เหล่าหนูจากถนนทุกเส้นในเมืองก็มาหา ชายหนุ่มมุ่งหน้าออกเมืองสู่ลำธาร  เหล่าหนูพากระโจนลงสายน้ำจนตายสิ้น ผู้คนเมืองเห็นทุกสิ่งพาสรรเสริญ เมื่อชายหนุ่มเดินกลับเมือง จึงเยือนกล่าวต่อนายก

『สัญญาฝั่งตัวข้าบรรลุผ่าน ตาของท่านมาถึงแล้ว』

    ทว่านายกไม่ยอมตกลงมอบค่าลงแรงแก่ชายหนุ่ม พลันที่หนูหายจนหมด ก็รู้สึกโล่งอกพร้อมนึกงกไม่มอบสินจ้าง

『ไม่มอบเหล่าลูกสาวเราให้หรอก』

    ชายหนุ่มถูกหลอกผิดสัญญาจึงโกรธกรี้ว ผิวขลุ่ยเสียงดังไปทั่วเมือง เหล่าเด็กทั้งเมืองเดินออกบ้าน ถูกล่อลวงด้วยเสียงบรรเลงสนุกสนาน  เช่นนั้นแล้วขอเชิญรับฟัง【คำเชิญสู่ละครสัตว์】」

 

    เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็ต้องชะงัก มาแล้ว มาแล้ว! ฉากที่โด่งดังที่สุดของนักเป่าขลุ่ยล่ะ!

    ชายเป่าขลุ่ยเล่นขลุ่ยของเขาอย่างดัง ท่วงทำนองชวนสนุกจนไม่น่าเชื่อว่ากำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู่ พวกเราที่ได้ยินเข้า….. ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ

    นี่เป็นครั้งแรกที่หมอนั่นมองมาด้วยความประหลาดใจ พอเห็นแบบนั้นผมก็แสยะยิ้มให้

 

    …..ดูเหมือนว่าที่เตรียมการไว้จะสำเร็จ

    ตอนที่คาดไว้ว่าศัตรูคือชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลิน สิ่งแรกที่ผมระวังเอาไว้เลยก็คือการโจมตีด้วยเสียง ชายเป่าขลุ่ยแห่งฮาเมลินใช้เสียงขลุ่ยของเขาลักพาตัวเด็กๆของเมืองที่ไม่ยอมจ่ายเงิน ถ้าเป็นงั้นแล้วล่ะก็ คาดการณ์ว่าจะต้องมีการสร้างสถานะผิดปกติบางอย่างหรือใช้เสียงโจมตี

    เพื่อรับมือ ผมให้เหล่าการ์ดสวมหูฟังอินเตอร์คอมเอาไว้ล่วงหน้า มันมีคุณสมบัติเป็นฉนวนป้องกันเสียง ปิดกั้นเสียงจากภายนอกทั้งหมด และสามารถส่งคำสั่งเสียงผ่านทางไมโครโฟนได้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่ายังส่งผลอยู่ไม่ว่าจะได้ยินเสียงหรือไม่แล้วคงลำบาก แต่ดูเหมือนว่าถ้าเสียงไม่เข้าหูก็ไม่มีปัญหา

 

    อีกเรื่องหนึ่ง ตัวผมที่เป็นมาสเตอร์ตราบเท่าที่ยังมีการ์ดถูกเรียกออกมาอยู่ ก็จะไม่ได้รับผลจากการโจมตีของศัตรูจึงไม่เป็นปัญหา

    เมื่อชายเป่าขลุ่ยสังเกตุเห็นอินเตอร์คอมที่หูพวกเราก็โกรธจัด ทำการแยกเขี้ยวแล้วตะโกน

 

「พวกแก! ไอ้ที่อุดหูนั่นมันอะไรรรร! มันใช่วิธีฟังเพลงคนอื่นเรอะ!!」

「จะไปรู้เรอะ!」

 

    ผมพูดย้อน พร้อมปากระป๋องสเปรย์พริกไทยเข้าใส่

    แน่นอนว่ามันถูกป้องกันไว้ด้วยบาเรีย แต่มันก็กลิ้งไปอยู่ใกล้ๆตามที่เล็งไว้ ตอนนี้แหละ

 

「กูล่า! ยิงไปที่สเปรย์เลย!」

「เยส, มาสเตอร์」

 

    กูล่าที่ได้ยินคำสั่งของผมผ่านไมโครโฟน ใช้หนังสติ๊กยิงไปที่กระป๋องสเปรย์ทันที

    แล้วแก๊สที่บรรจุภายในก็ระเบิดออกทันที สารฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ และที่อยู่ตรงกลางนั้นก็คือชายเป่าขลุ่ย

    จะเห็นได้ว่าสารจากสเปรย์ไม่ถูกนับเป็นการโจมตี เพราะอากาศที่เปลี่ยนสีเข้าล้อมรอบตัวชายเป่าขลุ่ยได้โดยไม่ถูกป้องกันจากบาเรีย

    เป็นไงบ้าง? …..บ้าเอ้ย ไม่ได้! ดูเหมือนไม่ได้ผลเลยซักนิด

    ดูท่าว่าจะมีการป้องกันสถานะผิดปกติที่สูง

 

「แก! จะไม่ทนต่อไปแล้ว! ข้าคนนี้จะตัดคอของแกด้วยตัวเอง!」

 

    ชายเป่าขลุ่ยที่โกรธจัดทำการหมุนควงขลุ่ย แล้วขลุ่ยก็กลายสภาพเป็นเคียวในทันทีราวกับเป็นยมทูต

    นี่วางแผนจะเข้าต่อสู้ประชิดตัวงั้นรึ!

