ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 1 ออโรร่าน้อยกับการเกิดใหม่

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

          “งานงอกๆๆๆๆ”

          ในตอนนี้ตัวผมกำลังรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบจากสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีมาก่อน…..วงเวทวาร์ป

          ถูกต้อง วงเวทวาร์ป ตอนนี้ไอ้ของที่ว่านั่น ไอ้วงกลมสีม่วงๆมีแสงประหลาดกำลังวิ่งตามผมมาแบบไม่ลดละ ส่วนผมก็รีบวิ่งกระโดดหลบมันจากทุกทิศทุกทาง

          “นี่ๆ เจ้าหนูอย่าหนีเลยนา เสียเวลานิดเดียวนายก็จะได้พลังอันยิ่งใหญ่แล้วนะ”

          “ไม่สนนนน ตอนนี้ผมรีบบบบบบ”

          สาเหตุเดียวที่ผมจะต้องรีบวิ่งโดยไม่สนว่าจะมีคนแปลกๆมาเสกวงเวทต่อหน้าผมแล้วบอกว่าจะพาผมไปต่างมิติ นั่นคือตอนนี้เวลาผมเหลือน้อยเต็มที

          เวลาที่เหลืออย่างน้อยนิดที่จะตัดสินชะตากรรมชีวิตของผมมันจะดับวูบทันทีถ้าเกิดผมถูกไอ้วงเวทประหลาดนั่นพาไปที่แปลกๆ

          ใช่ เวลาของการส่งรายงาน!

          กว่าหนึ่งเดือนที่ผมดองงาน กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ผมลอกรายงาน ผมจะทำให้เวลาทั้งหมดที่พยายามอย่างหนักนั้นสูญเสียไปไม่ได้เด็ดขาด!

          เพราะหากผมส่งช้าล่ะก็ ท่านอาจจารย์ผู้น่ากลัวยิ่งกว่าความตายจะได้เข้าทรงพิโรจน์มาปาดคอผมดับคาที่ตั้งแต่หน้าห้องพักครูเป็นแน่แท้

          ดังนั้นแล้วผมจะ…..

          “อ๊ะ….”

          “อ๊ะ เจ้าหนูระวัง”

          อีกเพียงแค่ก้าวเดียว อีกเพียงแค่ก้าวเดียวที่เผมจะคลื่นไปถึงชั้นที่ห้องพักครูตั้งอยู่ ไม่รู้ว่าดวงซวยอะไรถึงทำให้เท้าของผมดันก้าวพลาดลื่นลงไป

          นี่ผมจะต้องมาจบชีวิตอนาถแบบนี้เนี่ยนะ!

          และจากนั้น ภาพทุกภาพกับดับวูบลงพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่วิ่งผ่านเข้ามาทั่วร่างกายภายในชั่วเสี้ยววินาที

          อึก

          สติของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่หายไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น เรี่ยวแรงเองก็เช่นกัน ตอนนี้ผมเริ่มสามารถขยับแขนขาของตัวเองได้อย่างเต็มที่แล้ว

          “ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหน”

          เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ารอบตัวของตัวเองนั้นเป็นสีขาวสว่างเช่นเดียวกับพื้นห้อง ภายในไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงนุ่มๆที่ผมนอนอยู่แล้วก็เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆซึ่งขณะนี้มีเจ้าของกำลังนั่งอยู่

          “ให้ตายสิ”

          ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้ถอนหายใจออกมาอย่างละเหี่ยใจ เขาเป็นชายหน้าตาดีจนหาใครเทียบได้ ใบหน้าคมเข้มประกอบกับผมสีดำยาวที่จัดทรงปัดไปทางด้านขวาอย่างดูดี แต่ว่าน่าเศร้าที่ตอนนี้ดวงตาสีม่วงสวยกำลังทอแววเบื่อโลกออกมา

          “ไอ้ตัวข้าก็เชิญเจ้ามาดีๆแล้วไหงดันหนีด้วยเล่า หนีไม่พอแถมดันมาตายอีก”

          “ก็ผมรีบนี่นา ณ เวลาไฟล้นก้นจะอะไรมันก็ไม่คิดทั้งนั้นแหละ!”

          ยิ่งตอบยิ่งทำเอาชายแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้ากุมขมับหนักกว่าเดิม ทำเอาใบหน้าหล่อๆของเขาเสียเสน่ห์ไปเลยทีเดียว

          “ให้ตายสิ เจ้าเนี่ยน่า ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากขึ้นแบบนี้ด้วยนะ”

          ชายแปลกหน้าเริ่มพูดบ่นกับตัวเองไม่หยุด เขาพูดไปพลางส่ายหัวของตัวเองไปมา ส่วนผมที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่จึงได้แต่นั่งเงียบรอฟังอะไรเพิ่มเติม

          ว่าแต่จากที่ฟังที่ชายแปลกหน้าคนที่พูดแล้ว เหมือนคล้ายๆผมจะได้ยินคำว่าอะไรประมาณ ตายๆ…..

          เอ่อ ถ้าลองมองจากสถานการณ์ลื่นตกบันไดก่อนหน้านี้กับคำพูดของหมอนี่เมื่อกี้นี้ก็สรุปผลได้ว่า…..

          “ใช่ ตัวเจ้าน่ะตายแล้ว”

          ….

          งานงอก! นี่ผมตามแล้วงั้นเรอะ ตายทั้งๆแบบนี้เนี่ยนะ! แล้วยังตายโง่ๆแบบลืนบันไดหัวฟาดพื้นตายระหว่างส่งรายงานด้วยเนี่ยนะ อนาถมาก!

          “นี่เรื่องจริงใช่ไหม เอ่อคุณ….”

          ผมถามด้วยเสียงสั่นๆเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีสภาพแบบไหน ส่วนคงตรงหน้าที่ได้ยินผมถามก็เพียงแค่ตบบ่าผมเบาๆก่อนจะพยักหน้า

          “เจ้าถามข้าสองคำถาม ข้าก็จะตอบตามจริง ข้อแรก เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ตัวเจ้านั้นตายแล้ว ส่วนข้อที่สอง…..ตัวข้าคือพระเจ้าแต่เป็นพระเจ้าใน…”

          “ว้ากกกกกกก”

          ไม่สนว่าชายตรงหน้ามันจะพูดอะไรต่อ หลังจากที่ได้ยินคำยืนยันว่าผมได้ตายไปแล้วอย่างแท้จริง สติทุกอย่างของผมก็ขาดสะบั้นไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวของไรเหา

          “ว้ากกกก ตายเรอะ ทำมายยยยย ทำมายผมถึงตายยยยย ผมยังเรียนไม่จบเลยนะ ไหนจะรายงานทุ่ตสาห์ปั่นข้ามวันข้ามคืนนั่นอีก งี้ก็เสียแรงเปล่าเด้ แล้วไหนจะๆ”

          “ใจเย็นๆก่อนเจ้าน่ะ คือข้า….”

          ไม่สนแม้แต่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรมา ตอนนี้ผมทำการจับบ่าของเขาแล้วเขย่าไปมาสุดแรงเกิด พร้อมมองด้วยสายตาราวกับลูกหมาสุดน่าสงสาร

          “นี่ท่านน่ะ เหมือนคล้ายว่าจะบอกว่าเป็นพระเจ้าสินะ ช่วยด้วย ช่วยผมด้วยยย ผมยังไม่อยากตายยยย”

          “นั่นมันเกินกว่าที่ข้า…”

          “ฮืออออ ขอร้องงงง สงสารเด็กตา…”

          “เงียบบบบบ”

          สิ้นคำของเขา ปากของผมที่ร้องโวกเวกโวยวายอยู่ก็เหมือนราวกับมีอะไรไม่รู้ที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาอุดปากจนทำให้ไม่สามารถพูดหรือส่งเสียงอะไรได้อีก แม้จะอยากแค่ไหนก็ตาม

          “พอได้รึยัง ทำตัวเงียบๆแล้วก็ตั้งใจฟังที่ข้าพูดซะนะ”

          ผมพยักหน้ารัวๆทันทีเมื่อได้รับสายอันแสนจะอำมหิตที่ส่งตรงมาจากแววตาสีม่วงสวยตรงหน้า

          “ตัวเจ้าน่ะตายไปแล้ว ถึงจะน่าเศร้าแต่น่าเสียดายจริงๆที่นี่มันเป็นมิติของคนอื่น ซึ่งข้าไม่มีอำนาจพอที่จะคืนชีพให้เจ้า”

          ว่าไงนะ!

          “ใจเย็นอย่าเพิ่งโวยวายไป….”

          “ม่ายยยยยยยย ไหนบอกเป็นพระเจ้าไงเล่า แล้วไหงชุบชีวิตผมคุณถึงทำไม่ได้ ไอ้เจ้าพระเจ้าขี้โม้ ไอ้พระเจ้าจีนแดง นี่ถ้าคุณไม่เอาวงกลมโง่ๆมาไล่จี้ตูดผมล่ะก็ผมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้หรอกนะ ไอ้พระเจ้าจีนแดงซังกะบ๊วย”

          ปื๊ดดดด

          ระหว่างที่ผมบ่นไปมา ไม่รู้ว่าทำไมคล้ายจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึ่ง พร้อมกันนั้นสันหลังของผมก็หนาววาบขึ้นมาทันที

          “หึ พระเจ้าจีนแดงงั้นเรอะ ได้ อยากรู้ใช่ไหมว่าพระเจ้าที่แท้จริงเขาทำกันยังงไง”

          รอยยิ้มแสนอ่อนโยนสุดหล่อของพระเจ้าได้จางหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยรอยแสยะยิ้มดุจราวตัวโกงที่หลุดออกมาจากหนังละครหลังข่าวก็ไม่ปาน

          เหมือนการสติแตกครั้งเมื่อกี้จะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ตอนนี้พระเจ้าที่หน้าเปลี่ยนกลายมาเป็นซาตานนั้นได้ยกมือขึ้นมา มือของเขาเริ่มจะทอแสงมากขึ้นเรื่อยๆ

          “ตอนแรกว่าจะส่งนายไปที่มิติของหมอนั่นเพื่อเล่นเกมแล้วคืนชีวิตอะไรสักนิดหน่อย แต่ว่าเปลี่ยนใจแล้ว คงต้องให้มาเรียนรู้บทลงโทษสำหรับคนที่กล้ามาหือกับพระเจ้าซะหน่อยแล้วล่ะ”

          “เอ่อ คุณพระเจ้าครับ บางทีผมอาจจะเผลอพูดอะไรผิดไป ต้องกราบขอประทานอภัยจริง….”

          “ช้าไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่านายจะก้มกราบเท้าหรือขอร้องให้ตายยังไงฉันก็จะไม่เปลี่ยนแผนแน่นอน”

          ว่าแล้วพระเจ้าก็ใช้มือที่เรืองแสงของเขาจับเข้าที่หัวของผมก่อนที่จะแสยะยิ้มกว้างกว่าเดิมจนเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นปีศาสแล้วจริงๆ

          “ในเมื่อจะไม่เคารพกันแบบนี้แล้วสงสัยต้องสั่งสอนด้วยการให้นายเรียนรู้ถึงความเมตตาอันสุดยอดของฉันซะหน่อยแล้ว”

          คืนภาพพระเจ้าสุดหล่อหน้านิ่งเมื่อกี้มาทีเถอะ!

          “อย่างแรกเลยฉันขอสาปให้แกมาเกิดใหม่ในมิติของฉันด้วยสภาพสาวน้อยน่ารักซะเลย!”

