“เกิดอะไรขึ้น” เหล่าซวีมองเพื่อนอย่างสับสน
ทันใดนั้นร่างที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ระเบิดออก เลือดสดๆ กระเซ็นไปทั่วบริเวณ บางส่วนยังกระเซ็นขึ้นมาโดนใบหน้าของเขาอีกด้วย!
ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจู่โจมเหล่าซวีเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจของเขาเอาไว้แน่น เขาไม่เคยเจอความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาก่อน
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เขามองการเคลื่อนไหวของคนคนนั้นไม่ออกด้วยซ้ำ นอกจากขนนกสีดำสนิทอันเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร่ามัวและรวดเร็วจนสายตาของเขาตามไม่ทัน
“เจ้า เจ้าไม่ใช่มนุษย์ เจ้าเป็นปี…” ชื่อนั้นติดอยู่ที่ปาก เขายังไม่ทันได้ตะโกนออกมาด้วยซ้ำตอนที่ค้างคาวดูดเลือดฝูงหนึ่งบินเข้ามาจากทางด้านหลัง
ค้างคาวทุกตัวดูเหมือนจะทำตามคำสั่งจากคนผู้นั้น พวกมันพุ่งมาทางเขาราวกับสายลมสีดำสนิท แล้วผ่านร่างของเหล่าซวีไป
ร่างนั้นค่อยๆ ถอยห่างออกจากบริเวณนั้นพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มุมปากว่า “ข้าไม่ชอบให้ใครเรียกข้าว่าปีศาจ ถึงนั่นจะเป็นสิ่งที่ข้าเป็นก็ตาม”
ขนนกสีดำหายไปทันทีที่เท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแตะลงบนพื้น เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะสังเกตเห็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือ ชายหนุ่มหยุดยืนด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วถอดถุงมือออก ก่อนจะโยนมันลงบนศพของเหล่าซวี
ค้างคาวดูดเลือดเริ่มบินหนีไปอีกทาง พวกมันบินวนอยู่รอบตัวเขา แต่ไม่มีตัวไหนที่กล้าเข้าใกล้เขาเกินไป ได้แต่รวมกันเป็นฝูงอย่างตื่นเต้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงค้างคาวดูดเลือด ดวงตาลึกล้ำของเขาเป็นสีดำราวกับน้ำหมึกขณะที่สายลมพัดเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาและผมดำถึงเอวนั้นลอยสะบัดไปตามลม แสงอาทิตย์ยามเย็นยิ่งทำให้กลิ่นอายอันสูงส่งแต่ชั่วร้ายที่ออกมาจากร่างของเขายิ่งชัดเจน
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดมือตัวเอง น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเฉกเช่นเดิม
ฝูงค้างคาวดูดเลือดส่งเสียงฟ่อ พวกมันบินกระจัดกระจายกันออกไป ก่อนร่อนลงกับพื้นราวกับต้องการทำความเคารพเขา
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่เขาคิดตอนได้ยินเสียงนั้นก็คือเขาต้องรีบไปช่วยอีกฝ่าย
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเท้าออกเดิน เขาก็สังเกตเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังเดินกลับมาในสภาพไร้รอยขีดข่วน ใบหน้าของเขายังคงหล่อเหลาจนแทบหยุดหายใจ และร่างของเขาก็ยังคงสะอาดสะอ้านดังเดิม มิหนำซ้ำยังดูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งล้างมือมาอีกด้วย
“หนูสองตัวนั้นเล่นสกปรก ข้าก็เลยใช้เวลาจัดการกับมันนานไปหน่อย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ ทุกการกระทำของเขาสง่างามเป็นอย่างยิ่ง “ตอนนี้พวกเราไปกันต่อได้แล้ว”
จูเก่ออวิ๋นตาโตทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้ชายคนนี้ดูผ่อนคลายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