    พร้อมด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้าย ชายเป่าขลุ่ย…..ไม่สิยมทูต จังหวะที่กำลังก้าวเท้าออกมา กระสุนแสงจากที่ไหนซักแห่งก็พุ่งเข้าโจมตีใส่

 

「หืม!?」

「!!!!」

 

    สมแล้วที่เป็นยมทูต หมุนตัวหลบการโจมตีได้อย่างฉับพลัน ทว่าพวกเราก็ไม่พลาดการกระทำนั้น

    หลบ! มันหลบ! หรือก็คือบาเรียจะปรากฏก็ต่อเมื่อถือขลุ่ยอยู่เท่านั้น!

    หมอนั่นขมวดคิ้ว ราวกับรู้สึกตัวถึงความผิดพลาดของตัวเอง

 

「แก ลอบโจมตีได้ฉลาดนักนะ!」

「กระแสมาแล้ว! กูล่า เฟส 3! รุกโจมตีเลย!」

 

    กูล่าที่ได้รับคำสั่ง เข้าไปใกล้ยมทูต

    ยมทูตยกเคียวขึ้นแล้วตั้งท่าเพื่อรับมือ แต่กระสุนแสงของซาชิกิวาราชิก็ถูกยิงเข้าใส่ลูกแล้วลูกเล่า

 

「น-นี่มัน…..คุ พลัง ถ้าเกิดว่าพลังไม่ถูกจำกัดไว้ล่ะก็!」

 

    ระหว่างการโจมตีคงจะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ จากการที่กระสุนแสงลอยมาจากทั่วทุกทิศทาง ยมทูตต้องตกสู่สภาวะตั้งรับต่อสไนเปอร์ล่องหน

    ในตอนนั้นเอง กูล่าใช้มือข้างหนึ่งที่ถือกระบองไฟฟ้าเข้าโจมตีใส่ ยมทูตหลบด้วยการพลิกตัว แล้วกระสุนแสงก็ทะลวงเข้าที่ขาขวา ทำให้เข่าทรุด จากนั้นกูล่าใช้กระบองไฟฟ้าฟาดลงมา ยมทูตเบนหัวเพื่อหลบการโจมตีโดยตรงที่หัว แต่กระบองไฟฟ้าก็กระแทกเข้าที่ไหล่ -เปรี๊ยะ- ไฟฟ้าถูกปล่อย ยมทูตตัวชะงักไปชั่วขณะ

    ทว่าดูเหมือนจะทนทานต่อการโจมตีด้วยไฟฟ้า เพียงครู่เดียวจึงทำการฟาดเคียวกลับมา—- แต่แค่ครู่เดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับซาชิกิวาราชิ

 

「…..บ้า, น่า」

 

    กระสุนแสงพุ่งทะลวงหน้าอกของยมทูต ยมทูตเบิกตากว้างราวกับไม่อยากเชื่อ ตัวโอนเอน แล้วหายไป

 

「…………………………」

 

    ความเงียบ มีเพียงเสียงของหัวใจผมที่ดังก้องอยู่

    รอดูอยู่ซักพักให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ในที่สุดก็เข้าใจ

 

「…..จัดการ, ได้แล้ว?」

 

    เป็นการพูดลอยๆขึ้นคนเดียว แต่ว่าก็มีคำตอบมาทันที

 

「อา พวกเราชนะแล้วล่ะ」

 

    พอรู้สึกตัว ซาชิกิวาราชิก็มาอยู่ข้างๆ กูล่าเองก็ค่อยๆเดินเข้ามาหาผม

    -ฟู่- หนูที่ดิ้นอยู่รอบๆก็ค่อยๆหายไป แล้วก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าพอเจ้านายหาย พวกลูกน้องก็จะหายตามไปด้วย

    ตอนนั้นเองที่เริ่มรู้สึกตัว

    ชนะแล้ว พวกเรา รอดตายแล้ว

 

「…..ฮ่าาาาาาา」

 

    -ตุ๊บ- นั่งลงไปที่พื้นอย่างอ่อนแรง

    สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในอกไม่ใช่ความสุข แค่เป็นความโล่งใจ มีเพียงความโล่งใจที่ไม่ตาย โล่งใจที่ไม่สูญเสียการ์ดของผม

    จนในที่สุด ความรู้สึกที่ได้ทำสำเร็จก็เข้ามา ความรู้สึกที่ได้ทำสำเร็จมีมากมายหลายเท่ายิ่งกว่าตอนที่ตั้งใจเรียนแล้วสอบได้ 100 คะแนน