          “ว่าไงนะ อย่านะขอร้อง จะอะไรก็ได้แต่ไม่เอาเปลี่ยนเพศ!!!! ตูยังอยากเป็นผู้ชายทั้งแท่งงงงงงง”

          ไม่นะ พระเจ้า….ไม่สิ จะผีปีศาจ ซาตานตนไหนก็ได้ มาช่วยผมที จะเกิดใหม่จะตายไปหรือจจะอะไรก็ช่าง ผมยังอยากเป็นผู้ชายยยยย

          “อา ใช่ๆยังมีอีกนี่นะ สำหรับเด็กปากเสียอย่างนายที่พูดไม่ดีกับฉันเอาไว้ ฉันคงต้องสาปให้ทุกคำพูดที่ไม่ดีๆของนายกลายเป็นคำพูดสรรเสริญฉันแทนแล้วล่ะมั้ง”

          ว่าไงนะ นี่มันนรกชัดๆเลยนะกับการที่ทุกคำพูดที่อยากจะต่อว่าเจ้าพระเจ้าบ้านี่แล้วมันต้องกลายมาเป็นคำชื่นชมสรรเสริญน่ะ

          “หนอยเจ้าพระเจ้าบ้านี่แก…….ปัญญาของพระองค์ช่างสูงส่งยิ่งนัก จนตัวข้านั้นมิอาจเทียบเทียม”

          ม่ายยยย นี่มันแย่ชัดๆ จากคำพูดที่จะด่าเจ้าพระเจ้านี่มันปัญญาอ่อน กลับกลายเป็นคำชื่นชมมันซะงั้น

          “อืม ดูแล้วท่าทางคำสาป….ไม่สิ พรของฉันจะได้ผลแล้วสินะ ฟังรื่นหูขึ้นเยอะเลย”

          พรบ้าพรบออะไรของแกฟะ นี่น่ะมันคำสาปเห็นๆเลยนะ ถ้าเกิดตอนนี้ผมขยับได้ล่ะก็ ผมชกหน้าเจ้าพระเจ้านี่แน่!

          “พรของพระองค์ช่างประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกหล้า ตัวข้านั้นช่างทราบซึ่งในพระเมตตาของพระองค์อย่างหาสิ่งใดเปรียบมิได้”

          “เอาล่ะๆ ทุกอย่างก็ดูน่าจะพร้อมดีแล้ว ส่งเจ้าไปเกิดเลยก็ดีกว่า”

          เฮ้ยใจเย็นก่อนน ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อนิคุณพระเจ้า จะส่งกันลงไปทั้งทีก็ช่วยอธิบายไม่ก็ให้พลังอะไรกับผมไว้เอาตัวรอดในโลกอะไรก็ไม่รู้หน่อยสิ

          “ด้วยพระเมตตาของพระองค์ อันตัวข้าผู้ต่ำต้อยอยากขอทราบถึงความเป็นไปในโลกเบื้องล่าง และขอให้พระองค์มอบประทานพรแก่ข้าเพื่อให้อยู่รอดในโลกอันแสนโหดร้ายเบื้องล่างด้วยเถิด”

          “นั่นล่ะเจ้าหนู จะขออะไรกับใครทั้งทีก็ต้องพูดแบบนั้น ดีมากๆ ดีมากเลยตัวฉัน”

          ดูเหมือนจะเป็นคำชมเรา แต่สุดท้าย เจ้าพระเจ้านี่มันก็ชมตัวเองที่ยัดคำสาปแปลกๆนี่มาใส่ผมชัดๆเลยนี่หว่า

          “แต่ก็นะ ไหนๆฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของการตายของเจ้า ถึงเจ้าจะกวนบาทาไปบ้างแต่อย่างน้อยตัวข้าก็เป็นพระเจ้าที่มีความรับผิดชอบพอดังนั้นแล้วจะให้พรไปสักหลายๆข้อก็ได้”

          “แล้วมันคืออะไรเหรอพรที่ท่านจะให้”

          “อืม…ตอนนี้ยังคิดไม่ออก เดี๋ยวลงไปค่อยคิดแล้วกัน”

          อ้าว เฮ้ยยยยยยยยยยยย

          ตึกๆๆๆ

          ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อสติของผมก็ดับวูบไปก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั้นได้มาอยุ๋ในที่มืดๆทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่นซะแล้ว ซึ่งนั่นตัวผมก็ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานสักเท่าไหร่แล้วเหมือนกันเพราะที่รู้สึกก็มีแต่ว่าตัวเองลอยเคว้งคว้างไปมา

          “อืม น่าจะได้เวลาแล้วสินะ”