“ท่านไม่เห็นค้างคาวดูดเลือดที่บินอยู่เหนือศีรษะของพวกเราหรือขอรับ” จูเก่ออวิ๋นถามพร้อมกับลดเสียงลงเพราะเขากลัวว่าค้างคาวพวกนั้นจะหันมาสนใจเขาถ้าเขาเผลอพูดเสียงดังขึ้นมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแขนเสื้ออย่างใจเย็น “ไม่เห็นจะมี”
“เป็นไปได้อย่างไร!” จูเก่ออวิ๋นหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย “พี่เว่ย พวกมันบินมาจากทางนั้นใช่หรือเปล่าขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังง่วนอยู่กับการเล่นกับสตรอว์เบอร์รีในมือ นางยิ้มให้เขาเล็กน้อยพร้อมกับตอบว่า “จริงหรือ ทำไมข้าถึงไม่เห็นเลยล่ะ”
“เอ๋?” จูเก่ออวิ๋นงงเป็นไก่ตาแตก เขาขยี้ตาตัวเองอย่างแรง หรือมันจะเป็นภาพลวงตา? แต่เมื่อครู่นี้เห็นชัดเจนว่าค้างคาวดูดเลือดฝูงนั้นมันบินมาจากทางนี้นี่นา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกมองเด็กหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเองอยู่ แต่กลับหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแทน “ท่านจัดการมันเรียบร้อยแล้วหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบในลำคออย่างเย็นชา ก่อนจะดึงนางเข้าหาตัว
ทั้งสองเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบจมูก นิ้วของนางไล้ไปบนแผนที่ “กลิ่นเลือดค่อนข้างฉุนทีเดียว” ประสาทการรับกลิ่นของนางอ่อนไหวอย่างมากหลังจากตั้งครรภ์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางด้วยสีหน้าจนปัญญา ในดวงตาของเขามีประกายความอ่อนโยนวาบผ่าน เขาจูบหน้าผากของนางพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญว่า “ไม่มีที่ให้ล้างมือ แถวนี้มีแต่ต้นไม้ แต่ข้าเช็ดมันจนสะอาดแล้ว กลิ่นคงจะหายไปในไม่ช้านี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
นางเพียงแค่พูดธรรมดา แต่มันกลับกลายเป็นการกระตุ้นองค์ชายเข้าจนได้ ดูเหมือนโรคคลั่งความสะอาดขององค์ชายจะกำเริบอีกแล้ว
แต่เขาฆ่าคนพวกนั้นได้อย่างไร มีเพียงจูเก่ออวิ๋นผู้ทรงคุณธรรมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ากลิ่นเลือดนี้ทั้งฉุนและรุนแรงเพียงใด
นอกจากกลิ่นคาวเลือดแล้ว ยังมีกลิ่นไม้จันทน์และกลิ่นใบป๋อเหอที่นางคุ้นเคยลอยออกมาจากตัวของเขาอีกด้วย กลิ่นที่ผสมปนเปกันนี้ไม่ได้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอึดอัดแต่ประการใด ดังนั้นนางจึงโน้มตัวเข้าไปแล้วจูบเขากลับ
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดำทะมึนขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าจูเก่ออวิ๋นที่อยู่ข้างหลังพวกเขาน่ารำคาญขึ้นมาทันใด
จูเก่ออวิ๋นไม่ได้สังเกตว่าตัวเองกลายเป็นก้างขวางคอทั้งสองไปเสียแล้ว จิตใจของเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับคำถามที่ว่าเมื่อครู่นี้เขาเห็นภาพหลอนไปเองหรือไม่
เขาคิดไม่ออก ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่ายหน้าแล้ววิ่งนำไปข้างหน้าพร้อมกับบอกว่า “ถ้าเราผ่านป่าไปได้ เราจะไปถึงน้ำตกแห่งเดียวบนภูเขาแห่งนี้ขอรับ ท่านพ่อของข้าเคยบอกข้าว่าที่นั่นมีสัตว์อสูรหลับใหลอยู่ หลังจากนี้เมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว คงจะดีเป็นอย่างยิ่งถ้าเราไม่ได้ปลุกมันขึ้นมา”
“เข้าใจแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น นางก็ยังเลือกที่จะใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดเพื่อเดินทางต่อ
หัวใจของจูเก่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าสัตว์อสูรที่ว่านั่นจะปรากฏตัวขึ้น เขากำยันต์ในมือแน่นขณะเดินขึ้นน้ำตกไป
แต่เขามัวแต่ก้มหน้าลงมองยันต์ในมือ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะสัตว์อสูรตัวที่ว่านั่นกำลังเผชิญหน้ากับองค์ชายอยู่
สัตว์อสูรตัวนั้นได้กลิ่นมนุษย์มาพักใหญ่แล้ว มันทอดตัวอยู่บนผิวน้ำพร้อมกับม้วนหางยาวเต็มไปด้วยหนามแหลมรอให้ใครสักคนเดินเข้ามาในกับดักของมัน
มันตั้งใจว่าจะกินหญิงมีครรภ์คนนั้น
มนุษย์อาจจะถูกการปลอมตัวนั้นหลอกตาจนไม่สามารถตัดสินในสิ่งที่เห็นได้
มันแตกต่างจากมนุษย์ เพียงแค่มองปราดเดียวมันก็รู้ได้แล้วว่าหนึ่งในสามคนนั้นเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย และนางกำลังตั้งครรภ์อยู่
แม้กระทั่งเด็กในท้องของนาง มันก็ยังได้กลิ่น อาหารมื้อนี้จะต้องอร่อยอย่างแน่นอน
คนเช่นนางยากจะหาได้ในโลกมนุษย์! มีมนุษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีพลังวิญญาณมหาศาลเหมือนกับทารกคนนี้
มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะพ่อและแม่ของทารกน้อยเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกันทั้งคู่ พวกเขาจึงสามารถให้กำเนิดสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ออกมาได้
ยิ่งสัตว์อสูรคิดถึงเรื่องนี้มากเพียงใด มันก็ยิ่งน้ำลายไหลจนแทบควบคุมความอยากอาหารของตัวเองไม่ได้ มันว่ายน้ำอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะบัดหางยาวของตัวเองไปมา
แต่นึกไม่ถึงว่าดวงตาอันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายคู่หนึ่งจะหันมาสบเข้ากับมันทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ เมื่อสัตว์อสูรปรากฏตัว ประกายแสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาที่เดิมทีเคยเป็นสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาลนั้น
เขา… เขาคือ…
“องค์ราชา…”
เสียงของสัตว์อสูรสั่นเครือ ความตื่นเต้นในตอนแรกที่ทำให้มันอ้าปากแยกเขี้ยวออกมาหายวับไปกับตาเพราะตัวตนของชายคนนี้ มันม้วนร่างอันสั่นเทาราวกับใบไม้ของตัวเองกลับเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหยิบตำราเวทออกมาจัดการมันตามอำเภอใจ
“ไสหัวไป!” เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
สัตว์อสูรก็รีบว่ายน้ำหนีอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าปลาทุกตัวในน้ำ มันไม่กล้าหันหน้ากลับไปมองด้วยซ้ำ!
จูเก่ออวิ๋นที่อยู่อีกฝั่งกลับยังระมัดระวังตัวอย่างมาก เขาเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องอันตรายได้ถูกคลี่คลายลงแล้ว และทั้งหมดที่องค์ชายทำก็แค่โผล่หน้าออกไปเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ อีกเส้นทางหนึ่ง พ่อลูกตระกูลหนีต่างเผยรอยยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะทันทีที่ได้ยินเสียงความโกลาหลอยู่ที่ฝั่งนี้ และคิดว่าแผนการของพวกเขาคงสำเร็จแล้ว…