    ความมั่นใจเองก็มา กับการที่สามารถจัดการอิเรกูลาร์เอ็นเคาเตอร์ในการต่อสู้ครั้งแรก

    แถมยังไม่มีข้อมูลใดๆมาก่อน อยากจะชื่นชมตัวเอง คิดว่าตัวเองมีความสามารถพอดู

    อยากจะไปอวดใครซักคน ว่าการ์ดของผมมันสุดยอดขนาดไหน

 

    ท้ายที่สุด ความรู้สึกอยากขอบคุณได้เอ่อล้นกลบอย่างอื่น

 

    ถ้าการ์ดของผมไม่ใช่ยัยพวกนี่แล้ว คงได้ตายอย่างแน่นอน

    โดยเฉพาะซาชิกิวาราชิ ยัยนี่ช่วยเหลือมาตลอดทางจนถึงการต่อสู้ ถ้าเด็กสาวตัวเด็กๆคนนี้ไม่ให้กำลังใจแล้วล่ะก็ ผมคงจะพังไปก่อนที่จะได้สู้กับจ้าว แถมในตอนต่อสู้ยังจัดการด้วยกระสุนแสง, ไขปริศนาเรื่องบาเรีย โจมตีปิดท้ายก็เป็นยัยนี่

    ได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว ใครหน้าไหนมันบอกว่านี่คือการ์ดของเสียกัน? ราคาครึ่งเดียวจากราคาตลาด? อย่ามาโง่หน่อยเลย แบบนี้มันใครๆก็อยากได้ไม่ว่าจะราคา 10 เท่าหรือ 100 เท่าเลย

    จริงๆเชียว ขอบคุณ ที่พูดได้ก็มีแค่นี้

    ด้วยความคิดเช่นนั้นจึงจ้องมองไปทางซาชิกิวาราชิ—-แล้วต้องตัวแข็งทื่อ

 

    ยมทูตมัน, อยู่ข้างหลังเธอ, ยกเคียวขึ้นสูง, หัวเราะอย่างโหดร้ายด้วยปากที่ฉีกกว้างจนถึงหู

 

「—-เซอร์ไพ~รส์ ความบันเทิงน่ะมันก็ต้องมีเรื่องประหลาดใจสิ!」

 

    หยุ—-

    ก่อนที่คำพูดจะได้ออกจากปาก เคียวนั่น ก็ถูกฟาดลงมา

 

 

 

 

【Tips】ความประทับใจ

    สารอาหารที่เชื่อมต่อโดยตรงกับแรงจูงใจของผู้แต่ง

    มนุษย์นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้ไม่มี「ความประทับใจ」ด้วยการกิน แต่ตัวผู้แต่งเป็นสิ่งมีชิวิตแสนเปราะบางที่ถ้าไม่มี「ความประทับใจ」แล้วจะไม่สาสามารถมีชีวิตรอดได้

    ตั้งตารอที่จะได้ฟังสิ่งที่คุณคิดอยู่

 

 

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

ความลำเอียงปกติ

https://en.wikipedia.org/wiki/Normalcy_bias

https://hmong.in.th/wiki/Normalcy_bias

 

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

เด็กม.ปลายสายม็อบอย่างผมจะกลายเป็นสายเรียลได้ไหมถ้าเป็นนักผจญภัย

Status: Ongoing
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ในโลกคู่ขนานของญี่ปุ่น จู่ๆ เขาวงกตได้ปรากฏขึ้น ที่ซึ่งมอนสเตอร์โผล่ออกมา ในช่วงแรกเริ่มนั้นเขาวงกตไม่ได้ต่างอะไรไปจากภัยพิบัติ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยทรัพยากรที่เขาวงกตผลิต และตัวตนของ ‘การ์ด’ ที่ตกจากมอนสเตอร์ กลายเป็นช่วงแห่งการกอบโกย การ์ดมอนสเตอร์ที่สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ออกมาได้ดั่งใจนึก เหล่านักผจญภัยที่ใช้พลังของการ์ดเพื่อพิชิตเขาวงกต ถ่ายทอดสถานการณ์เหล่านั้นด้วยดันเจี้ยนTV, โคลอสเซียมที่มอนสเตอร์ต่อสู้กัน….. สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความสนใจในตัวผู้คน แล้วก่อนที่จะรู้ตัวนักผจญภัยก็กลายเป็นอาชีพที่ผู้คนใฝ่ฝันจะเป็น คิทากาว่า・อุทามาโร่ เด็กม.ปลายสายม็อบ เห็นเพื่อนที่น่าจะเป็นสายม็อบเดียวกัน หลังจากที่เป็นนักผจญภัยแล้วกลับถีบตัวไปอยู่ในกลุ่มท็อบได้ จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักผจญภัยด้วยตัวเอง อุทามาโร่ เพื่อที่จะได้แรร์การ์ดไปอวดทุกคนได้จึงเดิมพันชีวิตกับกาชาสุดบ้าระห่ำราคา 1 ล้านเยน ทว่า—?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน