บทที่ 3 ตอนที่ 3
「ฉันจะขอถามอีกครั้ง พวกนายมาทำอะไรที่นี่กันแน่?」
หญิงสาวคนนั้นพูดเช่นนั้นพร้อมกับจ้องหน้าทุกคน เสียงนั่นแม้จะดูเรียบๆแต่ก็เป็นเหมือนความโกรธภายใต้ท่ามกลางพายุหิมะ
คันธนูของเธอมีลูกศรลูกถัดไปรออยู่แล้ว เธอพร้อมที่จะดึงสายของมันให้ตึงและยิงออกมาทันที
นอกจากนี้ลูกศรนั่นยังเปล่งแสงพลังเวทย์จางๆดูเหมือนว่าจะใช้เวทย์บางอย่างเข้าไปในลูกศรด้วย
ผมนึกถึงลูกศรที่วิ่งผ่านหน้าก่อนหน้านี้ ด้วยลูกศรเพียงลูกเดียวแต่ปัดการโจมตีของกระสุนเวทย์ได้ตั้งหลายนัด ซึ่งความแรงของลูกธนูที่ยิงมานั้นค่อนข้างแรงอย่างมาก
「อะเอ่ออก็ไม่ใช่อะไรหรอก…………ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย」
「ชะใช่พวกเราก็แค่หยอกล้อกันนิดหน่อย…………」
พวกนั้นคงรู้แหละว่าผมคิดอะไรอยู่เลยพยายามจะถอยหนีและหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยทีเดียว
「กฏขอแรก ห้ามทำการต่อสู้ภายในพื้นที่ของสถาบันนอกจากสถานที่ๆกำหนด ฉันล่ะอยากรู้จริงๆพวกนายอยากจะโดนไล่ออกยังงั้นเหรอ?」
เธอพูดเช่นนั้นพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในทุ่งหญ้า แต่ก็มีความรู้สึกน่ากลัวหน่อยๆออกมาจากรอยยิ้มนั่น ราวกับว่ามันเป็นความสามารถส่วนตัวของเธอที่ทำท่าทางน่ารักไปพร้อมกับข่มศัตรูได้เนี่ย
「ปะไปกันเถอะ…………」「อะโอ้……」
พวกนั้นรีบออกไปทันที หญิงสาวที่เห็นเช่นนั้นก็ลดคันธนูลง
「ขอบคุณนะครับที่ช่วย รอดตายแล้วสิเนี่ยเฮ้อ。」
ผมเข้าไปหาเธอและขอบคุณเธอตรงๆ เธอที่เผชิญหน้ากับผมก็ทำหน้าตกใจ
เธอคนนั้นมีผมสีที่ยาวแต่ท่าทางจะไม่ได้ดูแลผมอย่างดีนัก มีดวงตาสีฟ้า ขายาว หุ่นค่อนข้างได้รูปและใบหน้าที่ขาวมน
จากภาพตรงหน้าแล้วเธอเป็นดั่งพืชพรรณที่เบ่งบานท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม
เธอสวยพอๆกับไอริสและลิซ่าเลย หูที่ยาวจนมองผ่านได้จากผมของเธอ หนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทวีปอาร์คมีล เอลฟ์นั่นเอง
“เอลฟ์”
ว่ากันว่าเป็นเผ่าที่ได้รับพรจากภูติมากที่สุดและเป็นที่รู้จักกันว่ามีอายุยืนยาวและรูปลักษณ์งดงาม(เปลี่ยนจาก จิตวิญญาณเป็น= ภูติ พลังวิญญาณ=พลังภูติ เพราะลืมว่ามีเอลฟ์=_=)
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นก็คือการพูดคุยกับภูติได้
ด้วยการตอบสนองของภูติที่อยู่รอบๆทำให้พวกเขาได้ยินและมองเห็นในระยะไกล
เดิมที่อาศัยอยู่ในประเทศ “เนบร้า” ซึ่งอยู่ที่ป่าฟอสซิลทางตอนเหนือของทวีป แต่ว่าโดนการรุกรานครั้งใหญ่จนประเทศพังทลาย
◇◆◇
「……ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันก็แค่เดินผ่านทางมาเอง」
เธอพูดว่าไม่ต้องกังวลไป ท่าทางของเธอดูเรียบๆมองเธอจากภายนอกแล้วดูแล้วเธอจะเป็นคนพูดน้อยมีท่าทางสุขุม ทำให้ผมค่อนข้างสับสนกับท่าทางของเธอ
「อะเอ่อ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ผม โนโซมุ เบลาตี้ ยินดีที่ได้รู้จัก……?」
「อืมคนในข่าวลือนี่น่ะ ไม่ว่าใครในสถาบันก็ต่างรู้จักนายทั้งนั้นแหละ」
…………ก็นั่นสินะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเจอกับไอริสตอนกลางวันมันแพร่สะบัดไปไวมาก ไม่แปลกใจที่เธอจะรู้จักผม
「ฉันซีน่า・จูเรียล ปี 3 ห้อง 2 แต่ว่าฉันไม่ได้รู้จักนายจากข่าวลือเมื่อตอนกลางวันหรอกนะแต่เป็นข่าวลือเรื่องที่นายหักอกหญิงที่ชื่อลิซ่าต่างหาก」
ดวงตาของเธอที่พูดเช่นนั้นก็เห็นท่าทางโกรธอย่างเห็นได้ชัด
「ในตอนแรกถ้านายไม่หักอกลิซ่า เรื่องแบบนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ」
คำพูดนั่นทะลุเข้าไปในใจผม ตอนที่ผมคบกับลิซ่าก็โดนคนรอบข้างบอกเช่นนั้น แต่ไม่มีการทำร้ายร่างกายใดๆ แต่เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เลิกกับลิซ่า
「ก็นั่น่ละนะพวกนั้นก็คงโกรธเพราะนายเป็นคนแบบนั้น เพราะฉะนั้นนายนั่นแหละที่เป็นคนผิด」
เธอพูดเช่นนั้นพร้อมกับหันหลังกลับไป หลังจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในอาคารเรียน
◇◆◇
ผมเริ่มมองเธอที่เดินกลับไป
(ผมรู้แล้ว รู้แต่แรกแล้วล่ะ)
ผมรู้อยู่แล้วว่าคนรอบตัวผมน่ะมันแย่แค่ไหน
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอแล้ว แต่ตัวผมก็ยังได้รับผลกระทบเหล่านี้ ผมก็ทำได้แค่คิดถึงเธอเท่านั้นแหละ
ผมไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเลิก ข่าวลือเรื่องชู้สาวก็ดันกลายเป็นข่าวจริงที่คนเขาเชื่อกันแบบนั้น
แม้ว่ามันจะเป็นข่าวลือแต่คนจำนวนมากก็ปรักใจเชื่อ และเชื่อว่ามันเป็นความจริงจนทำให้ผมต้องโดดเดี่ยว
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะตัวผมเองที่หนีความจริงเหล่านั้นจนทำให้ข่าวลือมันเป็นเรื่องจริง ตัวผมที่เมินเฉยต่อข่าวลือเหล่านั้น ถ้าตอนนั้นตัวผมต่อต้านข่าวลือนั่นสักหน่อยเรื่องก็คงไม่น่าจะหนักแบบนี้
เป็นตัวผมที่ผิดเองที่ไม่ยอมแก้ไขความเข้าใจผิด
แต่ผมกลับวิ่งหนีไม่ยอมพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย
…………และนี่ละผลลัพธ์ของการหนีความจริง……。
「………………เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะเอาแต่ “หนี”เพราะแบบนั้นตัวผมที่ไม่พยายามเผชิญหน้ากับคนอื่นๆต่างหากที่ผิดใช่ไหมล่ะ……」
มีเพียงแค่เสียงของผมที่ดังก้องไปทั่วอาคารเรียน
ตอนนั้นจู่ๆก็สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังมองมาทางนี้ แต่มันก็เป็นแค่สัมผัสอ่อนๆที่จับได้หลังจากนั้นสัญญาณนั่นก็หายไป
ตอนนั้นเองสายตาก็ไปจ้องไปทางด้านหลังอาคารเรียน มีพุ่มไม้อยู่เมื่อผมเข้าไปในนั้นก็พบเจอกับแผ่นกระดาษที่มีลวดลายแปลกๆ
「เฮ้ย โนโซมุ!ปลอดภัยรึเปล่า!」
เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็พบกับมาร์ที่กำลังวิ่งมาทางนี้ เมื่อผมเห็นกระดาษนั่นก็นึกได้ทันที จากนั้นก็รีบไปหามาร์
◇◆◇
「……เห็นแล้วล่ะน้า~。ดูเหมือนว่าหมอนั่นน่ะ จะไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาลือกันนะ」
หลังอาคารเรียน เสียงระฆังที่ดังขึ้นมีชายหนุ่มผู้มีหูและหางสีทองอยู่ในสถานที่ๆไม่ควรจะมีใครอยู่ ชายหนุ่มคนนั้นจ้องมองโนโซมุจากระยะไกล
บางทีเพราะใช้เวทย์มองไกลบางอย่าง ที่เท้าปรากฏวงเวทย์และมีสัญลักษณ์อะไรลอยอยู่ตรงหน้าเขามันเป็นประกายสีทองเช่นเดียวกับขนของเขาเลย
โดยปกติแล้วหากอยู่หลังอาคารเรียนมันมักจะมืดและมองไม่ค่อยเห็น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นด้วยเพราะใช้วิชานี้
「อืม อืม นักเรียนห้อง 10 สิน้า ถึงแม้ว่าจะอยู่ห้อง 10 ชั้นเองก็จะทำให้ดีที่สุด ตัวตนที่ห่างชั้นอย่างห้อง 1 กับห้อง 10 มาอยู่ด้วยกันนี่นะ จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะถ้าชั้นเจ้าพวกเกเรนั่นยังต่อกรกับเขาอยู่แต่ผลลัพธ์ก็ดูน่าสนใจดี ไม่คิดเลยว่าซีน่าจะเข้ามาขวางกันแบบนี้แย่จริงๆ……」
เห็นได้ชัดชายคนนี้เป็นคนวางแผนให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เขาจ้องมองโนโซมุที่กำลังมองซีน่า
「ก็คนมันไม่รู้นี่น่า~。แน่นอนแผนของชั้นมันไม่ได้แย่ แต่ตัวชั้นเองก็ไม่มีความน่าสนใจพอที่จะลากเจ้าหญิงเทพธิดาทมิฬคนนั้นมาได้ด้วย……หืมมีอะไรต่ออีกงั้นเหรอ?」
เขามองเช่นนั้นพร้อมกับเกาหัวไปด้วย
「หืมมมม~ควรจับตาดูต่อไปอีกหน่อยดีไหมนะ」
พูดเช่นนั้นแล้วก็ปลดวิชาออกและกลับเข้าตึกเรียนไป แต่ว่าเขาไม่สังเกตเลยว่าวิชาที่ถูกคลายออกมันไปสะกิดใจโนโซมุเข้า โนโซมุสังเกตเห็นถึงวิชาของเขาและสิ่งที่เขาเหลือทิ้งไว้
◇◆◇
หลังจากจบคาบเรียนในวันนี้ มาร์กับผมก็อยู่ที่ร้านของ “เรือนร่างของโค” ไอริสกับทิม่าเองก็เป็นคนชวนให้ไปเที่ยวด้วยกัน ตอนนี้ก็มีเพียงแค่พวกเราและฮันนะที่อยู่ในร้าน ดูเหมือนร้านจะโดนเหมาแล้วล่ะ
ไอริสเอ่ยปากพูดคนแรก
「ก่อนอื่นก็ต้องขอโทษท่านพ่อท่านแม่ของคุณมาร์ด้วยนะคะ ที่พาลูกชายและลูกสาวของคุณมาตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้」
ไอริสพูดเช่นนั้นและกล่าวขอโทษ
สำหรับไอริสแล้วการที่คนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไปไม่ใช่เรื่องดี แต่ไอริสไม่สนใจ
“ถึงแม้ว่าจะต้องปิดเป็นความลับ แต่อย่างน้อยก็อยากให้ได้คุยเป็นการส่วนตัวหน่อยค่ะ”
เธอจึงอธิบายเหตุการณ์ต่างๆให้ฮันนะและเดลฟังรวมถึงข้อตกลงที่ตระกูลฟรานซิสทำไว้เมื่อ 300 ปี ก่อน
ในเวลาเช่นนี้เธอก็ยังดูสง่างามและมองไปที่ฮันนะ
ผมรู้สึกทึ่งกับท่าทางอันแสนงดงามและความสวยของเธอ หัวใจของผมที่ไม่มีภูมิต้านทานตรงนี้มันทำให้ใจเต้น…………。
ดูเหมือนว่าเธอจะเตรียมตัวที่จะรับโทษจากคุณฮันนะและเดลแล้ว……。
「แหม่ แหม่ ทำได้ดีเหมือนกันไม่ใช่รึไงมาร์ ในที่สุดแกก็ปกป้องผู้หญิงได้แล้วสินะ!」
ด้วยคำพูดเช่นนั้นฮันนะพูดพร้อมกับทุบหลังของมาร์ด้วยเสียอันดังและรอยยิ้ม ทิม่าที่อยู่ตรงนั้นเองก็หน้าแดงแจ๋และก้มหน้าลงทันที และพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางสดใส ซึ่งตรงและชัดเจนต่อตัวเองดีแหะ……。
「เจ็บนะเฟ้ย!ทำบ้าอะไรเนี่ย!!」
มาร์เองไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้ทิม่าต้องเขินอายขนาดนั้นบ่นกับฮันนะบอกว่าเจ็บเนี่ยนะ แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงแดงเหมือนกัน ฮันนะเองก็ดูท่าจะอารมณ์ดี
「ก็นะ หวังว่าพี่ชายจะเป็นแบบนี้ไปตลอดละกัน ยังโล่งใจไม่ได้ เพราะก่อคดีเยอะไปล่ะนะ……」
อิน่ายังคงบ่นเช่นนั้นด้วยความไร้เมตตาต่อมาร์ แต่ดูเหมือนว่าเธอเองก็แอบอมยิ้มกับท่าทางของมาร์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่าพี่ชายของเธอก็ทำเรื่องดีๆเป็นเหมือนกัน……。
「อะเอ่อโนโซมุคุงยังพอมีเวลาไหมคะ? ออกไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกันหน่อยได้ไหมคะ……」
「เอ่อไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นะครับ?」
「นี่ไม่ใช่ว่าโอกาสดีแล้วเหรอคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อยทั้งสองไปเดินเล่นด้วยกันเถอะนะคะ ตัวฉันไม่เคยมาเดินเล่นแถวย่านการค้าเลยนะคะ」
「อืมมมมมมมม หนูเองก็เห็นด้วยน้า!」
「ฉะ-ฉันเองก็ด้วย」
โซเมียตอบข้อเสนอของพี่สาวเธออย่างร่าเริง ทิม่าเองก็เห็นด้วย
「เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจละก็ ข้าจะนำทางให้ก็ได้นะ……」
「ส่วนฉันไม่ว่างล่ะต้องเตรียมงานสำหรับตอนกลางคืนซะด้วยสิ……」
มาร์ยื่นข้อเสนอ แต่อิน่าบอกว่าไปไม่ได้จริงๆ เพราะเธอยังต้องช่วยงานตอนกลางคืน
◇◆◇
「เอาล่ะ อิน่า เองก็ไปด้วยเถอะนะ」
ฮันนะบอกเช่นนั้นว่าให้อิน่าไปด้วยกับกับพวกเรา
「เอะ แต่ว่าฉันต้องเตรียมตัวสำหรับงาน……」
ไม่เหมือนมาร์เธอเป็นคนที่จริงจัง บางทีเธอคงจะสับสนระหว่างช่วยงานที่บ้านหรือออกไปเที่ยวเล่น เธอพูดด้วยเสียงอันค่อย
「น่าสำหรับพวกเราสองคนก็พอแล้วละจ้ะ ดังนั้นเพื่อนอุตสาห์ชวนทั้งทีก็ไปด้วยกันเถอะนะ」
「……คะ ค่า!」
ฮันนะบอกอิน่าเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนอิน่าจะยอมแพ้
「เพราะฉะนั้นแล้วฉันจะคอยไปจับตาดูพี่ชายว่าทำอะไรแปลกๆรึเปล่า! ดังนั้นขอฉันไปด้วยนะคะ」
「อือ ฝากตัวด้วยนะ」「ฝากตัวด้วยนะคะ」「อืม ฝากตัวด้วยนะ」「แล้วทำไมต้องมาเฝ้าจับตาดูข้าด้วยเนี่ย……」「โอเคคค………ฝากตัวด้วยอิน่าจัง」
◇◆◇
พวกเราหกคนเดินเคียงข้างกันไปในย่านการค้า การปรากฏตัวของเหล่าสาวสวยทั้งสี่ที่เดินด้วยกันนั้นทำให้เป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้าง
ปฏิกิริยาของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป
ไอริสนั้นไม่แคร์สายตาคนอื่นและยังทำท่าทีอันสง่างามตามเดิม
บางทีเพราะโดนจ้องมองอยู่ตลอดทิม่าเลยหน้าแดงอยู่ตลอดเวลาเลย
โซเมียจังเองก็ยิ้มแย้มตอบรับคนที่มาจ้องมองของคนรอบข้าง เธอรู้สึกสนุกที่ได้ออกมาเที่ยวกับทุกคน
อิน่าเองก็ท่าทางเป็นปกติเหมือนกับโซเมียจัง
มาร์เองก็จ้องเขม็งมองฝ่ายตรงข้าม
「ฮะฮะฮะ……จะว่าไป…ก็มืดแล้วนะ……」
รอยยิ้มของคนที่ผ่านไปมายิ้มแบบขมขื่นเพราะท่าทีของมาร์
ย่านการค้าที่ส่องสว่างและมีสินค้าหลากหลาย งานฝีมือและเครื่องปั้นมากมาย เครื่องชงชาและเสื้อผ้าของทางฝั่งตะวันออกเองก็มี มีเครื่องเทศที่บรรจุอยู่ในขวดและผลไม้อบแห้งจากภาคใต้
นอกจากนี้ย่านการค้าค่อนข้างคึกคัก พ่อค้าหลายคนต่างพยายามขายสินค้ากันอย่างแข็งขัน ภายในย่านการค้าดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ไอริสและเพื่อนๆต่างเดินชมแผงลอยและร้านค้าต่างๆ เปรียบเสมือนดอกไม้บานที่มีผึ้งมาตรอมตรม ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าตัวเองจะได้มาเดินเที่ยวเล่นกับสาวสวยอย่างเธอเช่นนี้
เท่าที่จำได้ตั้งแต่มาเมืองนี้ก็ไม่เคยเดินเที่ยวเล่นเลยสักครั้ง เอาแต่ฝึกหนักมาตลอดตั้งแต่โดนลิซ่าทิ้ง
ตัวผมเองก็อยู่ที่นี่มานานกว่า 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่รู้…ไม่สิผมไม่ได้พยายามจะเรียนรู้มันเลย………。
เมื่อเดินไปได้สักพักก็โดนไอริสลากมาที่ตรอกทางด้านหลัง
「อะไรกันเนี่ย「ชู่วววว」」
ทันใดนั้นผมเองก็รีบปิดปากทันที เธอทำท่าทางชูนิ้วชี้ไปอีกทางด้านหนึ่งของถนนเมื่อมองไปทางนั้นก็พบอิน่าและโซเมียจังอยู่ที่นั่น
เห็นได้ชัดว่าอิน่าจังก็ถูกลากเข้ามาเอี่ยวโดยไม่รู้เรื่อง
「…………เอ่อ คิดจะทำอะไรยังงั้นเหรอ?」
ดังนั้นผมเลยถามไอริสออกไปด้วยการกระซิบ
「นี่ คุณไม่อยากให้ทิม่ากับมาร์ได้อยู่กันตามลำพังเหรอคะ」
「เอ๋ ทำไมต้องทำแบบนั้นละครับ?」
「ทิม่าไม่ค่อยถูกกับผู้ชายตัวฉันเองก็อยากให้เธอชินกับการอยู่กับผู้ชายค่ะ นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่กับมาร์แล้วไม่เป็นไรด้วยและเธอคิดว่ามาร์ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ…………ทิม่าอยากจะขอบคุณมาร์เป็นการส่วนตัว แม้เธอจะอายแต่เธอก็อยากจะบอกด้วยตัวของเธอเองค่ะ」
ดูเหมือนว่าโซเมียจะเป็นตัวต้นคิดสินะ ดูจากท่าทางก็รู้แล้วเธอมองมาทางนี้พร้อมกับโบกมือและยิ้มให้
「……เข้าใจแล้วครับ แล้วจะเอายังไงกันต่อดี?」
ก็คิดว่าคงปล่อยมาร์ไว้กับคนอื่นไม่ได้ด้วยละนะ แต่อย่างน้อยก็หวังว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสองหรอกนะ ทันใดนั้นเองไอริสก็พูดอะไรบางอย่างที่ผมคิดเช่นนั้น
「ถ้างั้นไปเดทด้วยกันสองคนกันเถอะคะ」
「……………หาา?」