ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 4 ออโรร่าน้อยกับการช่วยเหลือผู้อื่น(หรือขนมปัง)

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“จับดาบให้แน่นกว่านี้สิ ออโรร่า..อ๊ะ! ไม่สิ เบาลงกว่านี้ก็ได้ ขืนแรงไปมือนุ่มๆ ของลูกสาวพ่อได้ด้านหมดพอดี ไม่ได้ๆ!”

รู้สึกมีคนกำลังขัดแย้งในตัวเองอยู่นะ….

ผมได้แต่หรี่ตามองคุณพ่อที่ตอนนี้สอนผมไปเถียงกับตัวเองไป ดูท่าทางตอนนี้ในจิตใจของเขาคงจะมีวิญญาณของความเป็นอาจารย์ฝึกดาบเก่ากับวิญญาณของคุณพ่อเห่อลูกสาวตบตีกันอยู่แน่ๆ

แต่พูดถึงเรื่องฝึกดาบ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ คุณพ่อก็มาบอกว่าจะฝึกให้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมขอร้องไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เลยไม่รู้ว่าอะไรดลบันดาลให้เขาใจอ่อนกัน แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ผมได้มาฝึกดาบในที่สุด

แต่ว่านะ……หือออ ดาบไม้หนักอะ

ถึงแม้สมองผมมันจะอายุปาไปยี่สิบแล้ว แต่ร่างกายของเด็กสาวน้อยออโรร่ามันก็ยังเป็นแค่เด็กห้าขวบ ดังนั้นดาบไม้ที่ปกติน่าจะถือได้สบายๆ กลับรู้สึกหนักยังกับแบกรถยนต์หนักเป็นตัน

“อึบ หนึ่ง สองงงง”

ด้วยความหนักของมันทำให้กว่าผมจะหวดดาบไม้ได้แต่ล่ะทีก็กินแรงไปพอสมควร และในที่สุดมือผมก็เริ่มที่รู้สึกเจ็บจากการที่กำเจ้าดาบนี่มานานเกินไปและเผลอปล่อยลงพื้นแบบไม่ตั้งใจพร้อมร้องอุทานตกใจออกมาอีกต่างหาก

“โอ้ย”

ตึง

ราวกับได้ยินเสียงสเปเชียลเอฟเฟคอะไรสักอย่างเด้งขึ้นมา ทันทีที่ผมร้องเจ็บ ร่างกายของคุณพ่อที่ยืนคุมผมฟันดาบอย่างเข้มงวดก็หายวับเข้ามาหาตัวผมในชั่วพริบตา

อูยยยยย มือแดงไปหมดแล้ว ทำไมผิวเราบางจังเลย ให้ตายสินี่ถ้าเราเป็นผู้ชายล่ะก็ แค่นี้ไม่น่ามีปัญหาแท้ๆ

“ไม่เป็นอะไรนะออโรร่า”

ขณะที่ผมร้องบ่นโอดโอยเจ็บอยู่นั้น คุณพ่อที่โผล่มาราวกับวาร์ปได้ก็คุกเข่าลงก่อนจะค่อยๆ ประคองมือน้อยๆ ของผมขึ้นมาจากนั้นก็ลูบมือของผมด้วยความเป็นห่วง

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะๆ ขอโทษทีด้วยนะออโรร่าบางทีพ่ออาจจะฝึกหนักเกินไป เดี๋ยวจะลดระดับให้นะ เอ้า ฟู วววว เป่าๆ แล้วมันจะหายเจ็บเองนะลูกรัก”

คุณพ่อรีบพยายามขอโทษขอโพยผมพร้อมทั้งทำเหมือนพวกหลอกเด็กตอนได้แผลด้วยการเป่าที่บริเวณฝ่ามือที่แดงของผม ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากแค่แสบๆ

ไม่ต้องห่วงไปหรอกคุณพ่อ การฝึกคุณพ่อน่ะมันยังเล็กน้อยนะเมื่อเทียบกับพวกตัวเอกในอนิเมะที่ฝึกแทบเลือดสาด ดังนั้นแล้วนี่ต้องเป็นเพราะร่างกายของผมยังอ่อนแอแน่นอน

“ไม่ใช่ความผิดคุณพ่อหรอก หนูจะพยายามให้ดีกว่านี้ให้ได้ค่ะ!”

และด้วยอำนาจแห่งพรอันบ้าบอของพระเจ้า ทำให้ผมตอบกลับคุณพ่อไปด้วยคำพูดอันแสนไพเราะน่ารักและสุภาพเรียบร้อยบวกกับรอยยิ้มอันแสนจะสดใส ฮืออออ แบบนี้ผมจะฝึกมาดสุดหล่อได้ไหมเนี่ย

“อูววววว ลูกสาวพ่อน่ารักที่สุด ขอพ่อกอดทีนึงนะ”

คุณพ่อที่เจอผมตอบไปงั้นถึงกลับตกใจไปไม่เป็น แต่พอตั้งสติได้ ดวงตาของเข้าก็เริ่มทอประกายแล้วรีบคว้าตัวผมเข้ามากอดในทันที

เวอร์ไปมั้ง

ถึงจะดีใจที่เป็นห่วงก็เถอะ แต่แบบนี้มันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันนา

“อึดอัดอะ”

ว่าแล้วผมก็ค่อยๆ ผลักคุณพ่อออกไปเล็กน้อย ถึงจะสู้แรงไม่ได้ แต่ก็เป็นการกระตุ้นที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะงั้นเมื่อคุณพ่อรู้ตัวเขาจึงค่อยๆ คลายแขนของเขาออกมา

“ขอโทษด้วยนะลูกรัก…คือ เอ่อ พ่อตื่นตกใจไปนิดหน่อยน่ะ”

เมื่อคุณพ่ออยู่ในสภาพแบบนี้ผมต้องใช้ไม้เด็ด…..ใช่ ไม้เด็ดที่จะทำให้ผมได้ของที่ต้องการมา

เอ้า หนึ่งสอง….แก้มป่อง!

“อ้าวว อย่าเพิ่งงอนพ่อสิ มาๆ เดี๋ยวพ่อจะพาไปซื้อขนมให้กินนะ”

“เย้”

เสร็จกับตูล่ะ!

คุณพ่อเมื่อออกปากมาแบบนี้ก็ได้แต่จำใจยอมพาผมไปซื้อขนมชื่อดังของหมู่บ้าน ถ้าให้บรรยายแล้วหน้าตามันก็เหมือนขนมปังสอดไส้ครีมธรรมดานั่นล่ะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงกินแล้วอร่อยเหมือนใส่กัญชา ซึ่งถ้าให้พูดแล้วก็เป็นของขึ้นชื่อที่หมู่บ้านอื่นรอบข้างยังมีเดินทางเพื่อมาซื้อหรือนำไปขายต่อ

พูดถึงขนม มันก็นับเป็นไม่กี่สิ่งที่ผมรู้สึกดีกับโลกใบใหม่นี้เพราะว่าอาหารของโลกนี้มันช่างจืดชืดสิ้นดี ยิ่งผมที่มาจากประเทศแถวเอเชียประเทศหนึ่งที่ใส่ผงชูรสราวกับน้ำเปล่าด้วยแล้ว อาหารที่ทานอยู่แม้จะบอกว่าปรุงมาแล้วมันก็ยังโคตรจะจืดอยู่ดี

ดังนั้นก็คงเหลือแค่ของหวานที่ยังพอบรรเทาจิตใจของความเบื่อหน่ายในรสชาติของผมได้ แถมอีกอย่าง ร่างกายที่พระเจ้าให้มามันก็ต้องขอบคุณด้วยอย่างหนึ่งที่ต่อให้กินไงก็ไม่อ้วน ดังนั้นผมจึงฟาดขนมปังสอดไส้ครีมพวกนี้ได้แบบไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่

“อ้าวไงคะคุณซิกค์ วันนี้พาหนูออโรร่ามาซื้อขนมปังครีม ไปทำอะไรให้แกงอนอีกคะเนี่ย”

คุณน้าคนขายพูดถามมาเหมือนรู้ใจ พ่อผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่เกาหัวหัวเราะแห้งๆ พลางลูบหัวของผมไปมา

“พอดีสนอแกหนักไปหน่อยเลยโดยงอนเข้าน่ะครับ”

“ค่ะ งั้นสองชิ้นเหมือนเดิมสินะคะ”

ว่าแล้วคุณน้าก็เดินไปหยิบขนมปังออกมาจากตู้ซึ่งโชว์ขนมปังแสนน่าอร่อยเอาไว้ ตอนมันถูกหยิบออกมานั้นผมได้กลิ่นอันแสนหอมหวนของขนมปังที่พึ่งอบเสร็จใหม่ๆ พร้อมกันก็ได้กลิ่นหอมของครีมที่ลอยมาแตะจมูก..

อา แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายไหลแล้ว

คุณน้าหยิบขนมปังใส่ถุงไป ซึ่งปกติแล้วผมกับพ่อก็ซื้อกันมาคนละสองชิ้นแบบทุกครั้ง เพราะถึงแม้จะมีเงินเยอะแยะจากที่คุณพ่อไปทำงานมาแต่ยังไงก็ประหยัดเอาไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินนั่นล่ะ

ว่าไปแล้วพูดถึงเรื่องเงิน อยากลองทำอะไรช่วยคุณพ่อหาเงินเพิ่มเติมจัง…..แบบพวกพระเอกในนิยายมาต่างโลกมักจะสร้างนู่นสร้างนี้ขยายรายได้…แต่เอ เราจะทำอะไรดีอะ …….ช่างเหอะ บทจะคิดออกมันก็คงมาเองล่ะมั้ง

ผมกับพ่อเดินออกมาจากร้านระหว่างทางคุณพ่อก็ไปเจอคุณหัวหน้าหมู่บ้านพอดีเลยแวะทักทายกัน ตัวผมที่เห็นว่ามันนานไปหน่อยก็เลยเดินหลบเข้าร่มไม้ข้างทางก่อนจะเอาตัวเองพิงกับผนังบ้านเพื่อเตรียมพร้อมทานขนมปังครีมร้อนๆ

อูววว ดูเจ้าขนมปังนี่สิ ไม่ว่าจะเนื้อที่นุ่มนวลของตัวแป้งหรือจะความนุ่มละมุนของตัวครีมที่อยู่ข้างใน จะอันไหนๆ ก็สุขใจราวกับขึ้นสวรรค์ จริงๆ นี่ล่ะของที่ใช้ปลอบประโลมเราในโลกอันแสนโหดร้ายนี้

งั้ม

อูวววว อร่อยเวอร์ นี่ถ้าเราโตขึ้นทำงานไป พ่อจะเหมาหมดร้านมากินคนเดียวทั้งวันเลย!

“ย่าห์ ไอ้หัวดำ แกกล้าดีไงมามองหน้าลูกพี่ฉันฟะ”

“หึ ไม่เจียมตัวเลยนะ”

ระหว่างที่ผมกำลังทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย เสียงของความวุ่นวายก็ดังออกมาจากทางเข้าซอยซึ่งอยู่ข้างๆ บ้านที่ผมกำลังพิงอยู่

ด้วยจิตวิญญาณของไทยมุงที่มีติดตัวนั้น ทำให้ผมค่อยๆ เขยิบตัวเองเข้าไปใกล้ๆ ซอยก่อนที่จะมองดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น

จะว่าไปเสียงไอ้พวกนี้มันคุ้นๆ วุ้ย

เมื่อค่อยๆ ชะเง้อมองจากจุดที่ตัวเองอยู่เข้าไปในซอย ทำให้เห็นภาพเบื้องหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในยุคนี้

เด็กสามคมซึ่งประกอบไปด้วยไอ้เด็กจ่อยสองคนที่ตัวดูแล้วน่าจะสูงกว่าผมไปหนึ่งช่วงศอกกำลังรุมอะไรบางอย่างที่ดูเป็นก้อนดำๆ อยู่ตรงพื้น โดยด้านหลังของพวกเขานั้นช่างเหมือนกับการ์ตูนที่ผมเคยดูในวัยเด็กยิ่งนัก นั่นคือเจ้าเด็กอ้วนหน้าตาดูหยิ่งๆ กำลังแสยะยิ้มชี้นิ้วสั่งการลูกน้องของตัวเองอยู่

“เอ้า เมื่อกี้ยังปากดีอยู่เลยนี่ ไหงคราวนี้จ๋อยไปเลยล่ะ!”

เจ้าอ้วนที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากสั่งได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกก้อนสีดำๆ ที่ตอนนี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของลูกสมุนของมัน

ว่าแต่นะเจ้าอ้วน นายนั่นล่ะก็เอาแต่พูดดีไป ตัวแกเองไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่เรอะ

ว่าแต่พวกนั้นกำลังรุมอะไรหว่าเห็นเป็นก้อนดำๆ

ผมค่อยๆ มองไปที่ก้อนดำๆ ที่กองอยู่ที่พื้น ซึ่งเมื่อมองดีๆ แล้วมันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก…คน!!!!

ที่อยู่ใต้เท้าไอ้พวกสามหน่อนั่นคือเด็กคนหนึ่งที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่ดูแล้วเขาน่าจะผ่านความลำบากมาเยอะเพราะนอกจากเนื้อตัวมอมแมมแล้วผมสีดำของเขายังยาวรกรุงรังอีกต่างหาก

“เอ้าเงยหน้าหน่อยยย”

เจ้าพวกตัวร้ายเกรดบีได้จิกผมของเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาที่ตอนนี้เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินเต็มไปหมด

อ๊ะนั่นมัน

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดสังเกตไปจากใบหน้าของเขานั้นไม่ใช่ใบหน้าที่ดูสกปรกซึ่งผิดกับผิวสีขาวดูดีของเขาแต่เป็นดวงตาสีแดงราวกับเลือดซึ่งไม่ควรมีอยู่ในมนุษย์ทั่วไป

เอ๊ะ ที่จริงมันก็มีได้นี่หว่า คล้ายๆ ว่าเคยเรียนในคาบชีวะว่าเม็ดสีคนเรามันผิดปกติได้….ขนาดผมของผมยังสีขาวได้เลย ไม่น่าแปลกๆ แต่สำหรับไอ้พวกเด็กผีบ้าพวกนี้มันคงเอาไปคิดว่าเป็นปีศาจอะไรแหงมๆ

โชคดีจริงๆ ที่เราเกิดมาน่ารักแถมพ่อเก่ง ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่เอาไปเปรียบเทียบอะไรแปลกๆ

แต่เมื่อพวกเด็กนี่มันเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจก็ไม่แปลกที่เด็กมันจะอยากเล่นเป็นฮีโร่ ถึงจะเป็นในทางที่ผิดก็เถอะ ดังนั้นผมที่เป็นผู้ใหญ่ที่โตกว่าจึงต้องทำหน้าที่ที่สมควรทำ….

อยู่ห่างปัญหา!

ใช่ ตามหลักผู้ใหญ่ที่ดีงามแล้ว การอยู่ห่างจากปัญหานั้นจะทำให้ชีวิตเราปลอดภัยที่สุดเพราะถึงเจ้าพวกเด็กนี่มันจะบ้าแต่มันก็ตัวใหญ่กว่าผมแล้วยิ่งผมมีผมสีขาวแบบนี้ด้วยแล้ว มันคงลากผมไปแกล้งแหงมๆ ดังนั้นแล้วผมที่ร่างกายเป็นสาวน้อยแสนบอบบางทีขนาดดาบไม้ยังยกไม่ค่อยขึ้นแบบนี้จึงต้องขอลาไปหาความสุขกับขนมดีกว่า

“เอ้าไอ้ปีศาจนี่อะไรของแกน่ะ”

ในช่วงเวลาที่ผมกำลังตัดสินใจที่จะถอยห่างปัญหานั้นเอง เจ้าเด็กอ้วนก็เหมือนไปคว้าอะไรบางอย่างมาจากคอของเด็กน้อยผมดำคนนั้น

งานนี้ดูจะชักวุ่นวาย ผมคงต้องรีบเผ่นโดยด่วน

“อย่านะ นั่นมันของสำคัญของแม่ฉัน”

“อะไรเนี่ย โอ้ยของไร้สาระ”

จู่ๆ เจ้าอ้วนที่คว้าหินห้อยคออะไรบางอย่างออกจากคอของเด็กหนุ่มคนนั้นก่อนโยนออกมา แล้วไม่รู้ว่าเคร์กรรมอะไรเจ้าหินนั้นดันกระเด็นพุ่งตรงมายังมือของผมซึ่งมีขนมปังที่พึ่งกัดไปหนึ่งคำอย่างแม่นยำ

ตุบ

หินสีแดงประหลาดได้เข้ามาอยู่ในมือเล็กๆ ของผมโดยไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ผิดกับสิ่งที่เคยอยู่มาก่อนหน้ามันที่ตอนนี้ล่วงหล่นลงไปที่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…..

ขนมปัง….ขนมปังอันแสนหอมหวนสีน้ำตาลอ่อนดูน่ากินตอนนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเศษดิน เศษทราย ครีมสีขาวหวานอร่อยซึ่งควรผนึกความอร่อยของมันภายในแป้งขนมปัง ตอนนี้ได้ค่อยๆ กระจายตัวออกนองที่พื้น

……

งืออออ ขะ….ขนมปังของฉันนนนนน ไอ้พวกเด็กเปรต!

ดุจมีอะไรมาดลใจเข้าร่างของผม วิญญาณของชาวไทยหลบปัญหาได้สูญสลายหายไป มันถูกแทนที่เข้าด้วยจิตวิญญาณของเกมเมอร์หัวร้อนที่แพ้เกมมานับสิบรอบ

แค้นนี้ต้องได้รับการชำระ!

ด้วยจิตวิญญาณหัวร้อนของผมที่โกรธแค้นจากการสูญเสียขนมปังอันยิ่งใหญ่ ทำให้ตัวผมได้พุ่งไปโดยไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

ฉันไม่สนว่าแกจะยิ่งใหญมาจากไหนหรือแกจะเป็นใคร แต่ฉันจะเจือดแกไม่เหลือชิ้นดีแน่!

ว่าแล้วผมก็เดินดุ่มๆ เข้าไปเขาเด็กทั้งสามคนที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเพชฌฆาตได้เดินเข้าไปหามันแล้ว

ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังของพวกมันก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย ถ่ายทอดลมปราณและพลังกล้ามเนื้อทั้งหมดพุ่งอัดเข้าไปที่จุดสำคัญของเจ้าอ้วน

เพี๊ยะ!

“เฮ้ย ทำไรของแกวะ”

….ครับ ตัวผมที่เป็นเด็กสาวน้อยไร้พลังแม้แต่จะถือดาบไม้ ได้พุ่งมือบางๆ ของตัวเองเข้าไปตบเข้าที่หน้าของเจ้าอ้วนที่หนาอย่างกับยางล้อรถ ผลก็คือ…..มันแค่แสบ

เจ้าอ้วนที่ถูกใครก็ไม่รู้ตบได้หันมาผมที่เป็นคนตบมันด้วยสายตาขุ่นเขืองพร้อมตะโกนอย่างโมโห ทว่ามันก็ตกใจทันทีที่เห็นผมซึ่งตอนนี้ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน

แกถามว่าฉันทำอะไรสินะ…..เอ็งนั่นล่ะทำอะไรลงไปรู้ไหมไอ้เด็กเปรต!!!

“รู้ตัวไหมคะว่าทำอะไรลงไป?”

ด้วยพรของพระเจ้าทำให้คำพูดของผมถูกดัดไปในสภาพของคำอันแสนสุภาพ แต่เรื่องนั้นช่างมันเด้ ตอนนี้ขอผมแก้แค้นให้ขนมปังของผมก่อน

 

“แกนั่นล่ะมายุ่งอะไรฮะ ยัยเผือก”

พวกมันได้พูดว่าผมอย่างที่ผมได้เดาเอาไว้ หึ พวกแกกล้าดียังไงมาว่าส่วนน่ารักแสนสวยของร่างกายของออโรร่ากันฮะ มีตาหามีแววไม่จริงๆ

แต่เอาเถอะเรื่องนั้นมันยังเล็กน้อย เรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…เรื่องที่พวกแกได้กระทำการชั่วช้าต่อขนมปังอันแสนล้ำข้าของตูจะต้องได้รับการชดใช้!

ผมไม่สนแล้วว่าไอ้พวกนี้มันจะตัวใหญ่กว่าหรืออะไร หรือต่อให้มีผีตัวไหนมันมาห้าม ผมก็ขอช่างหัวพวกมันแล้วขอตบกบาลไอ้พวกบ้านี้ให้หายแค้นซะทีเหอะ!

“สิ่งที่คุณทำลงไปนั้นตัวฉันมิอาจยกโทษให้จริงๆ ค่ะ การที่คุณมาทำสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของคนอื่นต้องเสียหายเช่นนี้ ถึงแม้พระเจ้าจะให้อภัยคุณและไม่อยากให้ตัวฉันใช้ความรุนแรงใดๆ แต่ตัวฉันนั้นมิอาจยอมรับได้จริงๆ”

ตอนนี้ถึงแม้ปากของผมจะพูดคำอันแสนน่าอายจากพรที่ได้รับไว้ แต่ด้วยความโกรธที่มีอยู่ในใจมันทำให้ผมโยนไอ้พวกความคิดบ้าๆ นั่นออกไปให้หมด เพราะตอนนี้ในหัวของผมมีอย่างเดียว

ตายซะเถอะพวกเอ็ง!

“ดังนั้นตัวฉันขอลงทัณฑ์พวกคุณ ณ ตอนนี้และที่นี่ค่ะ!”

ผมได้ทำการสะบัดมือไปมาเพื่อตบหน้าของเจ้าอ้วนกับลูกน้องของมันที่หมายคิดมาห้าม ซึ่งแม้จะทำได้แปปเดียวเพราะแรงที่น้อยกว่าจนสุดท้ายจะโดนล็อคข้อมือเอาไว้

แต่ว่านะ…หึๆ แน่จริงแกก็เอาสิ

“เอ็งโดนดีแน่ยัยเปี๊ยก”

“เดี๋ยวลูกพี่ ยัยนี่มัน…”

ใช่ ดูเหมือนว่าเจ้าลูกน้องของไอ้อ้วนนี่มันจะรู้สึกตัวแล้วว่าคนที่มันกำลังฮือด้วยนั้นเป็นใคร เพราะงั้นมันถึงได้รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมคว้าแขนของลูกพี่มันเอาไว้

“หือจะว่าไปยัยหัวขาวนี่มัน…..ลูกของคุณซิกค์เรอะ!”

หึๆ รู้ไว้ซะว่าตูน่ะลูกใคร!

เจ้าอ้วนตกใจทันทีที่รู้ว่าผมเป็นลูกใคร เพราะคุณพ่อผมนั้นนอกจากจะมีฝีมือดาบที่เก่งมากแล้ว งานที่เขาทำดูเหมือนจะมีส่วนหนึ่งที่ปกป้องมอนสเตอร์ให้กับหมู่บ้านด้วย ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกอะไรที่คนในหมู่บ้านจะรักใคร่เขา อีกทั้งพวกเด็กผู้ชายยังยกย่องเขาเป็นแบบอย่างหรือฮีโร่ประจำหมู่บ้านอีกด้วย

เอาเซ่ แน่จริงก็ต่อยผมเลย ต่อยมา ฟ้องกลับไม่โกง!

ใช่แล้ว ทันทีที่ไอ้เจ้าอ้วนนี่มันพุ่งหมัดตรงใส่ผม ผมจะร้องกรีดเรียกให้คนพ่อมาช่วยทันที และคงไม่ต้องถามหรอกนะว่าคุณพ่อสุดรักของผมจะทำอะไรกับเด็กเปรตที่บังอาจมาทำร้ายออโรร่าที่น่ารักคนนี้น่ะ ฮ่าๆ เอาเซ่!

“หนอย…….หึยยยย”

เมื่อเห็นว่ามันเริ่มที่จะกลัวผมมากขึ้น ก็ทำให้รอยยิ้มของผมแสยะออกมาอย่างสะใจก่อนจะหรี่ตาเป็นเชิงท้าทายแก๊งสามหน่อเพื่อกดดันพวกมันเพิ่มอีก

“พวกเรา ถอย!”

และแล้วเจ้าพวกนี่มันก็ทำตามสูตรของพวกตัวร้ายระดับล่าง เมื่อสู้ไม่ได้ก็หนีทันที…..แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกเฟ้ย!

ใช่ แค่แกหนีน่ะ มันยังไม่จบหรอกนะ จนกว่าพวกแกจะก้มกราบแทบเท้าของผมแล้วร้องไห้ขอโทษต่อการที่แกมาทำขนมอันแสนสำคัญของผมพัง ผมจะไม่มีวันปล่อยให้พวกแกลอยนวลเด็ดขาด

“ตราบเท่าที่พวกคุณยังคงไม่กราบขอโทษสำนึกผิดต่อการกระทำครั้งนี้ ฉันคงมิอาจปล่อยพวกคุณไปได้หรอกค่ะ”

ผมกางมือของตัวเองขวางไม่ให้พวกมันไป จากนั้นก็ส่งสายตาข่มขู่พร้อมแสยะยิ้มเป็นเชิงบอกว่าหากพวกมันไม่ยอมทำตามที่บอก ผมจะร้องขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อ และตอนนั้นล่ะพวกแกจะเละเป็นโจ๊ก!!!

“หึยยยยยยย. ขอโทษครับ”

“ดีมากค่ะ ขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่คนบาปเหล่านี้ด้วยเถิด”

ใช่ๆ ถูกต้องแล้วล่ะก้มงามขอโทษงา……อ้าวเฮ้ย พวกแกก้มขอโทษใครฟะ

ขณะที่ผมกำลังพยักหน้าดีใจกับการที่พวกนี้มันรู้ว่าที่นี่ใครใหญ่ ทว่าตอนลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือเจ้าพวกสามหน่อดันกัมหัวขอโทษเจ้าเด็กหัวดำที่นอนกองอยู่ตรงพื้น

“ไม่เป็นไร”

อ้าวเฮ้ย ไอ้หัวดำ แกก็อย่าไปรับมุกมันเซ่แล้วก็ไอ้พวกสามเกลอ ไอ้คนที่มันต้องขอโทษน่ะคือตูที่โดนทำร้ายจิตใจอย่างบอบช้ำคนนี้ต่างหากเล่า!!!

ระหว่างที่ผมกำลังตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าสามหน่อก็อาศัยจังหวะนี้รีบวิ่งหนีออกไปจากซอยอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่ผมที่ยืนอึ้งอยู่

“เดี๋ยวสิพวกนาย อย่าเพิ่ง….”

“ไม่เป็นไร….พอเถอะ”

ตอนที่ผมกำลังจะไล่ตามมันไปจู่ๆ ขาของผมก็ถูกรั้งด้วยมือที่ใหญ่กว่า ทำให้ผมรีบเหลือบไปมองว่าอะไรที่มาขวางการแก้แค้นขิงผมให้กับขนมปัง

เด็กชายผมสีดำคนเดิมที่ตอนนี้กำลังสภาพยับเยินเหมือนผ้าขี้ริ้วได้กระตุกขาของผมห้ามไม่ให้ไปทำอะไรต่อ

เห่อ นี่พวกนั้นมันแกล้งนายนะ จะไปปกป้องมันทำไมเนี่ย เป็นคนดีเกินไปแบบนี้จะลำบากเอาได้นา

ว่าแต่สภาพของหมอนี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะปล่อยไว้ไอ้เรามันก็จะดูใจทมิฬหินชาติเกินไป ดังนั้นสงสัยคงต้องช่วยหน่อยแล้วล่ะมั้ง

ผมพยายามก้มตัวลงไปเพื่อจะประคองเขาขึ้นมา อันที่จริงถ้าจะให้เรียกคงต้องเรียกว่าพยายามกระชากเลยมากกว่า แต่ว่าด้วยตัวของเขาที่มันหนักเกินทำให้ผมคิดว่าไม่น่าไหว

“ขอบคุณ”

สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มตรงหน้า ร่างกายของเขาที่ผมจะประคองขึ้นมาได้หนักอึ้งทันที ทำให้ผมรีบหันไปมองถึงสาเหตุแล้วจึงพบว่าเจ้าเด็กนี่มันหลับไปแล้ว!

เฮ้ยยยย ถึงนายจะอยากหลับตรงไหนก็หลับได้ แต่นายจะมาหลับคามือผมแบบนี้ไม่ได้!

 

 

———————————————————————————

ความคิดของเด็กชายผู้หนึ่ง

สีตาสีแดงฉาน……สีตาซึ่งบ่งบอกถึงความโชคร้าย ก็อย่างชื่อของมัน มันได้นำความโชคร้ายเข้ามาตัวผมและคำสำคัญของผม

ที่จริงดวงตานี้ของผมนั้นได้รับการปกป้องไม่เห็นนำโชคร้ายด้วยเวทที่ซึ่งคุณแม่ได้สอนเอาไว้ มันเปลี่ยนสีดวงตาของผมให้เป็นสีม่วงเหมือนคนทั่วไป ทำให้ผมอยู่ได้อย่างปกติสุขมาตลอด

แต่คราวนี้ผมพลาดไป ผมพลาดไปจริงๆ ไม่รู้เพราะความหิวหรือความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมานานทำให้ผมเผลอตัวคลายเวทของตัวเองออก แล้วก็โชคร้ายซ้ำที่พวกนักเลงพวกนี้มาเห็น

พวกเขาได้เข้ามารุมทำร้ายผมซึ่งกำลังอ่อนแรง หากเป็นเวลาปกติล่ะก็ผมว่าผมน่าจะสามารถจัดการเจ้าพวกนี้ได้สบายๆ แท้ๆ

แต่ถูกทำร้ายมันไม่เท่าไหร่ เพราะนั่นสมัยก่อนผมก็เคยเจอมาบ้าง แต่นี่ ตอนนี้พวกมันกำลังชิงของสำคัญที่สุดของผมไป

“เอ้าไอ้ปีศาจนี่มันอะไรของแกกัน!”

“อย่านะ นั่นมันของสำคัญของแม่ฉัน”

เจ้าหัวหน้าได้กระชากหินอันแสนสำคัญของผมออกไปจากคอ ผมรีบพุ่งตัวหมายเอามันกลับมา ทว่าเจ้าพวกลูกน้องของมันกลับเข้ามารุมตัวผมไม่ให้เข้าใกล้

สุดท้ายผมก็ได้แต่มองสิ่งสำคัญถูกช่วงชิงไปอีกครา…..ทำไมกัน ทำไมผมถึงต้องอ่อนแอในช่วงเวลาแบบนี้ตลอด!

“อะไรเนี่ย โอ้ยของไร้สาระ”

อารมณ์ของผมพลุ่งพล่านทันทีที่เห็นเจ้าบ้านั่นบังอาจมาโยนของสำคัญของผมไป แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของผมทำให้ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเพื่อทวงของสำคัญคืนมา

“เฮ้ย ทำไรของแกวะ”

ในขณะที่ผมกำลังถูกความสิ้นหวังเข้าครอบงำนั้นเอง สิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้น

เพี๊ยะ

“รู้ตัวไหมคะว่าทำอะไรลงไป?”

น้ำเสียงเล็กแสนน่ารักทว่ากลับฟังดูทรงพลังยิ่งใหญ่ ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับเด็กสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมาพร้อมกับแสงสว่างที่เปล่งประกายมาจากทางด้านหลังของเธอ

มือน้อยๆ ของเธอได้พุ่งเข้าตบหน้าของหัวหน้านักเลงแบบไม่ลังเล ขณะเดียวกันดวงตาของเธอนั้นก็ช่างเต็มไปด้วยความกล้าหาญจนแม้แต่ผมยังนับถือที่เด็กตัวน้อยๆ คนนี้ได้เข้ามาช่วยผมเอาไว้

ที่สำคัญสิ่งที่อยู่ในมือของเธอก็ทำเอาใจของผมที่เริ่มสิ้นหวังนั้นสว่างไสวอีกครั้ง นั่นคือจี้หินของสำคัญของผมที่ตอนนี้เด็กคนนั้นกำลังกำมันไว้แน่น

ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจว่าผมจะเป็นอะไร ในช่วงเวลาที่ผมถูกช่วงชิงชิงของสำคัญไป….เธอ เธอคนนี้กลับเข้ามาช่วยผมเอาไว้ แล้วยังนำของสำคัญของผมคืนมาอีก

“แกนั่นล่ะมายุ่งอะไรฮะ ยัยเผือก!”

เจ้าหัวหน้านักเลงได้ตะโกนข่มเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายช่วงศอก ทว่าแม้จะเจอเสียงข่มขวัญ แต่เด็กสาวคนนี้ก็หาได้เกรงกลัวไม่ เธอกลับยังยืดอกจ้องหน้ากลับไปราวกับไม่เห็นเจ้าหมอนี่ในสายตา

“สิ่งที่คุณทำลงไปนั้นตัวฉันมิอาจยกโทษให้จริงๆ ค่ะ การที่คุณมาทำสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของคนอื่นต้องเสียหายเช่นนี้ ถึงแม้พระเจ้าจะให้อภัยคุณและไม่อยากให้ตัวฉันใช้ความรุนแรงใดๆ แต่ตัวฉันนั้นมิอาจยอมรับได้จริงๆ”

ถึงแม้ประโยคที่เด็กคนนี้พูดออกมาจะดูฟังยากเกินกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจและดูเกินวัยของคนพูดไป แต่ไม่ผิดแน่ เธอกำลังพูดถึงจี้หินอันแสนสำคัญนี่….

นึกว่าจะไม่มีผู้พิทักษ์ความยุติธรรมอยู่ในโลกนี้แล้วซะอีก

……….

 

 

“ดังนั้นตัวฉันขอลงทัณฑ์พวกคุณ ณ ตอนนี้และที่นี่ค่ะ!”

ตอนนี้ตัวผมที่อ่อนแอได้แต่จ้องมองเด็กสาวที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญ

ทำไมกัน ทำไมเธอคนนี้ถึงได้ยืนหยัดมาต่อสู้ให้ผมที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายทั้งแข็งแรงกว่าและยังมีจำนวนมากกว่า แล้วทำไมถึงต้องมาช่วยผมคนนี้ด้วย

ผมได้แต่มองเด็กสาวผมสีขาวยืนที่ยืนด้วยความองอาจและกล้าหาญ แววตาสีฟ้าสวยงามดุจท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ทอแววประกายของความโอบอ้อมอารีทว่ากลับเต็มไปด้วยความกล้าหาญไม่เกรงกลัว

แม้กระทั่งตัวเองต้องเจอกับคนที่หมายปองร้ายแบบนั้น แต่เด็กสาวคนนี้กลับยิ้ม….ยิ้มด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใสดุจราวกับตะวันยามเช้าที่ให้อภัยทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งชั่วร้ายตรงหน้า

ผมไม่มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายพูดอะไรกันเพราะสติของผมมันเริ่มเรือนรางากความเจ็บปวด แต่ที่ผมเห็นคือเด็กสาวที่ยังคงพูดไม่หยุดเพื่อให้อีกฝ่ายสำนึกในความผิดของตัวเองและขอโทษผม

“ตราบเท่าที่พวกคุณยังคงไม่กราบขอโทษสำนึกผิดต่อการกระทำครั้งนี้ ฉันคงมิอาจปล่อยพวกคุณไปได้หรอกค่ะ”

น้ำเสียงอันแสนนุ่มนวลทว่ามากด้วยความกดดันได้สร้างแรงกดดันให้นักเลงทั้งสามคนจนพวกเขาทั้งสามได้แต่สั่นกลัว……

“ขอโทษด้วยครับ”

ด้วยแรงกดดันจากเธอทำให้ทั้งสามรีบก้มหัวขอโทษผมโดยไว แต่ดูเหมือนเธอคนนนี้จะยังไม่พอใจ อยากให้พวกเขาทำมากกว่านี้ แต่ว่านะ. พอเถอะ

ยิ่งเธอกดดันพวกมันมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะนตรอกสุดท้ายอาจจะทำรายเธอได้นะ. ดังนั้นแล้วเธอไม่ต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อผมขนาดนั้นก็ได้!

“ไม่เป็นไร. พอเถอะ”

ผมพูดแบบนั้นออกไป ทว่าในใจของผมตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจแบบกลั้นไม่อยู่

ตัวผมที่ทุกคนล้วนปฏิเสธกลับถูกช่วยไว้ด้วยเด็กสาวตัวเล็กๆ ตรงหน้า แค่นี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นผมไม่อยากให้เธอต้องมาลำบากเพราะผมอีกแล้ว

ผมจึงพยายามรีบออกแรงคลานไปหยุดขาของเธอเอาไว้แล้วบอกให้เธอหยุด ไม่รู้ว่าเธอจะทำหน้าอย่างไรเหมือนกัน แต่ว่าหากดูจากตอนนั้นคงจะยิ้มิย่างอบอุ่นให้ล่ะมั้ง….คิดไปได้ไงเนี่ยเรา

 แต่ไม่รู้ว่าเพราะจิตใจสั่งหรืออะไรบางอย่างในกลางอกของผมมันเรียกร้อง ทำให้ผมพยายามเงยหน้าขึ้นมองภาพที่อยู่ตรงหน้า

ภาพที่เห็น มันคือภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นมาก่อนในชีวิต มันเป็นภาพของเด็กสาวที่ยื่นมือมาให้ผม ยื่นมือเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผม ยื่นมือมาเพื่อคืนของสำคัญให้กับผม

เส้นผมสีขาวดุจราวหิมะของเธอที่มองแล้วจิตใจสงบได้พัดปลิวไปมาอย่างสวยงามราวกับเหมันต์แรกของปี ดวงตาสีฟ้าที่งดงามเหมือนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่มิงเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่นข้างในอก

และที่สำคัญ รอยยิ้มที่งดงามน่ารักดุจราวกับนางฟ้าซึ่งเพียงแค่มองก็ราวกับตัวผมซึ่งจมอยู่ในความมืดมิดได้ถูกนำพาเข้าไปอยู่ในแสงสว่างอีกครั้ง

อา…..นี่ตัวผมคงพบกับนางฟ้าบนสวรรค์สินะ

และตอนนั้นตัวผมก็หมดสติไป โดยเหลือทิ้งไว้เพียงแค่รอยยิ้มอันแสนงดงามที่จะฝังตราตรึงหัวใจของผมตลอดไป

——————-

จบไปแล้วกับตอนนี้นะครับ กับเปิดตัวละครเมากาวใหม่ตัวที่สอง ซึ่งจะมีบทบาทอย่างไรในเรื่องก็มาดูกันเถอะ 555555

เช่นเดิมจ้า หากมีอะไรสงสัยถามได้เน้อ แล้วมีอะไรผิดก็บอกได้นะครับผม

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท