นี่ก็กว่าห้าปีแล้วที่ผมได้รับออโรร่ามาเลี้ยงดู ถ้าให้พูดก็นับเป็นปาฏิหาริย์ในชีวิตผมเลยก็ได้ที่ผมได้เจอกับเด็กคนนี้
ลูกสาวผมเป็นเด็กที่พิเศษมาก เพราะตลอดการเลี้ยงดูเธอมา ผมแทบไม่มีอะไรให้ลำบากในการเลี้ยงเหมือนกับเด็กๆทั่วไปเลย ไม่ว่าจะการขับถ่ายหรือการกิน เธอสามารถดูแลตัวเองได้หมด ตอนการคืนก็ไม่มีร้องให้ผมต้องตื่นขึ้นมากลางดึกจนผมเองยังสงสัยเลยว่าลูกผมนั้นปกติหรือเปล่า
ตอนแรกก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าลูกผมโดนปีศาจอะไรเล่นงานตอนเกิดหรือโดนเวทมนต์ร่ายใส่เอาไว้หรือเปล่า แต่นั่นคงเป็นความกังวลเกินกว่าเหตุของผมคนเดียว
เพราะวันหนึ่งผมก็ได้บังเอิญไปเห็นเข้า ไปเห็นสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อตอนระหว่างที่ผมจะไปเรียกเธอที่ห้องตอนอายุสามขวบ ผมก็พบกับความประหลาดใจเมื่อผมได้ยินออโรร่าพูดกับใครก็ไม่รู้อยู่ในห้อง
ตอนนั้นทำเอาผมตกใจแทบแย่เพราะปกติเราไม่ค่อยมีเพื่อนบ้านมากนัก ถึงแม้ผมจะเป้นที่นิยมแต่ก็ไม่ค่อยมีใครมีแวะเวียนที่บ้านเท่าไหร่ดังนั้นแล้วสิ่งเดียวที่ผมสรุปได้เลยในตอนนั้นก็คือผมถูกขโมยขึ้นบ้าน
ตอนนั้นผมตกใจแทบแย่จนรวบรวมพลังเวทหมายฟาดโจรที่คิดมายุ่งกับของสำคัญของผมให้ตายในทีเดียว แต่แล้วเมื่อผมค่อยๆย่องเดินเข้าไปผมก็ประหลาดใจเพราะภาพตรงหน้า
สาวน้อยตัวเล็กน่ารักกำลังถูกรายล้อมไปด้วยแสงสว่าง ผมสีขาวที่ยังสั้นทว่ากลับดูอ่อนนุ่มเหมือนดั่งเส้นไหม ส่งให้แสงที่รายล้อมเธอสวยดุจราวกับภูติแห่งแสงตัวน้อยๆกำลังวิ่งละเล่นกับเธอ
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มองแสงพวกนั้นด้วยความเงียบสงบ จากนั้นดวงตาสีฟ้ากลมโตของออโรร่าก็เบิกกว้างก่อนที่เธอจะพูดคำที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเด็กสามขวบออกมา
“ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ตัวข้าน้อยผู้ต่ำต้อยต้องขอขอบคุณในพรที่พระองค์บันดานให้อย่างแท้จริง”
สิ้นคำพูดที่เป็นดุจราวกับคำสวดอ้อนวอนขั้นสูงของเหล่านักบวช แสงสว่างได้สาดส่องจากทางหน้าต่างทุกทางๆเข้าไปรุมล้อมออโรร่าอย่างผิดธรรมชาติ
คำสวดอ้อนวอนอันเต็มไปด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้าได้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีหยุดหย่อน มือบางๆของออโรร่าได้ถูกยกขึ้นมาปิดหน้าราวกับเป็นการประสานมือเพื่อสวดอ้อนวอนกับพระเจ้า
นี่มัน…..
ไม่ผิดแน่ ไม่ว่าจะปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นที่โบสถ์เมื่อสามปีก่อน หรือการถูกรักโดยเหล่าภูติแห่งแสงในครั้งนี้ ไม่ผิดแน่ ออโรร่า….ลูกสาวของผมจะต้องเป็นเด็กที่ถูกเลือกโดยโชคชะตา…จะต้องเป็นเด็กที่เกิดมาเพื่อเป็นนักบุญเป็นแน่
และนี่ทำให้ผมเก็บความดีใจของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ถึงความสามารถของลูกของผมอีกทั้งยังความงดงามของเธอี่จะโตขึ้นได้ในอนาคต อา….ลองคิดดูสิ ออโรร่าของพ่อในคราบนักบุญในชุดรบศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องสง่างามแน่นอ
ทว่าในความดีใจก็มีความกังวลซ่อนอยู่ เพราะนั่นมันทำให้ผมคิดถึงอดีตบางเรื่องที่อยากจะลืมมันไปแล้วอีกเรื่อง…
เรื่องที่สำคัญมาก นั่นคือนักบุญน่ะมันต้องลุยสนามรบเพื่อศาสนจักรแห่งนี้
ถ้าหากพูดถึงสนามรบแล้วมันก็ต้องคิดถึงคมดาบ และแน่นอนว่าในสนามรบก็ไม่แปลกอะไรที่จะต้องได้บาดแผล และนั่นล่ะคือจุดสำคัญ!
บาดแผล บาดแผลบนผิวอันขาวเนียนน่ารักของออโรร่า! ผิวอันขาวเนียนน่ารักสดใสนั่นจะต้องเป็นรอย ออโรร่าที่น่ารักของผมจะต้องมีบาดแผลเป็นที่เป็นเหมือนตราบาปของผู้หญิง! โอย แค่คิดก็จะเป็นลม
แล้วไหนลูกสาวสุดน่ารักจะต้องบุกเข้าไปตามดงฝนธนูหรือดงคมหอก แบบนั้นคงหลีกเลี่ยงที่จะมีเลือดออกไม่ได้แน่นอน และนั่นก็เป็นประเด็นสำคัญ!
เลือด แค่คิดภาพว่ามีไอ้ทหารหน้าโง่คนไหนกล้าบังอาจเอาปลายหอกโง่ๆของมันมาสะกิดบาดแผลให้ลูกสาวของผมเป็นรอยแล้วเส้นเลือดบนหัวของผมมันก็ปูดขึ้นมาจนแทบจะกระโดดเข้าไปฉีกเจ้าทหารในจินตนาการนั้นให้กลายเป็นหมูบะช่อ
เพราะงั้นเพื่อความปลอดภัยของออโรร่าที่น่ารักและอนาคตที่สดใสของเธอ ผมที่เป็นพ่อคนนี้จึงต้องเก็บมันเป็นความลับต่อไป
จากคราวนั้นตลอดสองปีจนออโรร่าอายุได้ห้าขวบ ก็ไม่เกิดเรื่องทำนองนั้นอีกเลย นั่นทำให้ผมเริ่มแอบสบายใจ แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็เดินมาขอผมเพื่อเรียนดาบ
เรียนวิชาดาบ!
เป็นเรื่องที่ปกติเด็กสาวอายุห้าขวบ…ไม่สิ เด็กผู้หญิงทั่วไปไม่มีทางจะขอร้องอย่างแน่นอน นั่นทำให้ผมเริ่มสงสัย สงสัยถึงที่มาของการต้องการเรียนดาบของเธอ
ในช่วงนั้นลูกของผมก็อยู่ในช่วงที่กำลังเริ่มเรียนรู้แบบเด็กคนอื่นๆ…ถึงที่จริงจะเรียนรู้เร็วไปมาก เพราะขณะที่คนอื่นกำลังเรียนเขียนอ่าน เธอกลับมานั่งอ่านตำรายากๆอย่างพวกภูมิศาสตร์และตำนานเทพนิยายขั้นสูงที่ผมมีไว้อ่านติดบ้านฆ่าเวลาหรือศึกษา
ในวันนั้น ผมเห็นลูกสาวของผมกำลังอ่านตำนานที่ว่านั่น เรื่องที่ลูกสาวผมกำลังอ่าน มันคือตำนานของนักบุญหญิงของราสเวนนา เรื่องราวถึงนักบุญหญิงที่จับดาบขึ้นนำทัพเหล่าประชาชนผู้สิ้นหวังสู้กับปีศาจ
หากเป็นเด็กทั่วไปคงไม่สนใจ แต่เด็กคนนี้กลับอ่านมันอย่างตั้งใจตั้งแต่ห้าขวบ ทั้งยังมาขอร้องเราให้สอนดาบให้ด้วยแบบนี้…..หรือว่าพระองค์ต้องการให้นางเป็นนักบุญกันแน่
แต่ถึงแบบนั้นผมก็ปฏิเสธลูกสาวของผมไป เพราะถึงเธอจะเกิดมามีโชคชะตาเช่นนั้นก็ตามแต่ว่ายังไงผมก็เป็นพ่อของเธอ และพ่อทุกคนก็ต้องการให้ลูกตัวเองได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และอีกอย่าง ตอนนี้น่ะไม่มีกองทัพปีศาจอีกต่อไปแล้วดังนั้นหากออโรร่าไปเป็นนักบุญละก็ คงไม่วายโดนลากเข้าไปอยู่ในวงการเมืองแน่ และแบบนั้นชีวิตลูกสาวที่น่ารักของผมก็ต้องโดนไอ้พวกตาเฒ่าทั้งหลายใช้เป็นเครื่องมือ…..
พอพูดถึงตาเฒ่าแก่จิ้งจอกทั้งหลายมันก็หลุดพ้นไปไม่ได้นอกจากเรื่องหื่นกามสนองตันหา! ไม่ จะไม่มีไอ้เลวชั่วคนไหนมาสร้างมลทินให้ลูกสาวตัวเล็กๆของพ่อได้เด็ดขาด
ใช่ เรื่องนั้นคุณพ่อยอมไม่ได้! พ่อไม่มีทางยอมให้ไอ้เปรตที่ไหนมันเอามือสกปรกของมันมาทำให้นางฟ้าตัวน้อยๆของพ่อต้องแปดเปื้อนเด็ดขาด!
เพราะงั้นผมถึงได้ปฏิเสธเธอตลอดมาโดยไม่ว่าดวงตาสีฟ้าใสจะจ้องผมมาอย่างคาดหวังสักกี่ครั้งผมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนใจปฏิเสธเธอไป
อา…ขอโทษด้วยนะลูกรัก นี่พ่อทำเพื่อลูกนะ! นี่พ่อทำเพื่อออโรร่าที่ใสซื่อบริสุทธิ์นะ!
และเพื่อบ่ายเบี่ยงเรื่องการฝึกดาบ ผมก็เลยชักชวนให้ออโรร่าอ่านหนังสือ ถึงแม้มันจะเกินวัยไปบ้างแต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องจับดาบ แต่แล้วลูกสาวก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้ง
ขณะที่เธอกำลังเลือกหนังสือยากๆตามแบบฉบับของเธอ ดวงตาของเธอกลับจดจ้องไปที่หนังสือเกี่ยวกับเทพเจ้าซึ่งปกติแล้วมีแต่พวกนักบวชที่อยากศึกษาเทวตำนานเท่านั้นที่คิดจะอ่านหรือสนใจมัน
ออโรร่าจ้องมันอย่างสนใจ ดวงตาของเธอแทบไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกเลย อีกทั้งเมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าสวยนั่น ภายในมันส่อแววของอารมณ์อันลึกลับซับซ้อนยากที่จะบรรยาย
ไม่ผิดแน่…นี่มันต้องเป็นศรัทธาอันแรงกล้างจริงๆ
คงจะรั้งไม่ให้ฝึกดาบอีกไม่นานสินะ….
แต่ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวว่าผมจ้องเธอนานไปหน่อย ออโรร่าเป็นเด็กสาวที่ฉลาดดังนั้นเธอย่อมรู้สึกถึงความผิดปกติแน่นอน ดังนั้นออโรร่าจึงได้ละสายตาจากเจ้าหนังสือนั่นก่อนจะกลับมาเป็นเด็กน้อยสดใสร่าเริงอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างเดินทางกลับบ้านจู่ๆลูกสาวผมก็อาการแปลกไป พร้อมกันนั้นผมก็รู้สึกได้ รู้สึกได้ถึงพลังเวทที่เพิ่มมากขึ้นของเธอ มากจนผมที่มั่นใจในพลังเวทของตัวเองยังต้องหวั่นใจ และความหวั่นใจนั้นมันก็มากขึ้นเมื่อพลังที่มากขึ้นนั้นไม่ใช่พลังอื่นใดนอกจากพลังธาตุแสง
ธาตุแสง…..
ธาตุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเหล่านักบวชที่นับถือพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง วิชาเกี่ยวกับเวทจำพวกนี้ก็ถูกใช้โดยคนไม่กี่จำพวก หากไม่ใช่พวกผู้กล้าหรือนักบวชก็คงเหลือแค่อย่างเดียว…….นักบุญ
เห้อออออ
อะไรหลายๆอย่างมันตอกย้ำความกังวลของผมอย่างไม่มีหยุดไม่มีหย่อน นี่หรือว่าพระองค์ทรงต้องการจะนำตัวลูกของผมไปเป็นข้ารับใช้จริงๆนะ
“ออโรร่า นั่นลูกเป็นอะไรน่ะ ตัวสั่นเชียว”
เพราะจู่ๆเธอเงียบไปผมจึงได้ร้องทักด้วยความเป็นห่วง ออโรร่าเหมือนจะได้สติกลับคืน เธอจึงรีบเงยหน้ายิ้มขึ้นมาก่อนที่จะตอบผมด้วยน้ำเสียงอันสดใส่เหมือนเทพธิดาตัวน้อยลงมาโปรด
“ไม่มีอะไรค่ะคุณพ่อ เรากลับกันเถอะค่ะ”
ด้วยรอยยิ้มดุจดั่งเทพธิดานั่นทำให้เรื่องที่ผมกังวลมาตลอดทั้งวันปลิวหายไปแบบไม่เหลือฝุ่น อา ลูกสาวพ่อ ช่างน่ารักอะไรเสียจริงๆ ไม่เสียแรงที่เราเลี้ยงดูมาตลอด งานนี้กลับไปต้องเล่านิทานสำหรับเด็กให้ฟังเยอะๆซะแล้วสิ
“ไม่ว่าจะภารกิจอันใด เพื่อพลังอันสูงยิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้ ตัวข้าก็จักพยายามจะบรรลุภารกิจนั้น”
…..
แม้เสียงนั้นจะเบาหวิวดุจสายลมอันเงียบเฉียบ แต่ว่าหูของผมก็ได้ยิน ได้ยินถึงเสียงเล็กๆที่พูดอย่างเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
ผมคงอาจคิดว่านั่นเป็นแค่การคิดมากไปเอง แต่นี่ไม่ใช่ คำพูดนี้ของออโรร่ามาหลังจากที่พลังของเธอได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
พลัง? ภารกิจ?
สิ่งใดเล่าที่พระอง์ท่านได้เรียกร้องจากลูกสาวตัวน้อยแสนน่ารักของผม ภารกิจอันใดเล่าที่จะได้มาซึ่งพลังอันแสนยิ่งใหญ่นั้น
ดูท่าว่าผมคงจะเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ
ว่าแต่เรื่องนั้นช่างหัวมันก่อนเถอะ วันนี้ยังไงผมก็ต้องอ่านนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายผู้กล้าให้ออโรร่าฟังก่อนนอนให้ได้ เอาล่ะลูกจ๋า ไว้ใจฝีมือการเล่านิทานของคุณพ่อคนนี้ได้เลย
——————————————————————————————————
จบไปแล้วอีกตอนกับบทอันแสนอบอุ่นของคุณพ่อผู้น่ารักคนนี้นะครับ แหม ช่างเป็นคุณพ่อตัวอย่างเสียจริงเชียว แต่ก็นะ ดันไปเข้าใจลูกสาวผิดๆแบบนั้น โถๆ น่าสงสาร
ตอนนี้สั้นหน่อยนึงนะครับเพราะเป็นการอธิบายความรู้สึกของคุณพ่อจากตอนที่แล้วเลยไม่อยากให้ยาวยืดเกินไป 555+
ปล.เช่นเดิมแบบเรื่องเก่าๆ ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า
ปล2.ผิดถูกตรงไหนติชมได้น้า