จูเก่ออวิ๋นไม่ควรได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อ
แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาตายได้เช่นกัน
เพราะจูเก่ออวิ๋นตั้งข้อสงสัยกับตระกูลหนีของพวกเขาต่อหน้าทุกคน ดังนั้นถ้าหากเขาตายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตระกูลหนีจะต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยเป็นแน่
เขาวางแผนให้คนของเขาช่วยจูเก่ออวิ๋นต่อหน้าทุกคน
ส่วนเขาจะทำอะไรกับเขาหลังจากช่วยชีวิตเขาได้ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในเวลานี้เขาไม่ควรแม้แต่จะขยับได้สักนิ้วเดียว และยังไม่สามารถขัดขวางแผนการของเขาได้อีกด้วย
การปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ใช่แค่จะพิสูจน์ให้โลกได้เห็นว่าตระกูลหนีไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ยังทำให้พวกเขาเอาชนะใจผู้คนได้อีกเป็นจำนวนมาก
มันยังสามารถทำหน้าที่เตือนให้คนจากตระกูลจูเก่อรู้ได้อีกด้วยว่าตระกูลหนีไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถท้าทายได้ และคงดีกว่าหากในอนาคตพวกเขาประพฤติตัวให้ดีขึ้น!
ต่างจากหนีเปียว หนีหู่ไม่สามารถซ่อนอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ เขายังคงมีสีหน้าของ ’ผู้ชนะ’ อยู่บนใบหน้า เขามองไปที่ด้านหลังด้วยความดูถูกพร้อมกับพูดว่า “พวกเรามาถึงแล้ว แต่พวกจูเก่ออวิ๋นกลับยังไม่มา ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะมาถึงกันเมื่อใด อย่าต้องให้พวกเรารอกันจนถึงพรุ่งนี้เลย ข้าคงไม่มีความอดทนมากพอถึงเพียงนั้น”
“ข้าว่าพวกเราควรเข้าสุสานหลวงกันไปก่อน ใครจะไปรู้เล่าว่าพวกเราต้องรอกันอีกนานแค่ไหน” ใครคนหนึ่งเสนอขึ้น
หนีเปียวแสร้งส่ายหน้า แล้วเล่นละครเป็นผู้อาวุโสผู้มากด้วยสติปัญญา “กว่าทุกคนจะมาถึงที่นี่ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกว่านั้น จูเก่ออวิ๋นก็ยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลจูเก่อ รอพวกเขาสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง อย่างไรฟ้าก็ยังไม่มืดเลย”
ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาอับอายขายหน้าเหมือนเจ้าเด็กพวกนั้นมาก่อน เขาจะต้องตอบแทนความอัปยศนี้คืนกลับไปให้พวกเขาให้จงได้!
แม้คนอื่นๆ จะไม่เข้าใจความคิดของหนีเปียว แต่หนีหู่ผู้เป็นลูกย่อมเข้าใจมันได้อย่างชัดเจน เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างอวดดี “ข้าว่าพวกเราควรเชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อ รอพวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน”
“นายท่านหนีและนายน้อยหนีช่างเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมยิ่งนัก” ใครคนหนึ่งยกนิ้วพร้อมกับเอ่ยชมพวกเขา “ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านายท่านหนีจะยังแนะนำให้พวกเรารอจูเก่ออวิ๋นอยู่ ทั้งที่เขาสงสัยตระกูลท่านมากถึงเพียงนั้นแท้ๆ”
“ต่อให้พวกเรารอไป พวกเขาก็ไม่ชนะอยู่ดี รวมพวกเราที่อยู่ที่นี่ก็มีคนอยู่ตั้งสิบสองกลุ่มแล้ว ในเมื่อมีสองกลุ่มขอสละสิทธิ์จากการแข่งขันด้วยความสมัครใจ จูเก่ออวิ๋นจะต้องมาถึงเป็นอันดับสุดท้ายอย่างแน่นอน”
ขณะที่บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีร่างร่างหนึ่งเดินลงมาจากภูเขา ร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นจูเก่ออวิ๋นนั่นเอง เขาดูผ่อนคลายอย่างคาดไม่ถึง อีกทั้งยังใช้กระบี่ไม้ท้อของตัวเองจับปลามาด้วยถึงสามตัว
“โอ้ ในที่สุดนายน้อยอวิ๋นก็มาถึงแล้ว!” ลูกศิษย์ของตระกูลหนีเรียกเขาว่านายน้อยอวิ๋น แต่อันที่จริงพวกเขากลับกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ “สหายทั้งสองของท่านล่ะไปไหนเสียแล้วหรือ พวกเขาคงไม่ได้สิ้นใจระหว่างทางมาที่นี่จนไม่สามารถขึ้นมาบนนี้พร้อมท่านได้หรอกใช่ไหม”
“แค่มองก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นายน้อยอวิ๋น ท่านใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ พวกเราอยู่นี่มาครู่หนึ่งแล้วก่อนที่ท่านจะปรากฏตัวขึ้น ในเมื่อท่านมาถึงเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นท่านจึงหมดสิทธิ์แข่งต่อ!”
จากนั้นคนจากตระกูลหนีก็เริ่มหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง และไม่มีใครพยายามที่จะหยุดพวกเขาแม้แต่คนเดียว
หนีหู่สงสัยเหมือนกันว่าทำไมจูเก่ออวิ๋นถึงมาปรากฏตัวที่นี่เพียงลำพัง ตามแผนการที่วางไว้ ท่านลุงทั้งสองควรจะเป็นคนพาทั้งสามคนในสภาพเจ็บหนักมาพร้อมกันมิใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงไม่เห็นท่านลุงทั้งสองล่ะ
เป็นเพราะพวกเขาแยกกันระหว่างทางหรือ หนีหู่มองสีหน้ากังวลของจูเก่ออวิ๋น หลังจากยืนยันการคาดเดาของตัวเองได้ เขาจึงเดินเข้าไปหาจูเก่ออวิ๋นอย่างอวดดี “พี่อวิ๋น คนเราไม่ควรใจแข็งเกินไปนัก เราล้วนแต่มีขีดจำกัดในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ดังนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ให้ต้องพูดจาใหญ่โต ท่านว่าเช่นนั้นหรือไม่ ดูสิ สุดท้ายคนที่ต้องเสียหน้าก็เป็นท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้เลย ท่านทำให้เพื่อนในกลุ่มต้องตาย แต่ท่านก็ยังไม่สามารถเข้าไปในสุสานหลวงได้ แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากต่างเมืองพวกนั้นสิที่น่าหัวเราะยิ่งกว่า พวกเขากล้าพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาต้องการที่จะเอาชนะตระกูลหนี ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย!”
“ข้า…” จูเก่ออวิ๋นขมวดคิ้ว แล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่หนีหู่กลับไม่สนใจเรื่องนั้น แล้วหันไปมองหนีเฟิ่ง “ท่านพี่ ทำไมท่านไม่บอกเขาล่ะขอรับว่าท่านเป็นคนปักธงสีแดงไว้ที่นี่ เขาจะได้เข้าใจเสียทีว่าเขาอยู่ห่างจากตระกูลหนีมากเพียงใด!”
“ธงสีแดงหรือ” หนีเฟิ่งเริ่มไอออกมาเบาๆ ใบหน้าสง่างามของนางมีผ้าสีขาวปิดบังเอาไว้ นางถามอย่างสับสนว่า “ธงสีแดงอะไร”
หนีหู่ชะงัก “ธงสีแดงที่ปักอยู่ครึ่งทางขึ้นเขานั่นอย่างไรล่ะขอรับ! ท่านเป็นคนปักมันไว้มิใช่หรือ”
“เปล่า ข้าไม่ได้ปัก” หนีเฟิ่งไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะปัญหาทางด้านร่างกายของตัวเอง นางจึงขึ้นมาที่นี่เพียงลำพังโดยไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่ม และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางไม่รู้เรื่องธงสีแดงที่ว่านี้ เพราะนางไม่ได้ฟังคำอธิบายจากผู้ตัดสินที่มีคำสั่งให้ปักธงลงที่จุดนัดพบเมื่อพวกเขามาถึง
หนีหู่กลับดูงุนงงยิ่งกว่าทันทีที่เขาได้ยินเช่นนั้น เขาจึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านมาถึงที่นี่นานแล้วมิใช่หรือขอรับ”
“ใช่ ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้าทุกคน น่าจะสักครึ่งชั่วยามเห็นจะได้” หนีเฟิ่งยังคงไม่รู้ถึงกฎนั้น อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีคนอื่นขึ้นมาถึงที่นี่ก่อนนาง
หนีหู่งงสุดขีดหลังจากได้ฟังคำพูดของนาง “ท่านกำลังบอกว่าท่านมาถึงที่นี่ก่อนพวกเราเพียงครึ่งชั่วยามหรือ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ มองมาทางนี้ด้วยความสับสนไม่แพ้กัน “นี่มันไม่ถูกต้อง พวกเจ้าดูธูปที่จุดอยู่นั่นสิ ธงสีแดงควรจะถูกปักเอาไว้อย่างน้อยก็ตั้งแต่เมื่อสามชั่วยามที่ผ่านมาแล้ว!”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนขึ้นมาถึงก่อนคุณหนูหนี” ใครคนหนึ่งเริ่มตั้งคำถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
หนีหู่ขึ้นเสียงตอบโต้ทันทีว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
“นายน้อยหนี ท่านก็เห็นเหมือนกันนี่ ธูปพวกนั้นชี้ให้เห็นกันอยู่ว่ามันอยู่มามากกว่าครึ่งชั่วยาม” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสบตากัน “ถ้าคนแรกที่ขึ้นมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่คุณหนูหนี แล้วจะเป็นใครล่ะ”
อันที่จริง มันจะสามารถเป็นใครไปได้หรือ
มีคนที่เร็วยิ่งกว่าคุณหนูหนีด้วยรึ
ไม่มีใครเดาถูกแม้แต่คนเดียว!
ใบหน้าของพ่อลูกตระกูลหนีดูไม่พอใจอย่างมาก หนีหู่พยายามอธิบายว่า “อย่างไรตอนนี้ทุกกลุ่มก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ถ้ามีคนมาถึงที่นี่ก่อนท่านพี่ของข้าจริง ทำไมพวกเขาถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”
“ใครบอกว่าพวกข้าไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ” น้ำเสียงอันเกียจคร้านดังขึ้นมาจากทางเข้าสุสาน พร้อมกับร่างของคนสองคนที่เดินออกมาจากเงามืด ท่าทางเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงแผ่บรรยากาศสันโดษออกมา ทำให้คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เขาเกินไปนัก ส่วนเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวสลับขาวกลับดูเหมือนเพิ่งตื่น นางอ้าปากหาว ท่าทางนั้นทั้งดูหล่อเหลาและเย้ายวนในเวลาเดียวกัน “พวกเรามาถึงเร็วเกินไป ก็เลยมองหาที่เหมาะๆ นอนกลางวันรอต่างหาก แต่แล้วพวกเราก็ได้ยินที่นายน้อยหนีดูถูกพวกเราเข้า ช่างเป็นการแสดงที่น่าสนใจดีทีเดียว!”
สีหน้าบนใบหน้าของพ่อลูกตระกูลหนีเปลี่ยนไปทันทีที่พวกเขาเห็นหน้าคนทั้งสอง ดวงตาของทั้งคู่เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร
สองคนนี้ยังยืนอยู่ที่นี่โดยไร้รอยขีดข่วนได้อย่างไร
หนีหู่กำหมัดแน่น แล้วท่านลุงทั้งสองของข้าล่ะ
อีกอย่าง… เมื่อครู่นี้เขาพูดว่าอะไรนะ
พวกเขามาถึงที่นี่เร็วเกินไปอย่างนั้นหรือ?!
หนีหู่คำรามออกมาเบาๆ แล้วหันไปเยาะเย้ยเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า “เป็นไปไม่ได้! ต่อให้เจ้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกข้า แต่เจ้าก็คงไม่ใช่คนแรกที่มาถึงที่นี่แน่!”
“ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียหน่อย คนที่ปักธงสีแดงเอาไว้ก็คือข้าเอง” จูเก่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงพร้อมกับก้าวออกมายืนตรงข้ามกับหนีหู่ขณะที่จับกระบี่ไม้ท้อของตัวเอง
หนีหู่หัวเราะเยาะเขาด้วยความขบขันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “พี่อวิ๋น เป็นเพราะเจ้าได้ยินพี่สาวของข้าปฏิเสธว่านางไม่ได้เป็นคนปักธงสีแดงอันนั้น เจ้าก็เลยตัดสินใจอ้างว่าตัวเองเป็นคนที่ปักมันเอาไว้แทนหรือ ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!”