          เสียงนี่มัน…พระเจ้านี่หว่า นี่คุณพระเจ้าผมถามหน่อยว่าเรื่องมันเป็นอะไรมายังไงกันแน่

          “อืม ตอนนี้เจ้าก็อยู่ในท้องแม่ไง พอดีกลัวจะเบื่อที่ต้องอยู่มืดๆไปเกือบปีเลยให้สติเพิ่งกลับคืนตอนใกล้เกิดเนี่ยล่ะ”

          เรื่องนั้นผมควรขอบคุณไหมเนี่ย

          “ก็แล้วแต่ แต่เอาเถอะอีกไม่นานเจ้าก็ใกล้เกิดแล้วล่ะ”

          ว่าเสร็จผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกดอะไรบางอย่างที่บริเวณศีรษะก่อนที่จะรูดไถไปตามลำตัว พร้อมๆกันนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกๆที่ตัวเองไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หากลองเดาดูแล้ว เสียงนั้นก็น่าจะเป็นเสียงของผู้คนที่กำลังดีใจกัน

          ผมเองก็อยากเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นดีใจกันเพราะการเกิดมาของผมหรือเปล่าแต่ประเด็นหลักที่ผมยังไม่รู้ก็คือ……ผมมองไม่เห็น!

          เฮ้ย ปกติแล้วตามนิยายพวกเกิดใหม่มันต้องมองเห็นหลังเกิดเลยไม่ใช่เหรอ แล้วไหงตอนนี้ภาพมันมืดตื๋อแบบนี้ล่ะ

          “ก็แหม นิยายก็คือนิยาย ตามหลักแล้วเด็กแรกเกิดระบบประสาทมันยังพัฒนาไม่ดีพอที่จะมองเห็นนี่หว่า นายก็ต้องให้เวลามันหน่อยสิ นี่ฉันเร่งเวลาการพัฒนาให้นายดีกว่าเด็กทั่วไปเยอะแล้วนะ”

          และแล้วผมก็ต้องนั่งๆนอนๆอยู่ในสภาพของเด็กน้อยที่ไม่เห็นอะไรไปอยู่หลายต่อหลายวัน แถมก็ได้แต่ส่งเสียงร้องไห้อ้อแอ้เพราะการพูดอะไรยังไม่พัฒนาต้องรอเวลาตามที่พระเจ้าบอก

          ในแต่ล่ะวันผมรู้สึกได้ถึงเสียงของหญิงสาวบางคนที่พูดอะไรบางอย่างกับผมอยู่ น้ำเสียงที่พูดออกมานั้น ถึงผมจะฟังไม่ออกว่าเธอพูดอะไรแต่ว่าเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นซึ่งที่จริงนอกจากเสียงของหล่อนแล้วก็ยังมีเสียงของคนอื่นๆอีกมากมายพูดตามมา

          ในบางเวลาผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีน้ำอุ่นๆรสชาติแปลกๆไหลเข้าปาก หากให้เดาจากสภาพปัจจุบันของผมแล้ว มันก็คงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกน้ำนมซึ่งเวลาหิวแล้วผมร้องออกไป ในไม่นานก็จะมีน้ำนมมาเข้าปาก…..ให้ตายสินี่เราก็เป็นเด็กเอาแต่ใจพอตัววุ้ย เกรงใจคุณแม่จัง

          “ไง เริ่มชินสภาพทารกหรือยัง”

          ยังเลยคุณพระเจ้า มันจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ว่าแต่ที่สำคัญ เมื่อไหร่ผมจะเริ่มมองเห็นเนี่ย

          “ก็ใกล้ได้เวลาแล้วล่ะ นี่ก็กะให้เห็นแบบชัดเจนตั้งแต่เริ่มๆเลย ดังนั้นคงต้องเก็บพลังแล้วส่งออกมาเพื่อพัฒนาการอย่างรวดเร็วเลยก็แล้วกัน”

          พระเจ้าพูดอะไรบางอย่างที่ผมออกจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขาเท่าไหร่ แต่หากให้สรุปก็คือผมยังคงต้องรอคอยต่อไป

          ผ่านไปอีกไม่กี่วันผมก็รู้สึกแปลกๆ รอบๆตัวมีเสียงวุ่นวายกับเสียงกรีดร้องของใครบางคนดังขึ้นมา จากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงตัวของผมที่ถูกยกแล้วขยับไปมาราวกับว่าตัวผมตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนรถที่วิ่งบนทางซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อก็ไม่ปาน

          ผ่านไปนานสองนานในที่สุดหลายๆอย่างก็สิ้นสุดลง ตัวผมนั้นได้ถูกวางลงในที่สุด ทว่าในขณะเดียวกันก็แอบได้ยินเสียงวุ่นวายอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาสงบอีกครั้ง

          “เอาล่ะมีข่าวดีมาบอก ในที่สุดพลังที่สะสมสำหรับเร่งพัฒนาการของนายก็เรียบร้อยแล้ว จะเอาเลยมะ”

          แน่นอนสิ ผมล่ะอยากเห็นแสงเดือนแสงตะวันอยู่เต็มทนแล้ว

          “งั้นจัดไปเลย”

          สิ้นคำของพระเจ้า ผมก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเข้ามาทั่วร่างกายของผม จากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของร่างกาย

          ภาพมืดบอดที่เห็นมาตลอดหลายต่อหลายวันเริ่มที่จะสลายหายไปคล้ายกลุ่มควัน ก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยแสงของพระจันทร์ซึ่งส่องลงมา

          แย่จริงแท้ นึกว่าจะได้แห่งแสงอาทิตย์ตอนลืมตาครั้งแรกแท้ๆ น่าเสียดายจริงๆ

          “ไง เริ่มเห็นยัง ถ้ายังเดี๋ยวช่วยเร่งแสงให้”

          ยังไม่ทันได้คอ จู่ๆแสงจันทร์มันก็เปลี่ยนเป็นแสงอาทิตย์ซะงั้น นี่ไม่ต้องสืบเลยว่าเป็ฯฝีมือของใคร

          “เห็นบอกแสงจันทร์ไม่พอใจเลยเปลี่ยนเป็นแสงอาทิตย์ให้ พอยัง ถ้าไม่พอเดี๋ยวปรับวแสงให้มันแรงกว่าเดิม เอ้ารับนะ”

          ไม่ทันที่ผมจะได้เถียงอะไร พระอาทิตย์ซึ่งมันส่องไปทางอื่นของมันอยู่ดีๆก็ดันบ้าจี้เคลื่อนตัวเปลี่ยนทิศทางให้เข้ามาส่องอัดหน้าผมจังๆ

          แสบตา!

          “ถือเป็นการทดสอบไงว่านายเห็นชัดหรือยัง”

          แต่นี่มันชัดไปแล้ว! แสงแรงแบบนี้ตาอันแสนบอบบางของเด็กน้อยของผมคนนี้มันจะบอดเอาน่ะสิ!

          “เด็กคนนี้คือ….”

          จู่ๆระหว่างที่ผมกำลังเถียงกับพระเจ้า เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง โดยตัวเขานั้นได้เดินเข้ามาหาผมก่อนจะช้อนตัวผมขึ้น

          ผมเงยหน้าของตัวเองพยายามมองคนที่มาอุ้มตัวผมเอาไว้

          เขานั้นเป็นผู้ชายผมสีทองยาวผูกไว้เป็นหางม้าสั้นๆ ดูจากหน้าแล้วอายุก็น่าจะสักยี่สิบต้นๆ หากไม่บอกว่านี่เป็นยุคสมัยเก่ากว่ายุคที่ผมอยู่ล่ะก็ ผมคงบอกว่าเจ้าหมอนี่ต้องเป็นนายแบบชื่อดังแน่นอน

          อา นี่สรุปตาของผมเห็นได้อย่างเต็มที่แล้วสินะ ช่างน่าดีใจๆ น่าดีใจจริงๆ

          เพราะไม่ว่าจะใบหน้าคมมนหล่อหรือดวงตาสีฟ้าคมได้รูปนั่น บอกได้เลยว่าเหมาะกับเขาสุดๆ แต่มีบางอย่างที่แปลกไป นั่นคือดวงตาสีฟ้าคมของเขา ดวงตาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆไหลลงมาทีล่ะเล็กล่ะน้อย

          “พระองค์….เด็กคนนี้คือสิ่งที่พระองค์ประทานมาให้ข้าใช่หรือไม่….หากเป็นเช่นนั้นข้าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด และนั่นก็เพื่อเธอคนนั้นด้วย”

          ชายคนนั้นหลังพูดจบก็โอบกอดร่างเล็กๆของผม ผมรู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่แม้จะไม่เหมือนตอนที่เกิดมาแต่มันก็เป็นไออุ่นของความรักแบบที่พ่อแม่คิดจะมอบให้ลูกเช่นกัน

          ตัวข้านั้นได้พยายามอย่างหนัก พยายามอย่างมากเพื่อที่จะให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา……

          ชีวิตแล้วชีวิตเล่า ทั้งที่ข้าได้ช่วยไว้และได้พรากมันไป ทั้งหมดก็เพื่อความปราถนาที่ดูช่างเรือนรางจนราวกับกลุ่มหมอกในยามเช้าที่พร้อมสลายหายไปได้ทุกเมื่อ

          และในวันที่ทุกอย่างสำเร็จ ภารกิจที่ดูไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์นั้นได้ถูกบรรลุอย่างที่ไม่มีใครได้คาดฝัน

          วันที่ทุกอย่างซึ่งข้าได้ปรารถนาไว้จะเป็นจริง กลับเป็นวันที่ข้าได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าไป และเพราะเรื่องนั้น มันทำให้ราวกับชีวิตของข้า แสงสว่างแห่งความหวังของข้าได้มอดดับลง

          ข้าเดินทางมาไกลเพียงพอที่จะหลบหนีอดีตที่ไม่อยากจะจำ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าโบสถ์แห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน แต่สิ่งที่ข้าได้เห็นก็คือกลุ่มโจรที่กำลังพักผ่อน ในมือของพวกมันมีอาวุธที่เปื้อนไปด้วยเลือด ข้างกายของพวกมันมีร่างกายของเหล่าผู้เคราะห์ร้ายนอนเรียงราย

          สภาพของมันดูเหนื่อยอ่อน บ่งบอกได้ถึงศึกหนักที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน และตัวข้าที่เห็นแบบนั้น แม้จะเป็นช่วงที่แสงแห่งความหวังมอดดับลงก็ไม่อาจปล่อยคนชั่วให้ผ่านไปได้

          เพียงพริบตาที่ข้าเดินเข้าหา เหล่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของพวกมันก็สิ้นลง เพียงแค่ดาบเดียวที่ตวัด หนึ่งชีวิตก็สิ้นไป

          หลังจัดการพวกมันทุกคน ข้าก็จัดการฝังศพเหล่าผู้เคราะห์ร้ายเพื่อให้พวกเขาได้หลับอย่างสงบ

          “ด้วยความเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนหลับอย่างเป็นสุขด้วยเถิด”

          จากนั้นข้าก็ได้เดินเข้าไปในโบสถ์เพื่อพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางต่อ ในขณะเดียวกันข้าก็เหลือบไปเห็นจี้ห้อยคอที่เธอคนนั้นให้มา ทำให้ข้านึกถึงอดีตบางอย่างขึ้นมา อดีตนั้นทำให้ข้าเผลอหยิบจี้ขึ้นมาอธิษฐาน

          พระองค์แล้วก็……หากสิ่งที่ข้าทำไปนั้นไม่สูญเปล่า ตัวข้าอยากจะขอโอกาส โอกาสที่จะได้จุดแสงแห่งความหวังที่มืดบอดนี่ให้มันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

          ข้าก็แอบขำตัวเองที่ดันเผลอไปทำอะไรกับเรื่องตลกๆที่ถูกเล่ามาซะได้ แต่แล้วมันก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น ทั้งๆที่เป็นเวลากลางคืนแท้ๆแต่ดวงตะวันกลับขึ้นมาเฉิดฉายจนข้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแปลกใจ

          และท่ามกลางความแปลกใจที่เกิดขึ้น สิ่งที่ชวนให้ประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นทันทีในช่วงเวลาเดียวกัน

          พระอาทิตย์ซึ่งไม่ควรขึ้นกลับขึ้น และการเคลื่อนที่ของมันที่ควรเป็นไปอย่างช้าๆกลับเลื่อนอยู่รวดเร็วจนแสงที่ส่องผ่านจากกระจกของโบสถ์ได้รวมกันเป็นเส้นทางเดียวแล้วชี้ไปที่แท่นบูชาของโบสถ์ซึ่งมีสิ่งหนึ่ง…ไม่สิ มีร่างๆหนึ่งนอนอยู่

          มันคือร่างของเด็กตัวน้อยที่กำลังร้องไห้ ไม่สิ หากจะเรียกต้องบอกว่าเด็กตัวน้อยที่กำลังขานรับต่อแสงอาทิตย์แห่งปาฏิหาริย์

          หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่นานพูดถึงกัน?

          ตัวข้ารีบวิ่งเข้าไปหาแท่นบูชาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะค่อยๆประคองร่างเล็กๆนั่นขึ้นมา ร่างนั่นตอบสนองต่อตัวข้าที่อุ้มขึ้นมาด้วยการดิ้นไปมา ดังนั้นข้าจึงค่อยๆช้อนร่างนั่นด้วยความนุ่มนวลมากขึ้น

          “เด็กคนนี้คือ….”

          ข้ายกเด็กคนนี้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับอกก่อนจะก้มหน้ามอง ใบหน้าเล็กๆที่ตอนนี้กำลังจ้องมาที่ข้าอย่างสงสัย ดวงตาสีฟ้าสวยงามดุจท้งทะเลของเด็กน้อยคนนี้มันทำให้ข้ารู้สึกแปลกประหลาด ใช่ มันทำให้ข้ารู้สึกถึงอดีตบางอย่างที่ข้าอยากจะลืมแต่สุดท้ายแล้วก็คงลืมไม่ได้….

          ไม่ผิดแน่ จะทั้งปาฏิหาริย์เมื่อครู่หรือคำขอที่ข้าได้ขอไว้กับหินนั่น…. เด็กคนนี้ เด็กคนนี้จะต้องเป็นของขวัญจากพระเจ้า…ของขวัญจากอัญมณีแห่งพระเจ้าที่นางได้มอบเอาไว้ให้กับข้า เป็นพรที่นางและพระองค์ให้ไว้กับข้าอย่างแน่นอน

          “พระองค์….เด็กคนนี้คือสิ่งที่พระองค์ประทานมาให้ข้าใช่หรือไม่….หากเป็นเช่นนั้นข้าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด และนั่นก็เพื่อเธอคนนั้นด้วย”

          ในพริบตาที่ข้าได้มองเห็นดวงตาสีฟ้าที่เผยยิ้มตอบรับตัวข้า มันก็ราวกับจิตใจที่ไร้ซึ่งแสงสว่างกลับถูกแทนที่ด้วยดวงตะวันที่จะไม่มีวันดับอีกเป็นครั้งที่สอง

          ความอบอุ่นของร่างเล็กๆได้แผ่เข้ามาหาตัวข้าราวกับเปลวไฟอันแสนอ่อนโยนที่ได้จุดขึ้นเพื่อละลายความเหน็ดหนาวแห่งจิตใจของข้าไปใยที่สุด

          และตอนนั้นเองที่ข้าได้สาบานกับตัวเองไว้ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะดูแลและปกป้องเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด

          ——————————————————————————————————

จบไปแล้วตอนแรกกับเรื่องเมาๆนะครับ โดยเรื่องนีก็ขอแนะนำท่านผู้อ่านเลยครับว่าเสพกาวก่อนแล้วค่อยอ่าน พร้อมกันก็โยนตรรกะออกไปให้หมดแล้วรอรับชมความผีบ้าของตัวละครให้เต็มที่เลย

          ปล.เรื่องนี้แต่งเอาสนุกๆนะครับ พักเบรกจากเทพแสงสักครู่ระหว่างเก็บข้อมูลกับรีไรทตอนเก่า 555+

         

         

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท